ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (1)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (1)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

แล้วฉันก็หาวิธีให้พี่ติเข้ามาทำความรู้จักกับพ่อแม่ฉันได้สำเร็จ

ก่อนเปิดเทอมที่ฉันกำลังจะขึ้นปี 3 ไม่กี่สัปดาห์เป็นวันเกิดของฉัน ฉันจึงเลือกใช้โอกาสนี้ด้วยการขอให้แม่จัดงานเลี้ยงเล็กๆ ที่บ้าน โดยเชิญเพื่อนๆ ที่สนิทกันมาร่วมรับประทานอาหาร ซึ่งแน่นอนกลุ่มเพื่อนสนิทของฉันก็คือ เครือแก้ว ศศิ นายขวด และพี่ติ

แม่รู้จักและคุ้นเคยกับเครือแก้ว ศศิและนายขวดดีอยู่แล้ว แต่จู่ๆ มีพี่ติเพิ่มเข้ามาในกลุ่มเพื่อนสนิท แม่เลยพุ่งเป้าทำความรู้จักเป็นพิเศษ

ใครกันนะที่บอกว่าโลกกลม ‘โคเปอร์นิคัส’ ใช่ไหม แน่นอนถ้าโคเปอร์นิคัสยังอยู่ จะต้องร้องออกมาแน่นอนว่าเห็นไหมโลกมันกลมจริงๆ เพราะเมื่อแม่ของฉันชวนคุยซักประวัติพี่ติไปๆ มาๆ ก็ปรากฏว่า พ่อของฉันเป็นรุ่นน้องโรงเรียนเดียวกันกับพ่อพี่ติ ซ้ำยังเคยเป็นนักฟุตบอลทีมของโรงเรียนด้วยกันด้วย

“อ้าว พ่อติเป็นลูกพี่ชัชหรอกเองหรอกหรือนี่ บังเอิญจริงๆ” แม่อุทานขึ้น แล้วหันมาพูดกับพวกเราว่า “พี่ชัชเป็นรุ่นพี่ของพ่อยายกุนเขา เมื่อก่อนเขาสนิทกันมากนะ…” แล้วหันกลับไปถามพี่ติว่า “แล้วพี่โฉมล่ะเป็นอย่างไรบ้าง เห็นว่าป่วย อาทั้งสองจะไปเยี่ยมหลายหนแล้วแต่โอกาสไม่อำนวยสักที”

“แม่ทรงๆ ทรุดๆ ครับ ตอนนี้พวกเราย้ายไปอยู่บ้านใหม่แถวสุขุมวิท อากาศถ่ายเทได้ดี แม่น่าจะดีขึ้นบ้างครับ” พี่ติมีสีหน้าเศร้าหมองลงเมื่อกล่าวถึงแม่ของตัวเอง

“ฝากความระลึกถึงไปให้พี่โฉมด้วยนะลูก ว่างๆ อาต้องไปเยี่ยมให้ได้”

ยายเครือแอบกระทุ้งแขนนายขวดเบาๆ แล้วกระซิบว่า “นี่รู้จักกันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแล้ว เห็นทีทางเข้าบ้านจะสะดวกแล้วละนาย”

“ทางเข้าบ้านที่เมื่อก่อนคิดว่าเป็นทางลูกรังขรุขระ ตอนนี้กลายเป็นทางซูเปอร์ไฮเวย์ลาดยางเรียบกริบไปแล้วเธอ” นายขวดกระซิบตอบ

เมื่อพ่อกลับมาแม่ถึงกับจูงมาพี่ติไปแนะนำกับพ่อ ฝ่ายพ่อเมื่อรู้ว่าพี่ติเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของรุ่นพี่สมัยมัธยมที่ตนเคารพรักก็ยินดีต้อนรับ ยิ่งพี่ติมีกิริยามารยาทที่ดี อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รุ่มร่าม พ่อก็ออกบอกว่า “ว่างๆ มาเยี่ยมอาอีกนะ บ้านอายินดีต้อนรับติเสมอ”

