ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 2 : พี่ศานติ (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

หากใครสักคนถามฉันว่า ฉันชอบชีวิตช่วงใดของตัวเองมากที่สุด ฉันคงตอบได้โดยไม่ลังเลเลยว่า ฉันชอบชีวิตช่วงนี้ของฉันที่สุด ช่วงเวลาที่ฉันได้เป็นแม่และภรรยาที่ดี ท่ามกลางบรรยากาศที่เรียบง่ายและสงบสุข ฉันมีโอกาสเฝ้ามองลูกทั้งสองที่กำลังเติบโตขึ้นทีละนิด ฉันเสียน้ำตาหยาดแรกให้ลูกเมื่อตานะพูดคำแรกได้คือคำว่า ‘แม่’ แม้เสียงลูกจะอ้อแอ้ไปบ้างแต่มันก็ยังชัดเจนพอที่ใจฉันจะสัมผัสความรักความผูกพันของคนสองคนที่ไม่ว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้จะตัดขาดหรือแยกเราจากกัน

ฉันก็ต้องหัวเราะด้วยความขบขันระคนเอ็นดูที่พี่ติพยายามให้ยายนันท์พูดคำว่า ‘พ่อ’ ได้เป็นคำแรก แต่เปล่าเลยคำแรกที่ยายนันท์พูดได้ไม่ใช่คำว่า ‘พ่อ’ หรือ ‘แม่’ แต่เป็นคำว่า ‘วัว’ เพราะทุกเช้ายายทองสุกมักจะพาหนูนันท์ของแกไปเดินเล่นป้อนข้าวป้อนกล้วยตามประสา และยายแกก็ชอบชี้ชวนให้ยายนันท์ดูวัวที่ชาวบ้านผูกไว้ที่หลักของบ้าน

“หนูนันท์แลนั้นต่ะนุ้ย งัว…ไอ่ที่งอกเขางอๆ เขาเรียกงัว” เช่นนี้ทุกวันเข้ามิใยยายนันท์จะพูดคำว่า ‘วัว’ ได้เป็นคำแรก

วันหนึ่งเมื่อพี่ติจับยายนันท์มาสอนพูดว่า “พ่อ เรียกพ่อสิหนูนันท์…พ่อ” แต่ยายนันท์กลับออกเสียงว่า “วัว…ดูวัว” แทนคำว่าพ่อ พี่ติแกก็ม่อย ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยความขบขัน

“นี่มิแคล้วยายทองสุกพาออกไปดูวัวทุกเช้าสินะครับ หนูนันท์ถึงเรียกวัว ได้ก่อนเรียกพ่อ” พี่ติหันไปแกล้งดุยายทองสุก

“ก็หนูนันท์เติ้นเห็นหน้างัวมากกว่าหน้าพ่อนี่คะ คุณปลัดก็หลบมาอยู่บ้านบ่อยๆ ต่ะ หนูนันท์จะได้จำหน้าพ่อได้ แล้วก็จะได้เรียกพ่อได้เหมือนเรียกวัว” ยายทองสุกสัพยอกคืน

วันคืนในอำเภอบ้านนอกที่แสนสุขนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนตานะโตพอจะเข้าโรงเรียนได้แล้ว ส่วนยายนันท์คงจะต้องตามเข้าโรงเรียนในปีหน้า ฉันตั้งใจจะปรึกษาพี่ติว่าจะจัดการเรียนเรียนของลูกอย่างไรดี ในใจฉันก็อยากให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนที่ฉันมั่นใจในคุณภาพในกรุงเทพฯ แต่ก็เป็นห่วงว่าลูกต้องไปอยู่ไกลอกหากต้องส่งไปอยู่ที่กรุงเทพกับคุณตาคุณยาย แม้จะมั่นใจคุณตาคุณยายจะดูแลลูกของฉันได้ดี แต่ฉันก็ไม่อยากห่างลูก แต่จะให้ฉันไปอยู่กรุงเทพฯ กับลูก โดยทิ้งพี่ติไว้ลำพังที่นี้ฉันก็เป็นห่วง เป็นห่วงว่าใครจะดูแลพี่ติ และห่วงจะเป็นตามคำที่ยายเครือเคยพูดว่า ‘รูปหล่อแถมหน้าที่การงานดีอย่างพี่ติ คงมีคนอยากช่วยดูแลพี่ติแทนเธออยู่ไม่น้อยหรอกยายกุน’

