![ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก](https://anowl.co/wp-content/uploads/2024/08/yaam-siiang-Banner-copy.jpg)
ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
ใบไม้แห้งหลุดละลิ่ว ลอยลู่ลม สายน้ำพัดพาใบแห้งที่ปลิดปลิวตกลงตามคลองใหญ่ดูสวยงาม เรือนไม้หลังเล็กเป็นที่นั่งริมคลอง สนามหญ้าสีเขียวขจีทั่วบริเวณ เรือนไทยหลังใหญ่ตั้งตะหง่านอยู่กลางผืนหญ้า ชานเรือนทั้งสองฝั่งเสมอกันรับตัวเรือนตรงกลางอย่างลงตัว มีห้องหับน้อยใหญ่ลดลั่นกันอยู่ภายใน ใต้ถุนเรือนเป็นที่เก็บเครื่องดนตรีเก่า ไว้ให้คนทั่วไปที่สนใจมาหยิบยืม ด้านบนเป็นที่เรียนดนตรีไทยของนักเรียนชายทั้งหลาย คนทั่วคุ้งน้ำละแวกนี้จะเรียกว่า ‘เรือนการเวก’ แต่แท้จริงแล้วเป็นเรือนของเจ้าคุณนรพงศ์ เจ้าคุณพ่อของสายพิณ
“ได้ยินไหม เสียงซอด้วง”
“ได้ยินจ้ะพี่ แต่ทำไมวันนี้ไม่ละมุนเลย”
“นั่นสิพี่ ไม่เคยได้ยินเสียงซอประมาณนี้ เหมือนคนเล่นกำลังโกรธ หรือโมโหใครอยู่”
“พี่พายไปเร็วๆ ไม่ใช่เรื่องของเรา เดี๋ยวจะโดนลูกหลงเอา” ชาวบ้านที่พายเรือผ่านด้านหลังเรือนได้ยิน ซึ่งไม่แปลกใจเลย เสียงซอด้วงดังก้องกังวานไปทั่วเรือน บ้านช่องน้อยใหญ่ใกล้ไกลคนละฝั่งน้ำก็คงมีได้ยินไม่มากก็น้อย
เสียงซอดุดัน รุนแรง ปลุกให้คีตะตื่นขึ้นจากภวังค์ เขาตกใจราวกับเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนทั้งๆ ที่เดินทางข้ามภพมาแล้วหลายครั้งหลายครา แต่ครั้งนี้ไม่มีทำนองเพลงเดิม ไม่มีการเดินผ่านแสงสว่างไสว ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ ทั้งสิ้น ภพที่เขาจากมาจะเป็นอย่างไร สลิลทิพย์จะสงสัยว่าเขาหายตัวไปหรือไม่ พี่ชายเขาจะอยู่อย่างไร ถ้าตื่นมาไม่เจอเขานอนเฝ้าอยู่ ทั้งหมดนี้ยังไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับสภาพในตอนนี้ของเขา เสื้อผ้าชุดนอนสมัยยุคปัจจุบันของเขาขาดวิ่น มือเขาเผลอติดกระดุมเม็ดบนสุด กระดุมแหลกสลายคามือเสมือนในยุคนี้ไม่มีสิ่งของประเภทนี้เกิดขึ้นมาก่อน พลันเขาลุกขึ้นจากเตียง เสื้อผ้าที่ปกคลุมสลายราวกับเม็ดทรายเบาๆ ที่กำลังร่วงลงมือ
“ฉิบหาย” คีตะสบถ ความนึกคิดของเขากับคำพูดนั้นเป็นสิ่งเดียวที่ตรงกันมากที่สุด มองซ้ายมองขวาหาตู้เสื้อผ้า ตู้เยอะไปหมดแต่ไม่เหมือนเก็บเสื้อผ้าสักชิ้น มือข้างหนึ่งต้องปกปิดร่างกายไม่ให้อุจาดตา อีกมือหนึ่งพยายามเปิดตู้เพื่อค้นหาเสื้อผ้าที่พอจะใส่ได้