ประตูบ้านของฉันที่ปิดสนิทมานาน บัดนี้เปิดต้อนรับพี่ติแล้ว

จากนั้นมาพี่ติก็เข้าออกบ้านฉันได้เป็นเหมือนสมาชิกคนหนึ่งของบ้าน วันไหนต้นไม้ที่บ้านพี่ติออกผลก็หิวมาฝากที่บ้านฉันบ้าง ขากลับแม่ก็ฝากกับข้าวไปให้ที่บ้านพี่ติบ้าง พี่ติยังคงเส้นคงวา คือไม่เคยพาฉันเถลไถลจนค่ำ พี่ติมีกฎอย่างหนึ่งว่าไม่ว่าจะพาฉันไปที่ไหนต้องขออนุญาตแม่ของฉันก่อนเสมอ และจะพาฉันกลับมาส่งบ้านก่อนค่ำทุกครั้ง แม่จึงไว้ใจพี่ติมาก

ส่วนทางบ้านพี่ติ ฉันก็ได้มีโอกาสแวะเวียนไปเยี่ยมอยู่บ่อยครั้ง ทั้งพ่อแม่พี่ติต้อนรับฉันอย่างดี คงจะทำนองเดียวกับที่พ่อแม่ของฉันเอ็นดูและเมตตาพี่ติ นานๆ ครั้งที่พ่อและแม่ฉันจะเป็นฝ่ายไปเยี่ยมพ่อแม่พี่ติที่บ้านในฐานะเพื่อนรุ่นน้อง จนพี่ติสำเร็จการศึกษาและเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรในปีนั้น ซึ่งฉันยังเก็บภาพคู่ที่ถ่ายร่วมกับพี่ติในชุดครุยกับฉันในชุดนักศึกษาไว้ในกล่องไม้ใบหนึ่งมาจนถึงวันนี้

แต่แล้วเรื่องน่าเศร้าก็เกิดขึ้น

แม่ของพี่ติที่ป่วยกระเสาะกระแสะด้วยโรคปอดก็ได้เสียชีวิตลงหลังจากพี่ติรับพระราชทานปริญญาบัตรไม่กี่วัน แม่ของฉันเข้าไปช่วยเหลือจัดการงานศพแม่ของพี่ติด้วยความเต็มใจ “สงสารพี่ชัชเธอ ดูสินั่งเศร้าเหม่อลอย ซูบลงไปเป็นกอง…ติก็เหมือนกัน กินข้าวบ้างนะลูก ยายกุนไปหาข้าวหาปลาให้พี่เขากินเสียหน่อยจะได้มีแรงมาจัดการเรื่องของแม่” แม่บอกฉันในภายหลังว่า “มีญาติก็เหมือนไม่มี แต่ละคนมาอย่างแขกไม่ได้มาอย่างญาติที่พร้อมจะช่วยงานสักคน มีแต่คุณยายของนายขวดเท่านั้นที่ยังอารีอารอบจะช่วยเหลือ แต่ท่านก็อายุมากเสียเหลือเกิน จะหยิบจับอะไรก็ไม่สะดวกเสียแล้ว น่าสงสารพี่ชัชเรื่องของญาติพี่น้อง แกเอาเป็นธุระเสียทั้งนั้น พอมาคราวตัวเอง ญาติพี่น้องแต่ละคนพึ่งพาไม่ได้แต่สักคน ก็มันเป็นเสียแบบนี้ไง แม่ถึงต้องเข้าไปช่วย”

งานศพของแม่พี่ติผ่านไปท่ามกลางความโศกเศร้า พ่อของพี่ติทำใจในการสูญเสียครั้งนี้ได้ยาก ท้ายที่สุดลุงชัชก็ตัดสินใจลาออกจากราชการแล้วบวช จากนั้นก็เลือกไปจำพรรษาที่วัดป่าแห่งหนึ่งในภาคอีสาน

“ติโตแล้วนะลูก ไม่จำเป็นต้องมีพ่อคอยดูแลแล้ว สมบัติที่มีทั้งหมดพ่อยกให้ติ จากนี้ไปติต้องดูแลตัวเองนะลูก” ลุงชัชกล่าวแค่นั้นก่อนจากไปในทางที่ตนเองเลือก