แต่ค่ำวันนั้นเองพี่ติก็ให้ทางออกฉันอย่างมึนงงที่สุด

ค่ำวันนั้นหลังจากที่ฉันพาลูกเข้านอนเรียบร้อยแล้ว พี่ติก็เดินมานั่งข้างๆ ฉันแล้วบอกว่า

“กุน ลูกโตพอจะเข้าโรงเรียนแล้ว กุนกับลูกย้ายกลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ที่กรุงเทพดีไหม ลูกจะได้เข้าเรียนที่ดีๆ ส่วนกุนก็จะได้ดูแลลูกอย่างใกล้ชิด”

“แล้วพี่ติล่ะคะ” ฉันถามกลับ ด้วยเป็นสิ่งที่ฉันกังวลอยู่ในใจ

พี่ติถอนหายใจแล้วบอกว่าฉันว่า “ใจจริงพี่ไม่อยากห่างกุนกับลูกๆ เลย แต่มีคำสั่งโยกย้ายมาใหม่ พี่ต้องไปประจำที่อำเภอ…” พี่ติเอ่ยชื่ออำเภอชายแดนแห่งหนึ่งที่ขึ้นเชื่อเรื่องโจรผู้ร้าย และภัยจากขบวนการแบ่งแยกดินแดน ฉันตกใจวับ คราวนี้ไม่ใช่ตกใจเพราะต้องแยกกันอยู่กับพี่ติ แต่เป็นเพราะความเป็นห่วงและกังวลในความปลอดภัยของพี่ติมาแทน

“ใช่ที่เดียวกับที่นายอำเภอคนก่อนถูกผู้ก่อการร้ายลอบยิงไหมคะพี่ติ” ฉันถามเสียงสั่น

พี่ติพยักหน้าแทนคำตอบแล้วพูดต่อว่า “…เพราะอย่างนี้ไง พี่ถึงไม่อยากให้กุนกับลูกตามไปอยู่กับพี่ที่นั่น ลำพังตัวพี่ พี่เชื่อว่าพี่เอาตัวรอดได้ แต่หากมีกุนกับลูกๆ ไปอยู่ด้วย พี่คงห่วงหน้าพะวงหลังทำอะไรไม่คล่องตัว และหากเกิดอันตรายกับกุนและลูกพี่จะทำยังไง พี่คงให้อภัยตัวเองไม่ได้เลย”

ด้วยเหตุอันจำเป็นนี้ทำให้ฉันและลูกๆ ต้องย้ายกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อและแม่ที่กรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวของฉันต้องแยกกันอยู่ แม้ฉันจะอุ่นใจที่อยู่ใกล้พ่อแม่แต่ถึงอย่างไรการอยู่ห่างจากพี่ติก็ทำให้ฉันว้าเหว่ใจไม่น้อย

 

การกลับมาอยู่พ่อแม่พร้อมลูกๆ ในคราวนี้ ทำให้ในบ้านของพ่อแม่มีสมาชิกเพิ่มขึ้น โดยหลังจากฉันและลูกๆ ย้ายมาอยู่ที่นี้เพียงไม่นาน ธารีน้องสาวของฉันก็พาสืบธารลูกชายเพียงคนเดียวของธารีย้ายมาขออาศัยกับพ่อแม่ด้วย

พ่อเคยเปรยกับฉันทางจดหมายว่าท่านเป็นห่วงธารีไม่น้อย เพราะเพื่อนสนิทของท่านที่ทำงานด้านข่าวกรองได้แอบแจ้งท่านว่าสืบพงศ์สามีของธารีน่าจะมีส่วนพัวพันกับการค้าของผิดกฎหมาย แม้จะไม่ใช่ยาเสพติด แต่การค้าของเถื่อนก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย เพื่อนของพ่อเป็นห่วงเกรงว่าพ่อจะด่างพร้อยเนื่องจากนายสืบพงศ์อาจเอาชื่อพ่อซึ่งเป็นนายทหารผู้ใหญ่ไปแอบอ้างหาผลประโยชน์

