ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
สายทำนอง ดีดสี สะกดจิต เพียงสายพิณ สายนี้ สะกดรัก
สลักจิต ประทับทรวง มิแปรพักตร์ สลักรัก สายซอพี่ คู่สายพิณ
หยดน้ำฟ้าคล้ายละอองฝน โปรยปรายลงมา เปรียบเสมือนน้ำมนต์จากผู้ใหญ่คอยให้พร เมฆก่อตัวเป็นก้อนสีเทาลอยตัวอยู่ไม่ห่างจากสายตา เสียงหยดน้ำฟ้ากระทบพื้นเหมือนทำนองบทกลอนกำลังขับกล่อม ท่ามกลางเมฆสีเทา เผยให้เห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มผิวแทน หน้าคมเข้ม กรามชัด คิ้วเข้มได้รูป รูปร่างสมส่วนเป็นชายไทยทุกกระเบียดนิ้ว ใบหน้าบ่งบอกอายุที่ดูมากกว่าความเป็นจริง คนไม่รู้จักอาจนึกว่าตัวเลขถึง 30 ปีด้วยซ้ำ ผิวตั้งแต่หน้าผากหยาบกร้าน ร่องรอยลึกตามแบบชายผู้เคร่งขรึม ดวงตากลมทว่าแววตาดุดัน เที่ยง กำลังมีความรัก ชายหนุ่มที่เงียบขรึมไม่เคยแสดงออกถึงอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง สิ่งที่ทำให้เที่ยงแสดงออกทางอารมณ์มากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเครื่องดนตรี หรือเวลานักเรียนไม่ได้ดั่งใจ กำลังนั่งกระชับคันซอ นิ้วเรียงสวยจับก้านคันสีถนัดมือ บรรเลงทำนองเข้าคล้องเป็นจังหวะกับบทกลอนที่เขากำลังแต่งให้กับ สายพิณ หญิงที่เขาแอบรัก
นั่นไง เสียงหัวเราะดังมาแต่ไกล
“เครื่องดนตรีฝรั่งดูแปลกตาดีเนอะ”
ใต้ร่มคันเดียวกัน เสียงพูดคุยเจื้อยแจ้ว ดั่งนกการเวกขับขาน กล่อมให้ผู้คนหลงใหล เคลิบเคลิ้ม เปล่งออกมาจากคอเรียวงามระหง เข้ารับกับใบหน้าสวยหวาน ริมฝีปากบางได้รูป แววตาใสซื่อ และซุกซนในคราวเดียว สายพิณ หญิงสาวผู้มีกิริยาวาจาท่าทางคล้ายสาวสมัยใหม่ มองผิวเผินอาจดูเรียบร้อยดังหญิงไทย แท้จริงแล้วแก่นแก้วพอสมควรเลยทีเดียว กำลังเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เหมือนเด็กกำลังเห่อของใหม่ มากับชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาว ใบหน้าเรียวได้รูป คิ้วเข้มเรียงชัด กลางคิ้วตวัดเฉกเช่นดั่งคิ้วยักษ์ กำลังยิ้มหวานเผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ บนแก้มขาวๆ นพ เป็นคนคารมดี ใจดี และใจเย็น น้ำเสียงเขานุ่มนวลชวนฟัง วิธีพูดของนพทำให้ทุกคน ‘ไปไม่ถูก’ บุคลิกภายนอกดูเป็นหนุ่มขุนแผนไปเสียหน่อย แต่วาจาและท่าทางสำรวม สุภาพบุรุษอยู่มาก คำพูดและกริยาท่าทางการแสดงออกให้เกียรติผู้อื่น รวมถึงหญิงสาวก่อนตนเองเสมอ มักถ่อมตนทั้งที่ตนเองเก่งกว่าผู้ที่กล่าวคำชมเสียอีก
