ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (2)

ก่อนย่ำสนธยา บทที่ 1 : ฉันชื่อกุนตี (2)

โดย : สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ

Loading

ก่อนย่ำสนธยา โดย สัมพันธ์ สุวรรณเลิศ เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 3 ที่มาพร้อมเรื่องราวของหญิงวัยเกษียณที่ต้องพบบททดสอบแห่งชีวิต โดยเฉพาะเมื่อเธอมาเสียท่าให้มิจฉาชีพในคราบญาติมิตร เธอจะพลิกฟื้นให้กลับมามาดมั่นในตัวเองได้หรือไม่ พบคำตอบได้ใน anowl.co

เรื่องของบัวสีมาถึงจุดสิ้นสุด เมื่อวันหนึ่งบัวสีมาปรากฏตัวที่หน้าบ้านพักเหมือนทุกครั้ง คราวนี้นางไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายอย่างทุกครั้ง เหมือนนางตัดสินใจและคิดคำพูดมาอย่างดีแล้ว

เมื่อพบพ่อ บัวสีนั่งคุกเข่าและกราบที่เท้าพ่อ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “บัวสีจะไปทำงานที่ซาอุ ญาติในหมู่บ้านเดียวกันเขาว่าได้เงินดี บัวสีจะไปทำงานเก็บเงินสักสี่ซ้าห้าปี กลับมาจะได้พบตั้งตัว แต่บัวสีไม่มีเงินทุนไปจ่ายนายหน้าจัดหางาน จึงต้องบากหน้ามาขอร้องท่านให้ช่วย…”

บัวสีบอกจำนวนเงิน ซึ่งไม่เหลือบ่ากว่าแรงพ่อ

พ่อพยักหน้ารับแล้วเดินเข้าไปหยิบเงินตามจำนวนที่บัวสีร้องขอ ก่อนที่จะส่งเงินให้พ่อพูดกับนางเสียงดังฟังชัดและหนักแน่นว่า “ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้วนะ จากนี้ไปไม่ว่าจะตายเป็นเหม็นหอมอย่างไร เธออย่ากลับมาให้ฉันเห็นหน้าอีก”

บัวสีก้มกราบแล้วรับเงินไป และจากวันนั้นบัวสีไม่เคยเข้ามารบกวนเราที่บ้านอีกเลย

ผ่านไปหลายสัปดาห์ ฉันจึงถามพ่อว่า พ่อคิดว่าบัวสีจะกลับมารบกวนครอบครัวเราอีกไหม

พ่อตอบว่า “มันมีผัวใหม่ไปแล้ว จะกลับมาทำไมกัน แล้วก็ไอ้ที่มาขอเงินไปซาอุ ก็มาขอให้ผัวใหม่มันนั่นละ…”

พ่อถอนหายใจ ฉันไม่รู้เลยว่าที่พ่อถอนหายใจนั้นเป็นเพราะเสียดาย หรือโล่งใจ

“…ก็ดีเหมือนกัน จบๆ กันไป คาราซังมาหลายปี จากนี้ไปแม่ของเราจะได้สบายใจจริงๆ เสียที”

 

ฉันเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าความรู้สึกที่แท้จริงของแม่เกี่ยวกับเรื่องของบัวสี ภายใต้การแสดงออกที่ราบเรียบของแม่ตั้งแต่รู้เรื่องของบัวสี จนนางเดินออกจากชีวิตคู่ของพ่อและแม่ไป แท้จริงแล้วเหมือนกับท้องน้ำของแม่น้ำที่พื้นผิวดูราบเรียบสงบ แต่ด้านล่างกลับไหลเชี่ยวกราก

แม่แสดงท่าทีไม่ยินดียินร้าย แต่ลับหลังฉันเห็นแม่ครุ่นคิด เหม่อลอย ไม่เป็นสุข จนบางครั้งแม่แอบไปร้องไห้คนเดียวอยู่บ่อยครั้ง

ชีวิตในวัยรุ่นช่วงนั้นของฉันยังไม่รู้ว่าความรักคืออะไร จึงไม่ตระหนักและเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงต้องอดทนขนาดนั้น

รอยร้าวในชีวิตคู่ของพ่อแม่กลายเป็นหนามไหน่ในใจของฉัน ฉันตั้งปณิธานว่าหากวันหน้าชีวิตของฉันต้องประสบปัญหาอย่างแม่ ฉันจะไม่ยอมให้เรื่องคาราคาซังจนเป็นบาดแผลเรื้อรังเช่นนี้แน่นอน

เรื่องของบัวสีคงเป็นรอยสะดุดเดียวในชีวิตคู่ของพ่อแม่และครอบครัวของฉัน เมื่อเธอเดินจากไปและไม่มีวี่แววว่าจะย้อนกลับมา บรรยากาศในบ้านก็ค่อยๆ กลับมาดีเช่นเดิม

พ่อและแม่กลับมาเป็นเหมือนเดิม…เหมือนเรื่องของบัวสีไม่เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวเรา

 

พ่อได้รับการเลื่อนยศตามลำดับขั้นความดีความชอบ และฉันก็ได้กลายเป็นลูกสาวนายพลในปีที่เอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยได้สมตั้งใจ

อย่างที่ฉันบอกไปแล้วว่าคนในรุ่นฉันถูกปลูกฝังมาให้รักษาวินัย และหน้าที่ของตัวเอง และเฉพาะฉันที่มีพ่อเป็นทหารและมีแม่เป็นครูด้วยแล้ว เหมือนค่านิยมเหล่านี้จะมีผลต่อฉันเข้มข้นขึ้นเป็นสองเท่าทีเดียว แม่มักจะสั่งสอนฉันเสมอว่าการศึกษาคือบันไดก้าวสำคัญในอนาคต ส่วนพ่อก็มักจะบอกว่าเรียนสูงๆ จะได้เป็นเจ้าคนนายคน แต่เล็กมาฉันไม่เคยเข้าใจคำพูดของพวกท่านนักหรอก ทราบเพียงแต่ว่าการตั้งใจเรียนและสอบได้ที่ลำดับดีๆ จะทำให้พ่อแม่พอใจ ชื่นใจ และภูมิใจที่ฉันประสบความสำเร็จในเรื่องการเรียน ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญในชีวิตฉันขณะนั้น ความจริงทั้งพ่อและแม่ไม่ค่อยจะชื่นชมฉันต่อหน้า พ่อมีความเห็นว่าชมลูกต่อหน้าเดี๋ยวลูกจะเหลิงแล้วดีแตก ดังนั้นหากท่านพอใจก็มักจะแค่ยิ้มแล้วพยักหน้า พร้อมคำสอนที่ว่า “ดีแล้วลูก แต่ต้องพยายามทำให้ดีขึ้นกว่านี้”

ฉันรักษาผลการเรียนได้อย่างดีเยี่ยม จนแม่คิดว่าฉันควรย้ายไปเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ที่อยู่ห่างจากกรมทหารที่ฉันพักออกไป และฉันก็สามารถสอบเข้าเรียนได้ในสายศิลป์ – คำนวณ โดยมีคะแนนสูงเป็นอันดับต้นๆ ของเพื่อนร่วมรุ่น

ชีวิตนักเรียน มศ.ของฉันผ่านไปอย่างราบรื่น ฉันสามารถสอบเพื่อสำเร็จการศึกษาระดับ มศ.5 ซึ่งเป็นข้อสอบกลางจากกระทรวงฯ ที่เด็กที่จะจบ มศ.5 ทุกคน ต้องสอบข้อสอบนี้เหมือนๆ กัน และต้องสอบให้ผ่านถึงจะถือว่าสำเร็จการศึกษาชั้น มศ.5 ถึงจะมีสิทธิ์สอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย แต่ถ้าหากไม่ผ่านนั่นหมายความว่าต้องเรียนซ้ำชั้นอีกปี เพื่อให้ได้วุฒิ มศ.5 มีข่าวร่ำลือถึงความโหดของข้อสอบกระทรวงว่า โรงเรียนประจำจังหวัดบางโรงเรียนถึงขนาดไม่มีนักเรียนสอบผ่านเลยแม้สักคนก็เคยมีมาแล้ว

ความกลัวทำให้ฉันพยายาม เพราะรู้ดีว่าการตีโพยตีพายเพื่อให้ลดระดับความยากของข้อสอบไม่ช่วยอะไร ฉันพร่ำบอกตัวเองว่าถ้าอยากประสบความสำเร็จ ก็ต้องทำตัวให้มีคุณภาพตามเกณฑ์ ฉันคร่ำเคร่งอ่านหนังสือและทำข้อสอบเก่าๆ ที่พอจะหามาได้อย่างหนัก และความพยายามก็ไม่เคยทำร้ายใคร ฉันสอบผ่าน มศ.5 และสำเร็จการศึกษาขั้นต้นอย่างน่าภูมิใจ

ยัง…ฉันยังพักไม่ได้หรอก เพราะด่านต่อไปคือการสอบเข้ามหาวิทยาลัย การ ‘เอ็นทรานซ์’ คือด่านสำคัญที่ผ่านยากกว่าการสอบ มศ.5 เสียอีก เพราะการสอบจบ มศ.5 มันคือการแข่งขันกับตัวเองที่จะต้องทำคะแนนให้ผ่านเกณฑ์ แต่การเอ็นทรานซ์นั้นยากยิ่งกว่า เพราะฉันต้องแข่งขันกับเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันจากทั่วประเทศ และมีจำนวนนับพันที่มีเป้าหมายเดียวกับฉัน แต่ที่นั่งเรียนนั้นมีแค่หลักร้อยต้นๆ ดังนั้น ฉันจึงทุ่มเทกับการสอบครั้งนี้ มิเช่นนั้นชีวิตฉันจะต้องเคว้งคว้างไปอีก 1 ปี

 

 



Don`t copy text!