ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 9 : ลูกหาย

ลูกไม้เกี่ยวรัก บทที่ 9 : ลูกหาย

โดย : นวาภัส

Loading

ลูกไม้เกี่ยวรัก โดย นวาภัส นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้ (เล็กๆ) เรื่องราวของหญิงสาวสุดแกร่งที่ชีวิตนี้ขอมีลูก โดยไม่ต้องมีสามี แล้วใครเล่าจะเข้าใจเธอ พบกับความอลหม่านของสองแม่ลูกคู่ป่วนใน “ลูกไม้เกี่ยวรัก” ได้ในเพจอ่านเอา และ เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ตีรณาขับรถเข้ามาภายในคฤหาสน์หรูราคากว่า 100 ล้าน ใจกลางกรุงเทพฯ บ้านหลังใหญ่มีเพียงเธอกับพ่อที่อาศัยอยู่ด้วยกัน นอกนั้นมีแต่คนรับใช้ แม่ของเธอเสียชีวิตด้วยโรคร้ายเมื่อหลายปีก่อน ทำให้ที่นี่ยิ่งเงียบเหงาเหมือนหัวใจของเธอที่อ้างว้างโดดเดี่ยว

“ตี้ มาคุยกับพ่อก่อน” เสียงทรงอำนาจของตีรณ ทำให้หญิงสาวหยุดฝีเท้าที่กำลังจะเดินผ่านห้องนั่งเล่น แล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปนั่งใกล้ๆ พ่อ

“คุณพ่อกลับเร็วจังนะคะวันนี้” เธอทักทาย

“เมื่อไหร่ตี้กับซันจะแต่งงานกันเสียที” คำถามที่ตรงชัดเข้าประเด็น ทำให้เธอสะอึก ไม่กล้าสบตาพ่อ

“ซันเขาขอเวลาอีกสักพักค่ะ แล้วช่วงนี้ตี้เองก็งานยุ่ง คิดว่าเลื่อนไปก่อนก็ดีเหมือนกันค่ะ” ตีรณาโกหกบิดาเพื่อให้เขาสบายใจ และหยุดกดดันเธอเรื่องแต่งงาน แต่ในใจก็รู้ว่าคงไม่สำเร็จ เพราะสิ่งที่พ่อต้องการไม่ใช่ความสุขของเธอ แต่เป็นเงินทุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าที่หวังว่าจะได้จากพ่อของอคิราห์

“อย่านานนักล่ะ รู้ใช่มั้ยว่าพ่อต้องการอะไร” ตีรณเป็นนักการเมืองโดยอาชีพ เขาเล่นการเมืองมาตั้งแต่อายุ 32 เหมือนกับบิดา และวางอนาคตไว้แล้วว่าตีรณาจะเป็นทายาททางการเมืองที่ต้องสืบทอดต่อจากตัวเอง ดังนั้น การวางรากฐานที่มั่นคงให้ลูกสาวก่อนที่จะกระโดดลงสนามเลือกตั้ง จึงเป็นสิ่งจำเป็น อคิราห์เป็นหมอหนุ่มอนาคตไกล ลูกชายนักธุรกิจใหญ่เงินหนา จึงเหมาะที่จะเป็นฐานที่มั่นคงแข็งแรงของลูกสาวรวมถึงตัวเองด้วย

“แล้วตี้จะบอกซันให้นะคะ” หญิงสาวรับปากพ่อก่อนจะผละหนีไป

 

ตีรณารู้ว่าการกดดันอคิราห์ให้แต่งงานไม่ใช่เรื่องง่าย เธอเองก็เคยพูดกับเขามาแล้ว แต่ชายหนุ่มบ่ายเบี่ยงมาตลอด อ้างว่าเพิ่งย้ายโรงพยาบาลไปรับตำแหน่งใหม่ อยากให้งานทุกอย่างลงตัวก่อน จะได้มีเวลาให้กับครอบครัวอย่างเต็มที่

คราวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเริ่มพูดถึงเรื่องการแต่งงาน เขาก็บอกว่ายังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสม ให้เธอรอไปก่อน และเมื่อถามว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ เขาก็ไม่มีคำตอบให้ จนหญิงสาวเริ่มคิดแล้วว่า อคิราห์อาจไม่อยากแต่งงานกับเธอจริงๆ ก็ได้ เขาแค่ประวิงเวลาไปเรื่อยๆ จนกว่าเธอจะถอดใจ และเดินหนีไปเอง ที่จริงเธอก็เคยมีความคิดนั้นขึ้นมาวูบหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็หายไปอย่างรวดเร็วเหมือนสายลมพัดผ่าน

“ตี้ไม่ได้อยากจะกดดันคุณหรอกนะคะ แต่เราก็หมั้นกันมานานมากแล้ว คุณพ่อก็คงอยากให้แต่งงานเสียที เขาคงกลัวว่าหมั้นกันไปนานๆ ค่าตัวตี้อาจจะลดลงตามอายุที่เพิ่มขึ้นมั้งคะ” หญิงสาวหัวเราะฝืดๆ กับตลกร้ายที่เธอคิดขึ้นมาเอง

“ขอโทษนะ หวังว่าคุณคงเข้าใจความจำเป็นของผมในตอนนี้” อคิราห์รู้สึกผิดต่อหญิงสาว แต่เขาเองยังไม่อยากแต่งงานในตอนนี้

“ถามจริงๆ นะคะ คุณเคยรักตี้บ้างไหม ทำไมตี้ถึงไม่เคยสัมผัสได้ถึงความรักของคุณเลย” ตีรณารวบรวมความกล้าถามสิ่งที่เก็บงำอยู่ในใจมาหลายปี ไม่ใช่ไม่กล้าถาม แต่เธอกลัวคำตอบที่จะได้รับมากกว่า

อคิราห์อึ้ง ไม่คิดว่าตีรณาจะถามถึงเรื่องความรักที่เขาตอบไม่ได้ เพราะคำตอบของเขาจะทำร้ายจิตใจของคู่หมั้น จะบอกเธอได้อย่างไรว่าที่ผ่านมาเขาไม่เคยมีใจให้เธอเลย แม้จะพยายามทำความเข้าใจในตัวตนของคู่หมั้น แต่ยิ่งพยายามก็เหมือนยิ่งผลักให้เขาออกห่าง ตีรณาไม่ใช่คนเลวร้ายหรือไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่ผู้หญิงในแบบที่เขาต้องการ แม้จะมีชาติตระกูลและการศึกษาที่ดีมาก แถมยังเป็นคนสวยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเฉลียวฉลาดและมั่นใจ แต่ก็มีทัศนคติ ความเชื่อหลายอย่างที่แตกต่างจากตัวเขา ทำให้ทุกครั้งที่เริ่มคุยกันจะเกิดเป็นความอึดอัดจนอยากเดินหนี

ชายหนุ่มรู้ตัวเองมานานแล้วว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่อาจทำใจให้รักเธอได้ แต่ที่ยังไม่เดินจากไปเพราะตีรณาไม่ได้ทำอะไรผิด ตัวตนของตีรณาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน เธอไม่เคยพยายามสร้างภาพให้เป็นแบบที่เขาต้องการ ถือว่าเธอยึดมั่นในตัวตนของตัวเองอย่างมั่นคง นี่เป็นข้อดีที่เขาชื่นชม แต่จะให้ใช้ชีวิตร่วมกัน อคิราห์คิดว่าคงไปไม่ถึงจุดนั้น ตอนนี้เพียงรอเวลาที่เหมาะสมที่จะบอกกับเธอว่า เขากับเธอแตกต่างกันมากเกินไป

เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการ ตีรณาจึงกลับไปพร้อมหัวใจที่อ่อนล้าเจ็บปวด อคิราห์ไม่เคยเอ่ยคำว่ารักกับเธอสักครั้ง แค่นี้ก็น่าจะมั่นใจแล้วว่าเขายังไม่พร้อมที่จะใช้ชีวิตกับเธอ เพื่อนเธอหลายคนเคยให้กำลังใจว่า ให้ดูจากการกระทำมากกว่าคำพูด เพราะผู้ชายมากมายก็ไม่กล้าบอกรักผู้หญิงทั้งที่ความจริงรักมาก แต่ทฤษฎีนี้ใช้กับคู่หมั้นเธอไม่ได้ เพราะการกระทำของเขาเย็นชายิ่งกว่าคำพูด จนไม่รู้ว่าเขามีหัวใจบ้างหรือเปล่า หรือแค่เขาไม่ได้รักเธอ

“พ่อคับ หมีตัวใหญ่เบ้อเร่อเลย ดูสิๆ”

ในวันหยุดสุดสัปดาห์ โอโซนใส่ชุดเอี๊ยมยีนส์ ห้อยกระเป๋าเป้ใบเก่ง วิ่งไปทั่วสวนสัตว์ ร้องเรียกอคิราห์ให้ดูหมี งู ฮิปโป ลิง ช้าง อย่างมีความสุข ส่วนคนที่ไปด้วยเดินหน้าม่อยไร้รอยยิ้ม วันหยุดที่แสนหวานถูกทลายลงเพราะปัณฑารีย์อยากให้เขาพาโอโซนมาเที่ยวสวนสัตว์แทนเธอที่ติดงานด่วน เมื่อเขาปฏิเสธว่าอยากพักผ่อนนอนอยู่บ้าน กลับถูกเธอบังคับขู่เข็ญ แถมยังให้โอโซนโทร.มาออดอ้อนจนเขาต้องฝืนใจยอม

เปลวแดดที่ร้อนแรงจนแทบจะเผาไหม้ร่างกายให้สลายลงไปได้ในพริบตา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มหงุดหงิด เขาไม่ชอบความร้อน ไม่ชอบสถานที่ที่มีผู้คนมากมาย แถมยังมีเด็กวิ่งวุ่นวายไปทั่ว อคิราห์เริ่มปวดหัว อยากได้ที่โล่งๆ เพื่อผ่อนคลายความอึดอัด เขามองไปรอบๆ เห็นสวนเล็กๆ ข้างกรงนกที่ไม่ค่อยมีคนจึงรีบวิ่งไปสูดหายใจคลายความเครียด แม้กลิ่นไม่พึงประสงค์จะรบกวนโสตประสาทไปบ้าง แต่เขาก็พยายามไม่ใส่ใจ เมื่อหายใจโล่งขึ้น อคิราห์คิดว่าจะต้องพาโอโซนกลับได้แล้ว ขืนทนอยู่ต่อไปเขาอาจจะได้แปลงร่างเป็นอสุรกายออกไล่กินเด็กๆ เป็นแน่

ชายหนุ่มกวาดสายตาหาโอโซนไปรอบๆ จำได้ว่าก่อนหน้าที่จะวิ่งมาที่สวน เขาเห็นเด็กน้อยยืนเกาะกรงเสือด้วยความตื่นเต้น แต่ตอนนี้ว่างเปล่าไร้เงาโอโซน อคิราห์ใจหล่นวูบไปอยู่ที่ปลายเท้า เขารีบพุ่งไปที่กรงเสือชะโงกหน้าลงไป แล้วถอนหายใจโล่งอกที่ไม่เห็นโอโซนร่วงไปอยู่ในนั้น ชายหนุ่มร้อนใจเดินตามหาเด็กน้อยจนทั่วสวนสัตว์แต่ไม่มีวี่แวว เขาเกรงว่าโอโซนจะหลงทางออกไปข้างนอก หรือถูกคนไม่หวังดีจับตัวไป จึงรีบติดต่อเจ้าหน้าที่ให้ช่วยออกตามหา เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเขาก็เริ่มรู้สึกกลัว ถ้าโอโซนเป็นอะไรไป เขาจะทำอย่างไร ปัณฑารีย์อุตส่าห์ไว้ใจให้เขาเป็นคนดูแลลูกของเธอ แม้จะไม่ค่อยเต็มใจ แต่เขาก็ต้องดูแลเด็กน้อยให้ดีที่สุด แต่นี่กลับปล่อยปละละเลยจนเด็กหาย อคิราห์รู้สึกว่าตัวเองเลวร้ายจนให้อภัยไม่ได้