เมื่อแม่ของฉันทราบเรื่องก็ยิ่งสงสารและเมตตาพี่ติมากยิ่งขึ้น ส่วนพี่ติเองก็หันมาทุ่มเทกับการเตรียมสอบบรรจุ เพื่อหลีกหนีความโศกเศร้าจากการสูญเสีย ซึ่งแน่นอนพี่ติมีฉันเป็นกำลังใจ

แต่เดิมที่ฉัน พี่ติ และเพื่อนๆ ได้นัดพบกันที่หน้าคณะ แต่ตอนนี้พี่ติคร่ำเคร่งกับการอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบบรรจุ ส่วนฉันและเพื่อนๆ ต่างก็คร่ำเคร่งเพราะเป็นการเรียนปีสุดท้ายแล้ว แต่ทุกๆ สัปดาห์พี่ติจะแวะเวียนมาทานอาหารเย็นที่บ้านของฉัน มีเป็นบางสัปดาห์ที่เพื่อนๆ ของฉันมาร่วมวงรับประทานอาหารด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่พี่ติทำไม่เคยขาดเลยคือ ทุกสามทุ่มจะโทรศัพท์มาถามทุกข์สุขของฉันในวันนั้น ซึ่งเราจะคุยกันสัก 4-5 นาทีก็วางสายแล้วไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ

พี่ติสอบบรรจุตำแหน่งเจ้าพนักงานปกครอง หรือที่พวกเราเรียกว่าสอบบรรจุปลัดอำเภอ หลังจากที่ฉันสอบปลายภาคในเทอมสุดท้ายได้ไม่นาน และหลังจากนั้นไม่กี่เดือนผลการสอบของพี่ติก็ประกาศ ซึ่งแทบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันที่ฉันได้รับอนุมัติสำเร็จการศึกษา

ท่ามกลางผู้สอบนับหมื่นคนกับตำแหน่งเพียงร้อยต้นๆ พี่ติเป็นหนึ่งในร้อยที่ประสบความสำเร็จในการสอบครั้งนี้ แม่ของฉันยินดีเป็นที่สุด ราวกับลูกสาวของตัวเองสอบบรรจุได้เป็นปลัดอำเภอหญิงเสียเอง แม่จัดงานเลี้ยงฉลองแสดงความยินดีเล็กๆ ให้แก่พี่ติ โดยมีสมาชิกในบ้านเราและเพื่อนๆ ในกลุ่มฉันมาร่วมฉลองความสำเร็จ

หลังงานเลี้ยงนั้น พี่ติชวนฉันออกมาเดินเล่นที่สนามหน้าบ้าน สีหน้าของพี่ติแสดงความกังวลใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะเอ่ยคำพูดออกมา “กุนดีใจกับพี่ใช่ไหมครับ ที่พี่สอบบรรจุเป็นปลัดอำเภอได้”

“กุนต้องดีใจกับพี่ติสิคะ มันคือความสำเร็จที่น่าภูมิในของพี่ติ…แต่ทำไมกุนดูสิหน้าพี่ติเหมือนมีเรื่องกังวลใจอะไรอยู่” ฉันถามกลับ

พี่ตินิ่งคิดก่อนตอบฉันว่า “กุนรู้ใช่ไหมว่า พี่น่าจะต้องไปประจำที่ต่างจังหวัดในอำเภอที่ไกลออกไปจากกรุงเทพฯ นานๆ พี่ถึงจะได้กลับมาสักครั้ง”