“ไว้พี่จะพาสายพิณไปอีกดีไหม”
“ดีค่ะ พิณอยากเรียนไวโอลิน กับมิสเตอร์แทสซี” มือหนาลูบหัวสายพิณอย่างอ่อนโยน ทะนุถนอม หยอกล้อกันมาตามทาง
ทำไมดูสนิทกัน
สายฝนโปรยปรายหนาขึ้น เสียงหยดน้ำฟ้าดังกังวานถี่ขึ้น จากละอองฝนกลายเป็นละอองน้ำขนาดใหญ่ที่ทำให้ทุกสรรพสิ่งเปียกปอนไปทั่วหน้า นพกับสายพิณก้าวขาเร็วขึ้นเพื่อให้ถึงเรือนการเวกก่อนที่จะเปียกกันไปมากกว่านี้ นพประคองสายพิณให้ไม่เปียกฝน ร่มคันเล็กกำลังปกป้องหญิงสาวผู้เป็นดั่งแก้วตาดวงใจ คอยทะนุถนอมดวงใจน้อยๆ ที่กำลังวิ่งอยู่ข้างกายเขา พลันขาเรียวเล็กที่กำลังวิ่งหนีฝนพานก้าวไม่พ้นรากไม้ขนาดใหญ่ เสียงร้องอารามตกใจพาให้นพคว้าแขนเธอไว้ได้ทัน ร่มคันเล็กๆ หลุดจากมือหนาเพราะคนสำคัญที่สุดของเขากำลังจะหกล้ม นพคว้าตัวเธอเข้ามาในอ้อมกอดอันปลอดภัยของเขา สายฝนเป็นใจให้ทั้งสองเปียกปอนไปด้วยกัน นพมองตาสายพิณหวานซึ้ง แววตาของเขาพูดแทนความรู้สึกในหัวใจของเขาทั้งหมด เธอก้มหน้าเขินอายยามอยู่ในอ้อมกอดของนพ
“พี่รักสายพิณ รักตั้งแต่แรกเห็น และจะรักจวบจนลมหายใจสุดท้าย” สายพิณได้ฟังก็รู้สึกวาบหวามจับใจ ชายหนุ่มที่เธอรักกำลังบอกรักเธออยู่ เธอได้แต่ขวยเขินเอาหน้าซุกไหล่กว้างของเขา กลัวเขาจะเห็นแก้มแดงระเรื่อ นพขยับตัวเล็กน้อยพอให้เขาเชยคางเธอขึ้นมาสบตา สายพิณไม่ขัดขืน เธอมองตาเขาอย่างหญิงสาวที่กำลังตกหลุมรักชายหนุ่มตรงหน้าอย่างจัง
ริมฝีปากของนพประทับลงบนหน้าผากของเธอ สายพิณหลับตารับสัมผัสของเขา นพค่อยๆ ไล่จมูกคมสันได้รูปเลื่อนลงมาจรดจมูกน้อยๆ ของเธอ ลมหายใจของทั้งสองใกล้ชิดสนิทกัน เขาบรรจงจูบเธออย่างแผ่วเบา ยามฝนโปรยปรายมีกิ่งไม้ใหญ่คอยบังเม็ดฝนอยู่พอประมาณ สายพิณกอดนพไว้แน่น จูบของเขาประทับลงในหัวใจของเธอ
‘ทำไมดูสนิทกัน’ คำถามที่ก่อขึ้นในจิตใจ นพวิ่งตากฝนประคองสายพิณที่มีร่มผู้พิทักษ์แทนมือของนพไปส่งสายพิณที่ตึกฝรั่ง ปลูกอยู่ไม่ไกลจากเรือนการเวกเท่าไรนัก เรือนการเวกแห่งนี้เป็นของพ่อสายพิณที่ได้รับพระราชทานปลูกสร้างมาจากพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 มีไว้ฝึกขับร้องเสภา และสอนการดนตรีไทย ให้กับลูกหลานในรั้วในวัง