“พ่อคับ ไปไหนมาโอโซนหาตั้งนาน” โอโซนเดินถือขวดน้ำอัดลมมาหาอคิราห์ ชายหนุ่มดีใจลืมตัวผวากอดโอโซนไว้แน่น

“ไปไหนมา รู้มั้ยว่าเป็นห่วง” เขาทั้งดีใจทั้งโล่งอกที่เห็นเจ้าตัวเล็กปลอดภัย

“โอโซนเห็นพ่อไม่สบายเลยไปซื้อน้ำมาให้คับ แต่กลับมาพ่อก็หายไปแล้ว โอโซนเดินหาตั้งนานแน่ะ” โอโซนยื่นขวดน้ำให้อคิราห์ ชายหนุ่มมองเด็กน้อยตรงหน้า จู่ๆ ความรู้สึกตื้นตัน ซาบซึ้งก็ดันน้ำตาของเขาขึ้นมาจนเอ่อล้น หนุ่มหล่อรีบดึงเจ้าตัวเล็กมากอดไว้แน่น ซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมา

“ขอโทษนะ แต่คราวหน้าอย่าหายไปอีกนะครับ โอโซนต้องอยู่ในสายตา…เอ่อ…พ่อตลอดนะ” แม้คำว่าพ่อจะออกมายากเย็น แต่น้ำตาของเขากลับไหลลงมาอย่างง่ายดาย จนต้องรีบเช็ดออกไม่ให้ใครเห็น

“ดูพ่อลูกคู่นั้นสิ น่ารักจังเลย ฉันอยากได้พ่อของลูกแบบนี้บ้าง”

“ละมุนไปหมด แดดดี้” เสียงเมาท์เบาๆ ของบรรดาหญิงสาวที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ทำให้เขารู้ว่ากำลังตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น จึงรีบลุกขึ้นจับมือโอโซนไว้แน่นเหมือนกลัวว่าเขาจะหลุดลอยไปเหมือนลูกโป่ง

“พ่อหายป่วยแล้วเหรอคับ” สายตาขี้สงสัยจ้องมองคนเป็นพ่อ

“หายแล้วคับ เราไปหาขนมอร่อยๆ กินที่ห้างดีกว่า โอโซนอยากกินอะไร อยากได้ของเล่นอะไร เดี๋ยวซื้อให้หมดเลย”

“จริงนะคับ เย้ๆๆ ไปซื้อของเล่นกันเลย” เด็กน้อยดีใจปล่อยมืออคิราห์ จะวิ่งนำหน้าไปซื้อของเล่น แต่คราวนี้หนุ่มหล่อรีบคว้าข้อมือเล็กๆ เอาไว้ เขาจะไม่ปล่อยให้เด็กน้อยหลุดมืออีกแล้ว

เหตุการณ์ในวันนี้ ทำให้อคิราห์รู้ว่าหน้าที่ของคนเป็นพ่อแม่ไม่ใช่แค่มีลูก หาอาหารดีๆ ให้กิน หาเสื้อผ้าดีๆ ให้ใส่ แต่ต้องดูแลปกป้องเขาให้ดีที่สุด เพราะถ้าปล่อยปละละเลยแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก คนที่จะเสียใจคือตัวของพ่อแม่เอง