ฉันลืมความจริงเรื่องนี้ไปเสียสนิท มัวแต่ดีใจในความสำเร็จของพี่ติ จนลืมไปว่าเมื่อถึงเวลาเรียกบรรจุพี่ติต้องย้ายไปประจำที่อื่นที่ไม่ใช่กรุงเทพฯ และฉันก็ต้องห่างจากพี่ติ คิดมาได้ในใจก็วูบวับด้วยความอาวรณ์ว่าแต่นี้ไปจะไม่ได้พบหน้ากันบ่อยๆ เสียแล้ว พี่ติเห็นฉันหน้าเสียก็รีบพูดต่อ “พี่ไม่อยากห่างกุนไปเลยนะ ตลอดเวลาพี่มีกุนอยู่ข้างๆ พี่รู้สึกมีความสุขและอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ในยามที่พี่ต้องสูญเสียและท้อแท้ พี่จะมองเห็นกุนอยู่เคียงข้างพี่เสมอ…” ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาพี่ติ ฉันเห็นความจริงจังฉายออกมาจากแววตาคู่นั้น

“…กุน! พี่ขอโอกาสได้ไหม ขอโอกาสให้พี่ได้ดูแลกุน และขอให้เราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของกันและกัน”

‘นี่พี่ติกำลังขอเราแต่งงานรึเปล่า’ ฉันรำพึงในใจเพราะความไม่แน่ใจ

“พี่สัญญา…พี่จะรักและให้เกียรติกุน ของของพี่ทุกอย่างจะเป็นของกุน รวมทั้งชีวิตของพี่ด้วย…กุนตกลงไหม”

ไม่มีการคุกเข่าขอแต่งงานอย่างที่ฉันเห็นในภาพยนตร์ฝรั่ง มีแต่คำสัญญาที่เรียบง่ายแต่หนักแน่น ฉันแทบอยากจะตอบว่า ‘I do I do and I do’ แต่ความจริงอีกข้อหนึ่งก็ผุดแวบขึ้นมาในสมอง ‘ฉันตอบตกลงโดยที่พ่อแม่ยังไม่อนุญาตไม่ได้’ ดังนั้นจะตอบไปตามใจคิดนั้นเห็นจะไม่เหมาะ ครั้นจะไม่ตอบเสียเลยก็กลัวพี่ติจะเข้าใจผิดว่าฉันไม่มีใจให้แก่เขา ดังนั้นฉันจึงให้คำตอบที่บรรพบุรุษฝ่ายหญิงตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ใช้ตอบตกลงผู้ชายที่มาขอแต่งงานโดยไม่ให้เสียจริตกุลสตรีไทยว่า “กุนแล้วแต่พ่อแม่ท่านจะเห็นควรค่ะ”

พี่ติยิ้มร่าพร้อมล้วงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มออกมา พี่ติบรรจงเปิดออกภายในเป็นแหวนเพชรน้ำงามวงหนึ่ง พี่ติหยิบมันขึ้นมาอย่างถนอมพร้อมบอกฉันว่า “นี่เป็นแหวนหมั้นที่พ่อพี่เคยใช้หมั้นแม่มาก่อน มาตอนนี้พี่ขอใช้หมั้นกุนไว้นะครับ” แล้วพี่ติก็บรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางของฉัน ขนาดมันช่างพอเหมาะพอเจาะกับนิ้วนางของฉันเลยทีเดียว และจังหวะที่สวมแหวนนั้นเองแสงไฟก็วาบขึ้นเป็นชุด ฉันหันกลับไปมองก็เห็นว่าเป็นนายขวดที่กระหน่ำกดชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปเก็บวินาทีที่สำคัญนี้ไว้ ซึ่งภาพสามสี่ใบนี้ก็ยังนอนอยู่ในกล่องไม้ใบนั้นของฉันมาจนวันนี้