และมีบ้างที่นพและเที่ยงจะเปิดฝึกสอนให้กับคนทั่วไปเป็นครั้งคราว ทั้งสามคนเหมือนเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นครูฝึกสอนหลักของโรงสอนดนตรีที่นี่ บางคราวพ่อของสายพิณจะลงมาดูเหล่าลูกศิษย์ลูกหาเพื่อขอไปเล่นให้คนในวังฟังบ้าง ไปประลองฝีมือ หรือแม้กระทั่งไปทูลเกล้าถวายงานรับใช้ นพและเที่ยงก็เคยรับใช้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอยู่บ้าง แต่ทั้งสองชอบที่จะมาเป็นครูสอนเด็กรุ่นใหม่ๆ เพื่อถ่ายทอดความรู้ ความสามารถเสียมากกว่า
“ข้าว่า ข้ากำลังมีความรัก” นพพูดให้เที่ยงฟัง
“เอ็งว่าอะไรนะ” เที่ยงฟังไม่ถนัดหู
“เอ็งนี่หูเพี้ยนหรือไง เป็นครูเพลงเสียเปล่า ข้าว่า ข้ากำลังมีความรักเว้ย” พระจันทร์ลอยเด่นเป็นเสี้ยวคมสวย สว่างอยู่ท่ามกลางดวงดาวน้อยใหญ่ที่กำลังเปร่งแสงระยิบระยับ เหมือนอัญมณีเล็กๆ ทั่วท้องฟ้ายามราตรี ฟ้าหลังฝนสว่างสดใสแม้ยามค่ำคืน แสงดาวระยิบระยับเท่าใดก็ไม่ต่างกับสายตาของนพในห้วงแห่งความรักนี้ จนเที่ยงต้องตบไหล่เพื่อนรักแรงๆ จนแทบเรียกว่าหมั่นไส้ ให้นพได้สติกลับมาเล่าเรื่องรักต่อ
“เอ็งนี่มือหนัก ไม่เหมือนตอนเล่นซอด้วงเลยนะ”
“มือเบาๆ ของข้ามีไว้สำหรับอะไรที่ข้ารักเว้ย” เพื่อนรักทั้งสองหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
ความรักหอมหวานเหลือเกิน
แววตาของนพมีน้ำหล่อเลี้ยงระยิบระยับ คล้ายดวงดาวที่ทอแสงอยู่เบื้องบน ชานเรือนที่ทอดยาวออกมา มีตั่งไม้ขนาดใหญ่และหมอนอิงวางเรียงอยู่ คล้ายเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของชายหนุ่ม บางคราวเป็นที่นั่งดื่มสุรา เคล้าดนตรี หรือบางครั้งเป็นที่นั่งร้องไห้ นั่งหัวเราะ แต่บัดนี้กลายเป็นที่นั่งระบายความในใจของเพื่อนทั้งสอง
“ข้าอยากจะเอาดนตรีฝรั่งเข้ามาสอนในโรงสอน”
มือหนาผลักอกสามศอกอย่างแรงจนเจ้าตัวล้มลงกองกับพื้น ความงดงามของค่ำคืนหายวับไปกับตา ความงงงวย และความผิดหวังของชายหนุ่มทั้งสองปะทะกันอยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางดวงดาวเป็นพยาน สายลมพัดแรงขึ้นเหมือนเป็นสัญญาณให้รู้ว่าความร้อนของอารมณ์ของชายหนุ่มกำลังปะทุ
“เอ็งทำแบบนี้ได้ยังไงวะ” คิ้วหนาขมวดกัน พร้อมกับยืนขึ้นชี้หน้า สีหน้านพงงงวยจับต้นชนปลายไม่ถูก
“อะไรของเอ็งวะไอ้เที่ยง”