แต่แรกเมื่อพ่อทราบว่าธารีรักชอบพอกับนายสืบพงศ์ อาจจะเพราะสัญชาตญาณทหารของท่านก็ได้ที่ทำให้ท่านเกิดสงสัยภูมิหลังคนอย่างสืบพงศ์ว่ามีความเป็นมาเช่นไร ก็ให้คนสนิทสืบประวัติเขา พ่อไม่ได้หวังว่าเขาจะเป็นคนร่ำรวยหรือมีชาติตระกูลดี หวังเพียงเขาจะเป็นคนดีไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องผิดกฎหมายเป็นพอ ในขณะนั้นคนสนิทของพ่อยังไม่พบข้อมูลว่าเขาเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องผิดกฎหมาย แต่จะกล่าวว่าเขาบริสุทธิ์ผุดผ่องเลยก็ไม่ได้ เพราะเพื่อนสนิท และญาติๆ บางคนของเขาเกี่ยวข้องกับขบวนการขนของเถื่อนผิดกฎหมาย

พ่อจึงค้านหัวชนฝาไม่ยอมธารีให้แต่งงานกับสืบพงศ์ แต่ธารียืนยันจะแต่งงานกับสืบพงศ์ ไม่ว่าพ่อจะพูดอย่างไรธารีก็ดื้อดึง

“คุณสืบเขาทำธุรกิจ มีบ้างล่ะค่ะที่ต้องติดต่อกับคนแบบนั้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณสืบจะต้องเป็นพวกทำผิดกฎหมายนี่คะ” ธารีค้าน

“ก็คนดีๆ ที่ไหนจะไปคบค้ากับพวกทำธุรกิจผิดกฎหมาย” พ่อตอบเสียงแข็ง

“พ่อมีหลักฐานไหมคะว่าคุณสืบเขาค้าขายแบบผิดกฎหมาย”

ต่อให้มีพ่อก็เอามาให้ธารีดูไม่ได้ เพราะเป็นข้อมูลความลับ พ่อรู้ดีว่าสืบพงศ์ระวังตัวแจแค่ไหน ตอนนี้ทางการยังมีหลักฐานมัดตัวไม่แน่ชัด แต่ก็ใช่ว่าวันหน้าจะไม่มี คนชั่วยิ่งทำชั่วได้สำเร็จยิ่งได้ใจ วันหนึ่งหลักฐานมัดตัวก็คงมี

ธารีตัดพ้อพ่อแม่ว่า ตลอดชีวิตของเธอไม่เคยได้ตัดสินใจอะไรได้เองสักอย่าง ไม่เหมือนฉันที่ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งสองท่านก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยหมด

พ่อนิ่งไม่ตอบสนอง ทุกคนในบ้านรู้ดีว่าการนิ่งของพ่อคือความโกรธอย่างที่สุด เมื่อเห็นว่าการเจรจาไม่เป็นผล ธารีก็นิ่งเฉยเหมือนยอมรับ ทำให้พ่อและแม่เบาใจไปได้สักพักหนึ่ง…ความสงบนิ่งของธารีเหมือนความนิ่งก่อนที่จะเกิดพายุใหญ่

เมื่อทั้งพ่อและแม่ไม่ยอมให้แต่งงานกับสืบพงศ์ ธารีก็ทำอย่างที่เคยลั่นปากไว้ ธารีไม่ได้หนีตามสืบพงศ์ แต่ธารีใช้วิธีทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุก

ธารีแสร้งทำเป็นยอมรับในการตัดสินใจของพ่อ แต่เมื่อทั้งสองท่านวางใจ ธารีก็ยังแอบพบคบหากับสืบพงศ์

สุดท้ายธารีเดินมาบอกกับพ่อแม่ว่า “หนูท้องกับคุณสืบค่ะ…ถ้าพ่อแม่ไม่ให้หนูกับคุณสืบแต่งงานกัน ท้องหนูก็จะโย้ออกมาประจาน…ไม่ใช่ประจานแค่หนูนะคะ แต่ประจานพวกเราทุกคน”

เมื่อคัดค้านอย่างที่สุดและไม่เป็นผล กลับยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายไปกว่าเดิมทั้งสองท่าน จึงยอมรับการตัดสินใจธารี

“แกเลือกเองนะธารี จงรับผิดชอบกับสิ่งที่แกเลือกตัวตัวเอง!”