แม่มาคุยกับฉันทีหลังว่า พี่ติได้เข้ามาสู่ขอฉันจากพ่อและแม่ด้วยตนเอง แม่บอกว่าสงสารพี่ติจับใจ เมื่อได้ยินพี่ติพูดว่า “ตอนนี้ผมไม่มีญาติผู้ใหญ่คนไหนจะพอเป็นธุระมาสู่ของน้องกุนให้ผมได้ หลวงพ่อท่านก็ตัดขาดทางโลกไปแล้ว ลุงๆ ก็เหมือนไม่เอาธุระกับผมเลย ผมจึงเสียมารยาทและถือวิสาสะมาสู่ขอน้องกุนด้วยตนเอง คุณอาทั้งสองอย่าคิดว่าผมกำเริบหรือไม่ให้เกียรติคุณอาทั้งสองและน้องกุนเลยนะครับ” พี่บอกว่าพี่ติสัญญาเป็นมั่นเหมาะว่าจะรัก ให้เกียรติและดูแลฉันเป็นอย่างดี ความจริงแล้วทั้งพ่อแม่ต่างก็พอใจในตัวพี่ติอยู่ไม่น้อย ทั้งนิสัยใจคอและหน้าที่การงานที่เพียรอุตส่าห์สอบบรรจุปลัดอำเภอจนสำเร็จ

พ่อตอบพี่ติไปด้วยความปรานีว่า “อาทั้งสองไม่ติดอะไร ดีใจด้วยซ้ำที่ยายกุนของอาจะมีคนดีๆ มาช่วยดูแล แต่โบราณว่าปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ อาทั้งสองไม่อาจบังคับใจยายกุนได้ เอาอย่างนี้ถ้ายายกุนตอบตกลง อาทั้งสองก็ยินดี…”

เป็นอันว่าชีวิตคู่ของเราทั้งสองได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ และดำเนินไปอย่างราบรื่น

งานแต่งงานของฉันกับพี่ติจัดขึ้นอย่างรวดเร็วและเรียบง่าย ช่วงเช้ามีพิธีเจริญพระพุทธมนต์และรดน้ำสังข์ ดูเหมือนญาติผู้ใหญ่จะหนักมาทางฝั่งของฉัน ส่วนญาติผู้ใหญ่ของพี่ตินั้นมีเพียงคุณยายของนายขวดที่นับเป็นญาติห่างๆ ทางแม่ของพี่ติที่อุตส่าห์ฝืนสังขารมารดน้ำอวยพรให้เราด้วยความยินดี ส่วนลุงๆ และป้าสะใภ้ของพี่ติก็เป็นอย่างที่พี่ติเคยพูดไว้ว่า “ไม่เอาธุระอะไรกับผมเลย”

ที่ดูจะตื่นเต้นกว่าเราสองคนก็คือเพื่อนๆ ในกลุ่ม นายขวดอาสาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ส่วนยายเครือแก้วกับศศิเมื่อตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเพื่อนเจ้าสาว ก็เป็นพร้อมกันเป็นเพื่อนเจ้าสาวเสียสองคนเลย โชคดีที่เพื่อนสนิทของพี่ติสมัยเรียนรัฐศาสตร์ อาสามาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอีกคน จึงครบสองคู่ดูไม่ขัดเขินแต่อย่างใด

ตกค่ำเป็นง่ายเลี้ยงเล็กๆ ค่ำนั้นพ่อแม่ของฉันในฐานะผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง และคุณยายของนายขวดในฐานะญาติผู้ใหญ่ของฝ่ายชายก็ทำหน้าที่ส่งตัวเราสองคนเข้าหอ…วันชื่นคืนสุขของฉันผ่านไปอย่างอิ่มเอม

 

พี่ติได้รับคำสั่งแต่งตั้งให้ไปเป็นปลัดอำเภอของอำเภอแห่งหนึ่งในภาคใต้ ฉันตัดสินใจตามลงไปดูแลพี่ติ

อำเภอนั้นเป็นอำเภอเล็กๆ อยู่กลางหุบเขา บรรยากาศชุ่มชื่นร่มเย็น แต่ก็มีข้อเสียที่เดินทางไปมาระหว่างตัวจังหวัดกับอำเภอค่อนข้างลำบาก มีบ่อยครั้งที่ฉันต้องนอนอยู่ที่บ้านเพียงลำพังหากพี่ติต้องไปราชการในตัวจังหวัด แต่ในความลำบากนั้นก็มีความโชคดีที่อำเภอนี้ค่อนข้างสงบสุขปราศจากโจรผู้ร้าย นานๆ จะมีสักหนที่มีโจรเข้ามาขโมยวัวควายชาวบ้าน