“มึงทรยศกู” เที่ยงหมดความอดทน สบถ ขึ้นเสียงดังอย่างโกรธแค้น
“สอนดนตรีฝรั่ง ข้าทรยศเอ็งยังไงวะ วันนี้ข้าได้เอ่ยปากชวนมิสเตอร์แทสซีให้มาลองเล่นดนตรีไทยที่โรงสอนดนตรีของพวกเราในวันพรุ่งอยู่พอดี”
“นี่มึงทรยศดนตรีไทยไม่พอ มึงจะเอาฝรั่งเข้ามาเล่นดนตรีไทยอีกน่ะหรือ” เที่ยงเกรี้ยวกราดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ฟันขบกันแน่นจนเห็นกรามที่ชัดเจน คิ้วทั้งสองขมวดชนกันอย่างไม่พอใจที่สุด
“นี่ข้านึกว่าเอ็งจะเลิกหวงดนตรีไทยเสียแล้วนะ ฝรั่งมังค่าเข้ามาเผยแพร่เครื่องสายฝรั่งอยู่ในวังหลวงก็นานแรมเดือน ข้าก็นึกว่าเอ็งจะเย็นลง ขนาดสายพิณยังสนใจเล่นเครื่องไวโอลินเลย วันนี้ไปกับข้าที่โรงสอนดนตรีฝรั่งฝั่งกระนู้น” นพพูดซื่อ แววตาคะนึงหายามพูดถึงสายพิณ เมื่อได้ยินชื่อสายพิณ เที่ยงยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เขาไม่สบอารมณ์ แต่แสดงออกไม่เป็นได้แต่ข่มอารมณ์ไม่พอใจเอาไว้ ภายในใจเขาทั้งแค้น ทั้งโกรธ ทั้งอิจฉาที่นพใกล้ชิดสายพิณอย่างที่เขาไม่เคยได้ใกล้
เที่ยงยืนตรง หน้านิ่งไม่ไหวติง เสมือนเวลาถูกหยุดเอาไว้จนลืมหายใจ คิ้วหน้าขมวดเข้าหากันแน่นกว่าเดิม เส้นเลือดปูดโปนขึ้นตามขมับคิ้ว ฟันที่ขบกันแน่นเริ่มคลายตัวลง น้ำเสียงหนักแน่น มั่นคง และแน่วแน่ ถูกเปล่งออกมาอย่างฉะฉาน
“ดนตรีไทยต้องเล่นด้วยคนไทยเท่านั้น ฝรั่งหน้าไหนก็ไม่มีสิทธิ์ และคนไทยก็ต้องเล่นแค่ดนตรีไทย!” คำพูดนั้นหนักแน่นมั่นคงจนคนฟังอย่างนพต้องชะงักและหยุดคิด ภาพในหัวของเขาที่มองเห็นเครื่องดนตรีไทยและเครื่องสายฝรั่งรวมกันสลายหายวับไปกับตา เที่ยงกระทืบเท้าอย่างแรง เดินหัวเสียกลับห้องของตนเองไป
หมอกสีขาวลอยเอื่อยๆ คลอเคลียน้ำริมฝั่งคลอง แสงแดดยังไม่เผยออกมามากนัก พระจันทร์ยังปริ่มอยู่ริมขอบฟ้า เรือพายลายไม้สีไม้อ่อนถนัดตา ขัดกับจีวรสีส้มสด แลสีอิฐเข้ม พร้อมกับเด็กวัดคอยคัดเรืออยู่ด้านหลังช้าๆ คอยคุมท้ายเรือให้ถนัด กระชับไม้พายงัดท้ายเรือให้ตรงเข้าท่าน้ำบ้านต่างๆ ที่อยู่ริมฝั่งคลองทั้งสองฝั่ง เหล่าบริวารชายหญิงบนเรือนต่างรีบจัดข้าวสารอาหารแห้ง พร้อมทั้งกับข้าวกับปลา ดอกไม้สด อย่างพร้อมเพรียงเรียงอยู่ที่เรือนริมน้ำสายพิณในชุดผ้าพลิ้วสีชมพูอ่อนดูสบายตา ทรงผมไม่ได้รวบตึงอย่างตอนสาย ผมยาวสลวยปกบ่าบางอย่างนุ่มนวล ลมพัดอ่อนๆ พาเอากลิ่นหอมอ่อนๆ ของเธอ ปะทะจมูกเป็นสันได้รูปสวยเข้าอย่างจัง นพ ในชุดเสื้อกระดุมสีขาว กับกางเกงผ้าแพรสีน้ำเงิน เดินมาที่เรือนริมน้ำของสายพิณ