 

สืบพงศ์ต้องการประกาศความเกี่ยวข้องในฐานะของลูกเขยของนายพลท่านหนึ่ง จึงจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ธารีรู้สึกชื่นชมยินดี ชีวิตคู่ของธารีหรูหราฟู่ฟ่าจนใครหลายคนอิจฉา หลังจากแต่งงานปีแรกธารีก็ตั้งครรภ์และเกิดสืบธารลูกชาย ชีวิตของธารีในขณะนั้นแทบจะกล่าวได้ว่าสมบูรณ์แบบไปทุกๆ อย่าง เมื่อปีก่อนนี้เอง ธารีได้ไปพักผ่อนที่ยุโรปเสียเกือบเดือน เมื่อกลับมาก็ส่งกระเป๋าถือยี่ห้อและรุ่นที่หรูหราใบหนึ่งมาให้ฉันพร้อมโน้ตสั้นๆ ว่า ‘ให้พี่กุนไว้หิ้วไปออกงานกับพี่ปลัดศานติ’ ฉันเห็นกระเป๋าก็ได้แต่เก็บงำไว้ไม่กล้าใช้ เพราะราคาของกระเป๋ามันเกินหน้าเงินเดือนของพี่ติไปหลายเท่า ฉันคิดว่าหากหิ้วไปออกงานคู่กับพี่ติ คนที่เขาไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอาจจะกล่าวหาว่าพี่ติทุจริตโกงกิน และฉันรู้สึกว่ากระเป๋าใบนี้มันเกินฐานะฉันไปมากจริงๆ

ส่วนทางบ้าน แม่เล่าว่าสืบพงศ์ส่งกระเป๋ายี่ห้อนี้มาให้แม่ทั้งชุด เรียงตั้งแต่กระเป๋าใบเล็กใส่เศษสตางค์นจนไปถึงหีบเดินทางใบใหญ่ แม่บอกฉันว่า “ไอ้ของแบบนี้มันต้องสั่งทำ ไม่ใช่คิดจะเดินไปหยิบไปซื้อเอาเลยไม่ได้หรอก” ส่วนของพ่อ นายสืบพงศ์ส่งเครื่องขี่ม้ามาทั้งชุด ตั้งแต่เครื่องอาน ยันไปถึงรองเท้าบูตและแส้ม้า

“แม่ลืมไปเลยว่ากระเป๋ายี่ห้อนี้เขาเริ่มต้นมาจากอุปกรณ์ขี่ม้า ทุกวันนี้ต้องสั่งนะ ไม่ได้มีวางขายในร้านเหมือนกระเป๋า เขาทำมาเข้าชุดเลยทีเดียว แถมยังให้ช่างดุนทองเป็นตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษเป็นนามสกุลของพ่อเสียด้วย…แต่พ่อสิ สั่งให้ขนกลับไปคืนทั้งหมดทั้งกระเป๋าชุดของแม่และชุดเครื่องม้าของพ่อ” แม่เล่าให้ฟังเมื่อลงมาเยี่ยมหลานๆ คราวหนึ่ง

“งั้นหนูฝากของหนูไปคืนด้วยดีไหมคะ” ฉันถาม

“เก็บไว้เถอะ เผื่อวันหน้าฉุกเฉินจะได้ขายเอามาทำทุน ของแบบนี้ยิ่งนานยิ่งมีราคาเหมือนทอง เราไม่ใช้ก็ดีแล้วยายกุน แต่หมั่นเอามาเช็ดบ้างอย่าให้เป็นรา” แม่บอก

“…ชุดที่เขาให้แม่มา แม่ว่าวันหน้ามันจะทวีราคาอีกมาก เผลอๆ ราคาจะพอซื้อบ้านสักหลังเลยด้วยซ้ำ แต่แม่ไม่กล้ารับไม่กล้าใช้หรอก อย่างกับของเจ้านาย ยิ่งเครื่องม้าของพ่อ ทำอย่างของพวกขุนนางฝรั่งเลยละยายกุน พ่อเขาว่าถึงเขาจะเป็นนายพลก็ไม่กล้าใช้ดอก กลัวขี้กลากขึ้นก้น”