ฉันทำหน้าที่แม่บ้านดูแลพี่ติอย่างดีไม่ขาดตกบกพร่อง ยามว่างฉันจะเขียนจดหมายรายงานชีวิตความเป็นอยู่ไปให้พ่อและแม่ทราบ และเขียนไปพูดคุยกับเพื่อนสนิททั้งสามคนอย่างสม่ำเสมอ

ผ่านไปเพียงปีกว่าๆ ฉันและพี่ติก็มีข่าวดี นั่นคือฉันตั้งครรภ์ลูกคนแรก พี่ติทั้งตื่นเต้นดีใจที่จะมีทายาทซึ่งเป็นโซ่ทองคล้องใจเราให้แน่นเหนียวยิ่งขึ้น แต่ก็ระคนไปด้วยความกังวลใจว่า อยู่ในอำเภอที่ห่างไกล เกรงว่าฉันจะเป็นอันตรายเมื่อยามคลอด เพราะไม่มีหมอที่เก่งๆ อย่างในกรุงเทพฯ พี่ติปรึกษาฉันว่าอยากให้ฉันกลับไปคลอดลูกคนแรกของเราที่กรุงเทพฯ อย่างน้อยจะได้มีแม่และธารีช่วยดูแล แต่ฉันไม่ยอม ดีร้ายอย่างไรการมีสามีอยู่เคียงข้างมันก็น่าอยู่ใจกว่าไม่ใช่หรือ

เมื่อฉันยืนกรานเช่นนั้น พี่ติก็โอนอ่อนผ่อนตาม พี่ติแก้ปัญหาที่กังวลใจด้วยการจ้างยายทองสุก หญิงสูงวัยใกล้บ้านที่มีประสบการณ์คลอดลูกและเลี้ยงหลานรอดปลอดภัยมาไม่ต่ำกว่าสิบคน มาช่วยดูแลฉัน

ยายทองสุกใช้วิชาการผดุงครรภ์แบบโบราณมาช่วยดูแลฉัน ทั้งให้คำแนะนำและปลอบโยนไม่ให้กลัวการคลอดลูก ฉันรู้สึกอุ่นใจที่มียายทองสุกมาช่วยดูแล และก่อนคลอดเพียงไม่กี่สัปดาห์แม่ก็ลงมาช่วยดูแลฉันอย่างตื่นเต้นที่จะมีหลานยาย

ฉันคลอดลูกชายในเช้าของวันหนึ่ง ลูกคนแรกของฉันคลอดง่ายจนคุณหมอออกปาก นานๆ ครั้งที่ผู้หญิงท้องแรกอย่างฉันจะคลอดง่ายอย่างนี้ ยายทองสุกรับความดีความชอบนี้อย่างหน้าชื่นตาบาน แกว่าเพราะแกกล่อมท้องให้ฉัน ทำให้เด็กในท้องอยู่ในร่องในรอยที่จะคลอดได้สะดวก ฉันจึงคลอดง่ายไม่ทรมาน พี่ติได้ยินก็มอบสินน้ำใจให้แกไปจำนวนหนึ่งนอกเหนือไปจากค่าจ้างในแต่ละเดือน ยายทองสุกดีใจเอ่ยปากจะช่วยเลี้ยงลูกชายคนนี้ให้แข็งแรงและว่าง่าย

พี่ติตั้งชื่อลูกชายคนโตของเราว่า ‘นกุล’ ตานะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ร่าเริงแจ่มใส ตั้งแต่มีตานะ บ้านของเราไม่เงียบเหงาอีกต่อไป

ชีวิตการเป็นแม่บ้านลูกอ่อนของฉันหมดไปกับการดูแลลูกและบ้านให้เรียบร้อย วันๆ แทบจะไม่ได้ออกไปไหน จึงไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นอย่างไร จนวันหนึ่งยายทองสุกที่บัดนี้ตั้งตัวเป็นเหมือนญาติผู้ใหญ่ที่รักและหวังดีของฉันเดินมาบอกว่า