“ขอพี่ใส่บาตรด้วยคนนะครับ” สายพิณยิ้มให้นพเป็นอันอนุญาต บริวารชายหญิงคอยจับเรือของพระภิกษุสงฆ์ให้คงที่ พร้อมทั้งคอยส่งสิ่งของใส่บาตรอย่างอ่อนน้อม นพรับของมาส่งให้สายพิณได้ถวายข้าวสารอาหารแห้งทั้งหมดที่เตรียมไว้กับพระภิกษุ
“พี่นพมาใส่บาตรด้วยกันค่ะ” สายพิณเบี่ยงตัวให้นพเข้ามาใกล้ เพื่อรับของถวายให้พระภิกษุพร้อมกัน มือของนพประคองมือบาง ทว่าอ่อนนุ่มทั้งสองไว้ ทั้งสองมองตากันอย่างหวานซึ้ง ความหมายมากมายเหลือเกินที่ส่งผ่านโดยไม่มีถ้อยคำวาจาใดเอ่ยจากปาก พระภิกษุให้ศีลรับพรกันอยู่สักครู่ มือพนมรับพร จนเรือพายลับสายตา สองมือหนาคอยประคองสายพิณลุกขึ้นจากริมท่าน้ำ หนักแน่นแต่อ่อนโยนเสียเหลือเกิน
พี่ขอใส่บาตรร่วมชาติกับสายพิณทุกชาติไป
แกร๊บ…บ เสียงเหมือนก้านใบไม้แห้งถูกหักแรงๆ ลมพัดอ่อนๆ แต่ก็พาให้เห็นก้านใบไม้แห้งๆ ป่นละเอียดปลิวร่วงลงจากมือใหญ่ที่กระชับก้านใบไม้สั่นระริก มือกำแน่นจนเส้นเลือดพากันปูดโปนขึ้นไปตามข้อมือและท่อนแขน เลือดเนื้อสีเข้มเปลี่ยนเป็นสีแดงจากเลือดที่ระอุอยู่ในจิตใจของเที่ยง ต้องเป็นเขาที่เข้าไปใส่บาตรกับสายพิณ เขาผู้ซึ่งลงมายืนเฝ้ารออยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รอเวลาที่สายพิณเดินมาถึงเรือนริมน้ำ
“ครูนพ ครูสายพิณ” เสียงเรียกฟังไม่ชัด เหมือนคนพูดไม่ถนัดภาษาไทย สำเนียงออกเป็น ‘คุ’ มากกว่าครูมากกว่า ดังมาจากหน้าโรงสอนดนตรีไทย มิสเตอร์แทสซี ชายหนุ่มชาวอเมริกัน ผิวสีขาวเกือบซีด ตัดกับผมสีทองเข้มๆ ที่รับกับคิ้ว จมูกสันคมได้รูป กำลังยืนชะเง้อมองหาบุคคลที่รู้จัก
“อย่าให้มันเหยียบขึ้นมาบนโรงสอนข้าเด็ดขาด”
เสียงเกรี้ยวกราดหนักแน่นดังขึ้น นพ สายพิณเดินมาจากที่เรือนอาศัย มิสเตอร์แทสซีหยุดชักเท้าขึ้นบันไดทันที ทั้งสามคนมองหน้ากันอย่างใจคอไม่ดี นพให้มิสเตอร์แทสซีรอเขาสักครู่ เสียงโต้เถียงดังสนั่นเรือน ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายต่างวิ่งกันมาชะโงกคอกันดูอยู่ใต้ถุนเรือน เที่ยงจงใจพูดเสียงดัง หวังให้คนข้างล่างได้ยิน