ปัณฑารีย์เอ็นดูเมื่อเห็นอคิราห์อุ้มโอโซนที่หลับสนิทพาดบ่ามาส่ง เธอเกรงใจจะรับตัวลูกชายจากเขา แต่ชายหนุ่มกลับอุ้มขึ้นไปส่งจนถึงเตียงนอน เขาค่อยๆ วางโอโซนลงอย่างแผ่วเบาอ่อนโยน พยายามไม่มีแรงกระแทกใดๆ ให้เด็กน้อยตื่นขึ้นมาจากการหลับใหลแสนหวาน หญิงสาวเฝ้ามองด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ผู้ชายเย็นชาก็อ่อนโยนเป็นเหมือนกัน ความทรงจำดีๆ ในอดีตย้อนกลับมา ครั้งหนึ่งเขาก็เคยเป็นผู้ชายที่น่ารักอบอุ่นสำหรับเธอ จนกระทั่งวันที่เขาหักอกเธอจนใจสลาย

“ปันเกรงใจพี่ซันจริงๆ นะคะ พาไปเที่ยวแล้วก็ยังพาไปซื้อของเล่นอีก คราวหน้าไม่ต้องตามใจกันขนาดนี้ก็ได้นะคะ” หญิงสาวมองของเล่นหลายชิ้นที่เขายื่นให้ ในใจปลื้มปริ่มที่เห็นหนุ่มหล่อเอ็นดูลูกชายของเธอ

“คงไม่มีคราวหน้าแล้วละ เพราะอีกไม่กี่วันสัญญาปีศาจก็จะจบลงแล้ว” เขาพูดออกไปโดยไม่ได้คิดอะไร แค่รู้สึกว่ากำลังจะหมดภาระเสียที

ปัณฑารีย์ชะงัก ความรู้สึกปลื้มปริ่มเมื่อกี้หายวับไปทันทีกลายเป็นความเศร้าใจขึ้นมาแทนที่ เธอคิดว่าระยะเวลาที่ผ่านมาเขาอาจจะมีใจเอ็นดูโอโซนบ้าง แต่ที่จริงแล้วเขาแค่ทำตามข้อตกลงที่ทำไว้กับเธอ และรอวันให้เวลานั้นจบสิ้นเสียที

“จริงด้วยค่ะ ปันลืมไปว่าพี่กำลังจะหมดหน้าที่ที่ปันบังคับให้ทำ…กลับบ้านดีๆ นะคะ” หญิงสาวปิดประตูบ้านทันทีที่พูดจบ หัวใจของเธอห่อเหี่ยว ผิดหวัง ไม่เข้าใจตัวเองว่ากำลังหวังอะไรอยู่กันแน่ ทำไมต้องผิดหวังมากมายกับคำพูดและการกระทำของเขา ทั้งที่ก็รู้อยู่เต็มอกว่าเขามารับบทพ่อของโอโซนด้วยความไม่เต็มใจ

ทันทีที่ประตูถูกปิดใส่หน้า อคิราห์ก็ยืนอึ้งไม่ขยับเขยื้อนเอาแต่จ้องมองบานประตู เหมือนอยากให้มันสลายไปหรือตัวเองสามารถเดินทะลุเข้าไปด้านในได้ เพื่อขอโทษที่พูดจาไม่ถนอมน้ำใจของปัณฑารีย์ เขาอยากตบปากตัวเองที่พูดอะไรไม่คิด ทำให้หญิงสาวรู้สึกแย่ แต่ก็ไม่กล้าเคาะประตูให้เธอกลับออกมาฟังคำขอโทษของเขา อคิราห์เดินหน้าจ๋อยไปขึ้นรถด้วยความรู้สึกผิด ชายหนุ่มไม่เอะใจเลยว่าตอนนี้หัวใจน้ำแข็งของเขากำลังถูกละลายทีละนิด ทีละนิด

 