“คุณนาย เที่ยงนี้ฉันแกงน้ำเคยไข่เป็ดกินกับผักเหนาะ คุณปลัดแกชอบ คุณนายเอาไปส่งทีตะ เดี๋ยวยายใส่ชั้นเตรียมไว้ให้ เอาคุณไปกัน”

“ไม่ไหวละยายทองสุก แดดร้อนขนาดนี้เดี๋ยวตานะจะเป็นไข้ ยายเอาไปให้พี่ติหน่อยแล้วกัน”

“ไปฮิดต่ะ เชื่อยาย ไม่ได้ไกลกันเท่าไรที เดี๋ยวยายไปเป็นเพื่อน ส่วนคุณนะฝากนังแก้วช่วยแลสักเดี๋ยวนิ” ยายทองสุกจัดแจง

ยายทองสุกขมีขมัน มือหนึ่งหิ้วปิ่นโต มือหนึ่งจูงมือฉันให้เดินตามตามที่แกต้องการ ก่อนออกจากบ้านก็ร้องกำชับสั่งแก้วหลานสาวให้ช่วยดูแลตานะให้ดี

ยายทองสุกจูงมือฉันดินลัดเลาะไปตามร่มไม้จนถึงหน้าอำเภอ ฉันทำท่าจะเดินเข้าอำเภอเพื่อเอาปิ่นโตอาหารเที่ยงไปส่งให้พี่ติอย่างที่ตั้งใจ แต่ยายทองสุกรั้งมือฉันไว้

“อย่าเพิ่งเข้าไป” ยายแกพูดพลางตาก็สอดส่ายสายตาพลาง แล้วพูดกับฉันว่า

“นู้…เดินไปกงนู้สักฮิดก่อน” ยายทองสุกบุ้ยปากไปที่เพิงขายข้าวราดแกงหน้าอำเภอ

ฉันเดินตามไปอย่างว่าง่าย ที่เพิงนั้นฉันเห็นหม้อเคลือบมีฝาปิดมิดชิดสักสามสี่หม้อ ข้างในน่าจะเป็นแกงต่างๆ ที่แม่ค้าทำมาขายให้คนที่มาติดต่อธุระในอำเภอ เจ้าหน้าที่หลายคนก็น่าจะฝากท้องมื้อเที่ยงไว้ที่ร้านนี้ด้วย

ยายทองสุกร้องทักชายคนหนึ่งที่กำลังเป็นลูกค้าอยู่ที่เพิงข้าวแกงนั้น

“ฮ่าย ไอ้ปลั่งมาทำพรือนี่…”

“มาคัดใบเกิดของไข่นุ้ย นี่มันจะเข้าโรงเรียนแล้ว…แล้วยายสุกมาทำพรือนิ” ชายที่ยายทองสุกทักถามกลับ

เหมือนเขียนบทกันไว้ ยายทองสุกกระแอมแล้วพูดเสียงดังว่า

“ฉันมาเป็นเพื่อนคุณนายคุณปลัด เติ้นเอาข้าวเที่ยงมาส่งคุณปลัดผัวเติ้น…ไอย่า..คุณปลัดนี่ก็ไม่รู้พันพรือนะ กับข้าวคนอื่นแกก็ไม่ชอบ กินแต่ของฝีมือเมียตัวเองเท่านั้น” ไม่พูดแต่ปาก ตาของยายทองสุกเหลือบแลไปทางแม่ค้าเจ้าของเพิงข้าวแกงอย่างมีนัย

“ไอ่ย่ะ…ปลัดคนไหน…ปลัดศานติคนนั้นอ่อ” นายปลั่งถามพลางหันมามองฉันอย่างสังเกต

“ปลัดศานตินั่นละ นี่เมียเติ้ล แต่งกันมาตั้งแต่อยู่กรุงเทพนิ นี่ก็มีลูกคนหนึ่งแล้วนะ คุณนายนี่ไม่ชอบออกไปไหน บางคนมันเลยไม่รู้ว่าคุณปลัดมีเมียแล้ว…”