“ดนตรีไทยคือมรดกของคนไทย มรดกของชาติไทย ไม่ควรให้ชาติอื่นใดมาทำแปดเปื้อน”
นพเดินกลับมาหามิสเตอร์แทสซี กล่าวขอโทษขอโพยเสียยกใหญ่ สายพิณเองก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมของเจ้าของเรือนที่ไม่มีมารยาทต่อแขก
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจเขานะ ไว้โอกาสหน้าฉันมาใหม่” มิสเตอร์แทสซียกมือไหว้ลานพกับสายพิณ
เสียงทะเลาะเบาะแว้งของชายหนุ่มทั้งสองคนดังไปทั่วคุ้งน้ำ เหล่าลูกศิษย์ต่างทยอยขอตัวลากลับเรือนกันหมด
“มึงจะทำให้ดนตรีไทยแปดเปื้อน”
“กูไม่ได้ทำ กูแค่เผยแพร่อย่างที่ดนตรีฝรั่งทำก็เท่านั้น”
“อย่างที่มึงพาสายพิณไปแปดเปื้อนน่ะหรือ ทำไมกูจะไม่เห็นมึงทั้งโอบ ทั้งกอด ทั้งจับมือ” สายตาเที่ยงมองนพตั้งแต่หัวจรดเท้า หน้าตาดูถูกดูแคลน ไม่พอใจ นพกระชากคอเสื้อเที่ยง เพราะเขาไม่พอใจคำพูดเที่ยงที่ไปดูถูกสายพิณ
“มึงอย่ามาพาลกับพิณ กูไม่เคยทำอย่างที่มึงว่า และอีกอย่างถ้าทำเพราะกูกับสายพิณรักกัน” ยังไม่ทันสิ้นคำพูดของนพ เที่ยงปล่อยหมัดขวาตรงเข้ามุมปากนพอย่างแรง จนนพเซไป เลือดไหลกบปาก นพผลักอกเที่ยงกระเด็น กลายเป็นทั้งสองลงไม้ลงมือกันไม่มีใครยอมใคร ความแค้นเรื่องดนตรีก็เรื่องหนึ่ง ความแค้นที่เพื่อนรักแย่งคนรักก็อีกหนึ่ง หมัดปลายมือของเที่ยงกำลังจะพุ่งเข้าหานพ แต่แล้วสายพิณกลับเข้ามารับแทน ร่างบางของเธอกระเด็นไปพร้อมแรงเหวี่ยงของหมัดที่ใส่อารมณ์โกรธพุ่งพล่านอย่างรุนแรง เที่ยงมองมือตัวเองที่ทำให้สายพิณเจ็บ ความโกรธแค้นสงบลงเล็กน้อย นพรีบพุ่งตัวเข้าไปประคองสายพิณ เที่ยงไม่พูดอะไร มองหน้าทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย น้ำตาแห่งความรู้สึกผิดต่อสายพิณเผยให้เห็นเล็กน้อยก่อนเดินลงจากโรงสอนดนตรีไป
6 เดือนผ่านไป โรงสอนดนตรีไทยกลายเป็นโรงเรียนสอนดนตรีไทยและดนตรีฝรั่ง มีนพกับสายพิณเป็นผู้ก่อตั้ง และยังมีมิสเตอร์แทสซีมาเป็นครูสอนเครื่องสายฝรั่งอีกคน ทั้งสามคนต่างมีชื่อเสียง มีลูกศิษย์ลูกหามากหน้าหลายตา เป็นที่ประทับใจของคนในรั้วในวังเป็นอย่างมาก แตกต่างกับเที่ยง ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเกี่ยวกับครูเพลงครูสอนดนตรีไทยที่ชอบใช้อารมณ์ดุด่า เกรี้ยวกราดจนไม่มีใครกล้าไปเรียน ในช่วงกลางดึก เขาจะเล่นซอด้วงคู่ใจอยู่บนชานเรือน