วันต่อมาตีรณาพุ่งมาที่โรงพยาบาลทันที หลังจากเห็นภาพถ่ายที่เพื่อนของเธอส่งมาให้ และบอกว่าได้ยินเด็กน้อยเรียกคู่หมั้นหนุ่มหล่อของเธอว่าพ่อ ทำให้เธอช็อกไปพักใหญ่ เกิดคำถามขึ้นมากมายในหัว เด็กคนนั้นเป็นลูกของคู่หมั้นเธอจริงไหม หรือเป็นเพียงการเข้าใจผิด แล้วภาพที่อคิราห์กอดเด็กน้อยแน่นคืออะไร หัวใจของเธอสับสนมึนงงเหมือนถูกค้อนขนาดใหญ่ทุบลงไปแรงๆ วันนี้เธอจึงต้องรู้ความจริงจากปากของเขาให้ได้

อคิราห์มองรูปถ่ายของเขากับโอโซนแล้วรู้สึกรำคาญใจ ความเป็นส่วนตัวของเขาหายไปไหนหมด ทำไมถึงมีคนไร้มารยาทแอบถ่ายรูปของพวกเขาโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเฉพาะโอโซนที่เป็นเด็ก เดี๋ยวนี้เขามีกฎหมายคุ้มครองแล้วด้วยซ้ำ แต่บางคนกลับไม่สนใจ ในใจเขาคุกรุ่นอยากฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้เข็ด ติดตรงที่ว่าคนที่เอารูปเหล่านั้นมาคือคู่หมั้นของตัวเอง

“ถ่ายรูปคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต มันผิดกฎหมาย PDPA นะ” สายตาของเขาบ่งบอกถึงความรำคาญใจอย่างชัดเจน

“ตี้ไม่ได้ให้ซันมาบรรยายเรื่องกฎหมายบ้าบออะไรนะคะ ตี้อยากรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร ทำไมถึงเรียกซันว่าพ่อ เขาเป็นลูกของซันจริงๆ ใช่มั้ย” หญิงสาวไม่สนใจว่าตอนนี้ชายหนุ่มจะรู้สึกอย่างไร เธอแค่อยากให้เขาบอกมาว่าภาพที่เห็นอยู่ไม่ใช่เรื่องจริง มันเป็นแค่การเข้าใจผิด

“คุณอยากให้ผมตอบว่ายังไงล่ะ” ฟังดูเหมือนกวนประสาท แต่ที่จริงเขาไม่อยากพูดอะไรโดยไม่คิดออกไปแล้วทำให้ตีรณาเข้าใจผิดหรือเสียใจ เหมือนที่ทำกับปัณฑารีย์เมื่อคืน

“ซันแกล้งโง่เหรอ ไม่รู้หรือไงว่าตี้แค่อยากให้ซันอธิบายความจริง ซันพูดใส่หูตี้มาตลอดว่าเกลียดเด็กไม่อยากมีลูก แต่กลับไปแอบมีลูกกับผู้หญิงคนอื่น แบบนี้มันทุเรศมากนะ” ตีรณาเก็บความโกรธไว้ไม่อยู่ ต่อว่าอคิราห์ด้วยถ้อยคำรุนแรง ในหัวอกของเธอตอนนี้อัดอั้นจนแทบจะระเบิดออกมา น้ำตาที่แทบไม่เคยไหลตอนนี้มาเอ่ออยู่ที่ขอบตารอเวลาทะลัก

“เด็กคนนี้เป็นลูกเพื่อน เขาฝากให้ช่วยดูแลแทนเพราะต้องทำงานด่วน” เขาอธิบายสั้นๆ ตอนนี้ความอึดอัดใจมันคับแน่นไปหมด อคิราห์ไม่ได้กลัวตีรณาโกรธ แต่กลัวว่าถ้าตีรณารู้ความจริงอาจจะส่งผลกระทบกับปัณฑารีย์ เพราะเขาเคยเห็นมาแล้วว่าเวลาที่ผู้หญิงหึงหวงอาจทำเรื่องที่คาดไม่ถึงได้

“แล้วทำไมเด็กคนนี้เรียกซันว่าพ่อ”