“หนูว่าไม่ใช่เพราะพ่อกลัวขี้กลากขึ้นก้นท่านหรอกค่ะ ท่านกลัวอย่างอื่นมากว่า” ฉันแสดงความเห็น

แม่พยักพเยิดแล้วพูดว่า “…พ่อเขาบอกกับแม่ว่า นายสืบพงศ์หากินอะไรไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ที่มาของเงินก็ไม่ชัดเจน หากรับของไว้วันหน้าจะได้เป็นที่ครหาและด่างพร้อยเอาได้ ยิ่งท่านใกล้เกษียณแล้วท่านต้องยิ่งระวังตัว…” แม่ถอนหายใจ “…ลำพังแต่ตัวกุน แม่กับพ่อไม่เป็นห่วงอะไรหรอก ห่วงแต่ยายธารี ลูกคนนี้มันไม่รู้จักคิดให้ถี่ถ้วน หวังแต่สบายในวันนี้เท่านั้น สักวันถือความจริงมันแดงออกมาวิมานของของธารีคงทลายไม่เป็นท่า”

“ชีวิตของน้องนะคะแม่ ถ้าน้องเลือกแบบนี้ พวกเราจะทำอะไรได้ หวังอย่างเดียวว่าหากเกิดอะไรขึ้นธารีจะไม่เข้าปิ้งไปด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้นหนูจะสงสารสืบธารมากๆ ทีเดียว”

“ถ้าอย่างไร กุนอย่าทิ้งน้องนะลูก ช่วยสงเคราะห์น้องเท่าที่จะทำได้ ถือว่าแม่ขอ เรามีกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น”

“แม่อย่าห่วงเลยค่ะ”

ความเป็นห่วงของพ่อและแม่เป็นจริงขึ้นมาในวันหนึ่ง ขบวนการค้าของเถื่อนของสืบพงศ์ถูกทลาย แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ตัวการสำคัญ แต่ก็ต้องรับหน้าเป็นผู้ต้องหาเพียงคนเดียว นายใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังยังลอยนวล ตำรวจบุกจับกุมสืบพงศ์ ตรวจยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด ธารีโทรศัพท์มาขอความช่วยเหลือจากพ่อ เพื่อให้ใช้เส้นสายทางการทหารช่วยเหลือนายสืบพงศ์​ แต่พ่อปฏิเสธ ธารีตัดพ้อพ่ออย่างนัก แม่เล่าว่าพ่อฉิวเต็มกำลังจึงตอบธารีไปด้วยเสียงนิ่งๆ เย็นๆ ว่า “ถ้ามันแค่ค้าของหนีภาษีจำนวนขนม น้ำหวาน น้ำมัน ของใช้ไฟฟ้านิดๆ หน่อยๆ ฉันยังพอออกปากช่วยมัน แต่นี่แกรู้ไหมว่ามันไม่ได้ค้าแค่นั้น มันลอบค้าน้ำมันเถื่อนกลางทะเล มันเป็นนายหน้าส่งผู้หญิงจากทางเหนือไปขายที่ชายแดนใต้ ใครขัดขวางมันก็จับฆ่าโยนทะเล หรือไม่ก็เผานั่งยาง ผู้หญิงตั้งกี่คนที่ไปตายในซ่องชายแดนอย่างผีไม่มีญาติ แล้วอย่างนี้หรือจะให้ฉันไปช่วยมัน นี่ธารีถ้าแกมีความเป็นคนสักหน่อยก็ยอมให้ผัวแกรับกรรมที่ก่อเถิด ส่วนแกถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่มันทำ แล้วแกไม่มีที่ไป ก็กลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านนี่ ลำพังแกกับสืบธารพ่อพอเลี้ยงได้ แต่จะให้หรูหราอย่างเก่าแกอย่าหวัง”

พ่อคงเสียใจไม่น้อย ที่กว่าจะรู้เรื่องราวเบื้องหลังของสืบพงศ์อย่างละเอียดก็ผ่านมาหลายปี เกินว่าจะแก้ไขอะไรเสียแล้ว

ธารีกระฟัดกระเฟียดแต่ไม่นานก็หอบสืบธารกลับมาอยู่ที่บ้านพ่อ ดังนั้นตอนนี้ในบ้านของพ่อจะอุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยคนถึงสามรุ่นถึงเจ็ดคน…

 



Don`t copy text!