เล่นบนกลอนประหลาดที่เหมือนบทกลอนสารภาพรักแต่กลับฟังแล้วเศร้าบาดใจ เสียงซอด้วงที่แหลมจนชาวบ้านละแวกนั้นปวดหูไม่ได้หลับได้นอน ร่างกายคนสีซอซูบผอมหนังติดกระดูก ดวงตาลึกโปนเป็นหลุม นัยน์ตาสีดำเข้มปนแดงที่ตาขาวดูน่ากลัวเวลาพบเห็น จากชายร่างใหญ่กำยำ บัดนี้เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก กับจิตใจที่รัก หวงแหนดนตรีไทย และแตกสลายจากรักที่ไม่ได้รัก เรื่องราวของเที่ยงได้เข้าหูนพกับสายพิณ
“พี่นพ เราไปหาพี่เที่ยงกันไหม” นพได้ยินคำชวนก็สายพิณก็ชะงักไป ทิฐิของเขากับความรักที่มีต่อเพื่อนสูงพอกัน
“พรุ่งนี้เราไปหาเที่ยงด้วยกัน” แต่แล้วความรักเพื่อน คิดถึงเพื่อน และเป็นห่วงเพื่อนก็ชนะทิฐิเหล่านั้นหมดสิ้น นพยอมรับเลยว่า 6 เดือนที่ผ่านมาเขากินไม่ได้นอนไม่หลับ เขาทั้งรู้สึกผิดกับเพื่อน รู้สึกเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก แต่ความโกรธแค้นแลทิฐิบังตาบังจิตใจของเขา
สายทำนอง ดีดสี สะกดจิต เพียงสายพิณ สายนี้ สะกดรัก
สลักจิต ประทับทรวง มิแปรพักตร์ สลักรัก สายซอพี่ คู่สายพิณ
เสียงทำนองขับกลอนของเที่ยงดังไกลออกมาจนผู้มาเยือนต้องชะงัก เสียงซอด้วงสีจนสุดสายเสมือนจะขาดใจ สายพิณน้ำตาเอ่อล้นรู้สึกตื้นตันใจ และรู้สึกขอบคุณเที่ยงอย่างบอกไม่ถูก เพราะเธอไม่สามารถมอบหัวใจรักนี้ให้เขาได้แล้ว นพกระชับมือที่จับกับสายพิณไว้แน่น ความรู้สึกปนเปสับสนอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสองจับมือกันเดินมาถึงชานเรือนที่เที่ยงนั่งสีซอด้วงอยู่ เสียงซอยังคงเล่นวนต่อไปเสมือนไม่รับรู้ว่ามีทั้งสองเข้ามาหา นพกำลังจะเดินขึ้นมาที่ชานเรือน เสียงซอด้วงหยุดเล่นทันที สายตาแดงก่ำ คิ้วขมวดชนชิดติดกัน ร่างผอมแห้งจนติดกระดูก ยกก้านซอชี้ไปยังคนตรงหน้า น้ำเสียงหนักแน่น ทว่าแหบพร่า เอ่ยคำช้าๆ คล้ายสะกดจิต
“ยามใดที่เครื่องดนตรีไทยแลดนตรีฝรั่งบรรเลงคู่ ยามใดที่ครอบครัวของเพื่อนทรยศบรรเลงคู่ประสาน ยามนั้นถึงฆาตชะตาขาด”
เลือดกระอักออกจากปากเที่ยง พุ่งกระจายเต็มตัว ชโลมซอด้วงที่อยู่บนตักจนกลายเป็นสีเลือด เลือดในร่างกายค่อยๆ ปะทุออกจากทวารทั้ง 7 ดูน่ากลัวสะหยดสยอง ร่างที่ซูบผอมค่อยๆ ล้มนอนลง มือนั้นจับซอด้วงไว้แน่น ไม่นานนักมือที่ยึดติดก็คลายลง ซอด้วงตกลงกับพื้นกลิ้งมาหยุดตรงหน้านพ