“ผมว่าเพื่อนคุณน่าจะได้ยินไม่ชัด หรือไม่ก็เข้าใจผิด เด็กคนนี้จะมาเรียกผมว่าพ่อทำไม” เขาโกหกเพราะไม่อยากให้ตีรณาต้องคิดมากจนมาสร้างความกดดันให้เขาไม่หยุดหย่อน เพราะอีกไม่นานภารกิจพ่อจอมปลอมก็จะจบลงแล้ว ตีรณาไม่จำเป็นต้องรู้ความจริงก็ได้ เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

สาวสวยไม่ได้พอใจในคำตอบของเขา เธอยังมีเรื่องที่ข้องใจ และไม่คิดว่าเพื่อนจะเข้าใจผิดอย่างที่อคิราห์พูด แต่ที่ยอมเงียบไม่ซักไซ้อะไรต่อ เพราะไม่อยากทำให้เขาขุ่นข้องหมองใจไปมากกว่านี้ คบกันมาหลายปีแค่มองตาเธอก็รู้แล้วว่าเมื่อไหร่ต้องหยุดก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่ อคิราห์ไม่ชอบให้ใครมากดดันหรือสร้างความรำคาญ ถ้าเธออยากให้ความสัมพันธ์ยังคงอยู่ดีไม่พังทลายก็ต้องพยายามทำความเข้าใจและไม่ตั้งข้อสงสัยกับคำตอบของเขา แม้ว่าจะยังคาใจอยู่ก็ตามที

“คุณจะเชื่อหรือไม่ก็สุดแท้แต่คุณ แต่ผมยืนยันได้อย่างหนึ่งว่าผมไม่เคยแอบไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนไหนจนมีลูกแน่ๆ” เขายืนยันหนักแน่นเพื่อคู่หมั้นคนสวยคลายความกังวล อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้โกหกเธอไปเสียทุกเรื่อง

“ค่ะ ตี้เชื่อซัน” ตีรณาคลายใจไปได้เมื่ออคิราห์ยืนยันสีหน้าจริงจัง เธอเชื่อว่าเขาพูดจริง แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่ยังติดค้างในใจ แต่เธอพยายามลบมันทิ้งไปไม่ใส่ใจความรู้สึกเล็กๆ นั้น ที่อาจบั่นทอนความสัมพันธ์ให้แย่ลง

ตีรณากลับไปแล้ว ชายหนุ่มนั่งลงอย่างหมดแรง การโกหกไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคย ปกติเขาจะไม่โกหกใคร ยกเว้นโกหกหัวใจตัวเอง จึงรู้สึกผิดกับคู่หมั้น แต่ถ้าให้พูดความจริงทั้งหมดเธอก็คงรับไม่ได้และมีคำถามมากมายตามมาอีกเป็นกระบุง อคิราห์หลับตานิ่ง พยายามผ่อนคลายร่างกายและความรู้สึกเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทำงานที่หนักหน่วงของวัน งานของเขาต้องใช้สมาธิและความตั้งใจสูงมาก ถ้ามีเรื่องมาทำให้เสียสมาธิ ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน และอาจส่งกระทบไปถึงคนไข้ได้

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปลุกให้ชายหนุ่มที่กำลังผ่อนคลายลืมตาขึ้น เขาคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู หน้าจอเป็นรูปเด็กน้อยหัวหยิกลอนหน้าตาน่ารักวิดีโอคอลเข้ามา เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ บ่นในใจว่า มาแล้วอุปสรรคใหญ่ในการทำงานของเขา

“ว่ายังไงครับ” อคิราห์ทักทายเด็กน้อยหลังลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าจะกดรับสายหรือไม่

“พ่อคับ วันนื้แม่กลับดึก พ่อมานอนกับโอโซนนะครับ” โอโซนฉีกยิ้มกว้างทำหน้าตาที่คิดว่าน่ารักที่สุด เพื่ออ้อนพ่อให้มานอนด้วย

แต่สำหรับพ่อกำมะลอถึงกับถอนหายใจยาว กุมขมับหัวฟุบลงบนโต๊ะอย่างหมดแรง

“อีกแล้วเหรอ พอเถอะคุณลูก”

 



Don`t copy text!