แม่ค้าเจ้าของเพิงหันหลังไปล้างจานสังกะสีเคลือบอย่างใส่อารมณ์

ยายทองสุกบอกลานายปลั่งแล้วจูงมือฉันเข้าไปในอำเภอ

เมื่อกลับถึงบ้านฉันจึงถามยายทองสุกไปตามตรงว่าเหตุใดจึงชวนฉันไปส่งอาหารเที่ยงให้พี่ศานติ และยังพาฉันแวะเพิงร้านข้าวราดแกงนั้น

“ยายก็พาคุณไปแสดงตัว คุณรู้ไหม…อีจีด…” ยายทองสุกเอ่ยถึงแม่ค้าเจ้าของเพิงข้าวราดแกง “…มันเล็งจะเอาคุณปลัดทำผัว…อีนี่มันหวังสูงอยากได้ผัวข้าราชการ แต่คนที่นี่เค้ารู้กำพืดมันดี ไม่มีใครเอาทำเมีย ทีนี้มันเห็นคุณปลัดมาใหม่ ทั้งหนุ่มทั้งหล่อ การงานก็ดี มันจะเลยจ้องจะเอา ยายก็เลยพาคุณไปประกาศตัวว่าคุณปลัดมีเมียแล้ว อย่ามายุ่ง…”

“แล้วจะได้ผลหรือยาย ฉันเห็นมานักต่อนักแล้ว ต่อให้มีเมียถ้าเขาจะเอาเสียอย่างยังไงก็ไม่สน” ฉันไพล่ไปคิดถึงเรื่องพ่อ ในใจก็เสียววาบขึ้นมา…อย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดซ้ำรอยกับฉันเลย

“ก็เตือนกันดีๆ แล้วว่าอย่ามายุ่ง ถ้าพูดไม่ฟังเดี๋ยวยายจะตามไปด่าให้ฉาวเลย…” ยายทองสุกพูดเข่นเขี้ยว “…คุณเองก็พูดปรามๆ คุณปลัดบ้างว่าอย่าไปยุ่ง เลิกกินของมันไปเลยยิ่งดี…ของแบบนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดัง ต่อให้อีจีดมันจะให้ท่าให้ทางแค่ไหน ถ้าคุณปลัดไม่ยุ่งเสียอย่างมันก็จบ แต่คุณต้องจำคำยายไว้นะ เราเป็นเมียต้องแสดงตัวให้คนเขารู้เอาไว้ เราจะอยู่ห่างผัวไปนานก็ไม่ดีนะคุณ ฉวยคนอื่นมันมาทำหน้าที่เมียแทนเราจะลำบาก”

…ฉันถอนหายใจด้วยความวิตก…ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เรื่องของบัวสียังคงเป็นเงาจางๆ ในชีวิตของฉัน

ตานะอายุได้ 2 ขวบ ฉันก็ตั้งครรภ์ลูกอีกคน คราวนี้ฉันแพ้ท้องหนักมาก ลุกเดินแทบจะไม่ไหว กินอะไรได้น้อยลง แต่อาการแพ้ท้องก็ทุเลาลงเมื่อฉันท้องเข้าเดือนที่สี่หรือห้า ฉันเดาว่าลูกคนนี้ต้องแข็งแรงพอควรเพราะมีสัญญาณที่ดีคือลูกในท้องคนนี้ดิ้นแรงมากโดยเฉพาะช่วงใกล้รุ่ง

ลูกคนที่สองของฉันเป็นลูกสาว ฉันคลอดแกในค่ำวันหนึ่ง ซึ่งฉันจำได้ดีว่าฉันปวดท้องจะคลอดตั้งแต่กลางดึก พี่ติขับรถพาฉันไปรอคลอดที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ฉันปวดท้องหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าจะคลอดได้ง่ายดายอย่างคราวตานะ ฉันปวดทรมานอยู่มาจนค่ำของอีกวันจึงคลอดลูกสาวคนนี้ออกมา พี่ติตั้งชื่อแกว่า ‘ศาตนันท์’

 



Don`t copy text!