“ได้ค่ะ เดี๋ยวพิณเข้าไปหยิบให้นะคะ” เสียงสายพิณดังลอดมาจากช่องประตู คีตะมองซ้ายมองขวาไม่รู้จะไปหลบอยู่ที่ไหน เขาทำได้ดีที่สุดเพียงหยิบหมอนใบเล็กขึ้นมาปิดบางส่วนไว้ พอดีกับจังหวะที่สายพิณเปิดประตูเข้ามาพอดี
สีหน้าท่าทางตกใจสุดขีดของสายพิณ มือทั้งสองยกขึ้นมาปิดตาโดยอัตโนมัติ ริมฝีปากบางกำลังจะตะโกนร้องขอให้ใครช่วย เพราะคิดว่าเป็นคนโรคจิต หรือคนไม่สมประกอบแอบขึ้นมาบนเรือนเป็นแน่ คีตะไม่ทันคิดรีบพุ่งตัวไปปิดปากสายพิณ พร้อมกับใช้ขาปิดประตูห้องอย่างรวดเร็ว
“ผม คีตะเอง ครูสายพิณ” สายพิณชะงัก ค่อยๆ เอามือลงมองหน้าชายหนุ่มเบื้องหน้า ใบหน้าหล่อเหลาได้รูป เมื่อได้มองใกล้ๆ หุ่นดีล่ำสัน หรือที่สมัยนี้จะชอบบอกว่ามีซิกซ์แพ็ก สายตาของเธอพลันมองเพลินไปจนเลยเถิด เธอตาค้าง อ้าปากค้าง หน้าแดงก่ำ มือรีบชี้บอกเจ้าตัว คีตะลืมตัวรับรู้ว่าตนเองกำลังโป๊อยู่ คิดได้ก็รีบหยิบหมอนที่หล่นขึ้นมาปิดทันที
“ทำไมอยู่ในสภาพนี้ เสื้อผ้าทำไมไม่ใส่”
“ผมหาเสื้อผ้าไม่เจอครับ ครูสายพิณพอจะมีให้ผมยืมได้ไหมครับ” คีตะรู้สึกแปลกๆ กับเธอ ความรู้สึกหลงรัก ผูกพันเกิดขึ้นภายในพริบตา เมื่อได้ใกล้ชิดจึงเห็นว่าสายพิณมีความคล้ายกับสลิลทิพย์ทั้งรูปร่าง หน้าตา อากัปกิริยาทั้งหลาย การพูดการจาก็ละม้ายคล้ายกันเหลือเกิน
“รออยู่นี่ เดี๋ยวเอามาให้” คีตะพยักหน้ารับทราบเป็นเชิงขอบคุณ
“เอานี่ รีบใส่เสียก่อนใครจะมาเห็นเข้า มันจะไม่ดี”
“แต่ถ้าครูสายพิณเห็นคนเดียวก็ดีไม่ใช่หรือครับ” คีตะหยอกล้อหญิงสาว มือทั้งสองสัมผัสกันเล็กน้อยเมื่อเธอยื่นเสื้อผ้ามาให้ สายพิณเขินอายรีบชักมือออกทันที เขาเองก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้ทำกิริยาอย่างนั้นออกไป ทั้งๆ ที่ครูสายพิณเป็นคนรักของครูเที่ยง
ในเรือนข้าเอ็งยังไม่เว้น กี่ภพกี่ชาติสันดานไม่เคยเปลี่ยน
เรือนการเวก เรือนไม้ขนาดใหญ่ประจักษ์แก่สายตาคีตะครั้งแรก เขาเพิ่งได้เห็นมุมมองเรือนการเวกเป็นครั้งแรก ตัวเรือนใหญ่มีห้องหับมากมาย มีโถงขนาดใหญ่สำหรับเล่นดนตรี ถัดจากเรือนการเวกไปไม่ไกลนัก เขาเหลือบเห็นตึกทรงฝรั่งขนาดใหญ่ คล้ายเป็นอาคารพักอาศัยของเหล่าเจ้านายทั้งหลายที่เขาไม่เคยพบเจอ ใช่สิที่ผ่านมาเขาพบเพียงครูเที่ยง ครูนพ ครูสายพิณ และสิน เท่านั้น ตึกสีเหลืองทองอร่ามตา แซมสีขาวเป็นลูกเล่นตามเสาขนาดใหญ่ พร้อมกับหลังคาสีน้ำตาลสไตล์ยุโรปสมัยโบราณ หน้าต่างเรียงกันเป็นทิวแถวสวยงาม มองจากข้างล่างพอจะนับได้ประมาณตึก 3 ชั้น คีตะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ เห็นป้ายเขียนคล้ายชื่อเรือน ‘เจ้าคุณนรพงศ์’ ป้ายสีทองเด่นเป็นสง่าสมกับตัวอาคาร บ่งบอกให้รู้ถึงรสนิยมของเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี
“มีอะไรหรือพ่อหนุ่ม” เสียงนุ่มดังมาจากทางด้านหลัง
ชายวัยกลางคน ใบหน้ามีริ้วรอยเหี่ยวย่นตามวัย ทรงผมจัดทรงได้รูปสไตล์ผู้ดีอังกฤษ ชุดโปโลสีขาวสะอาดตา คาดเข็มขัดสีน้ำตาลเข้มเข้ากับกางเกงสแล็ก พร้อมกับรองเท้าหนังสวมสบายๆ ท่าทางใจดี ยิ้มง่าย คีตะยกมือไหว้เป็นเชิงทักทาย
“พอดีผมเห็นเรือนนี้สวยดีครับเลยเผลอเดินเข้ามา” คีตะยิ้มให้ พร้อมกับโค้งตัวเบาๆ เป็นเชิงขอโทษที่เข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต
“เราชื่อคีตะใช่ไหม เห็นสายพิณพูดถึงอยู่บ่อยๆ” เจ้าคุณนรพงศ์ทักทายอย่างเป็นกันเอง ไม่นานนักบ่าวรับใช้ในบ้านเข้ามาหาเจ้าคุณเรียนว่ามีคนมาขอพบ “เข้ามาได้เลย” เจ้าคุณหันไปสั่ง
“เดินเล่นไปก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวลุงไปรับแขกสักครู่”
“ขอบคุณครับ” คีตะยกมือไหว้
บริเวณรอบตึกใหญ่รูปทรงฝรั่ง มองเห็นทางเข้าโอ่อ่ากว้างขวาง ทางเดินหน้าทางเข้าบ้านเป็นทางไว้สำหรับรถวิ่ง เกวียนลาก สำหรับชนชั้นสูงหรือผู้ดีเก่ามากกว่าด้านหลังที่เป็นคลองที่คนทั่วไปยังคงใช้สัญจรกันเวลาไปไหนมาไหน คีตะเดินไปพลางชื่นชมธรรมชาติไปพลาง ก็พลันเดินเข้ามาถึงบันไดขึ้นเรือน สายตาทอดมองเข้าไปข้างในเห็นเปียโนหลังหนึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่กลางตึกใหญ่
“I am interested in spreading international music in your country and I would like to learn Thai music too.” เป็นเสียงของฝรั่งผมสีน้ำตาลเข้ม ตาน้ำข้าวสีฟ้าสวยเป็นประกาย แต่งกายคล้ายชุดมิชชันนารีในสมัยก่อน แต่คล้ายบาทหลวงเสียมากกว่า คีตะเผลอเข้ามาได้ยิน
“I am pushing people in the royal palace to become interested in international musical instruments but It is not easy to make all Thai people open their minds for music from other countries. I promise you, I’ll try until everyone or someone like them.” คีตะเห็นเจ้าคุณนรพงศ์กำลังสนทนาโต้ตอบกับบาทหลวงฝรั่ง ก็เข้าใจทันที เพราะยุคสมัยที่เขาย้อนกลับมานั้น คนไทยเพิ่งจะได้รู้จักเครื่องดนตรีฝรั่ง ไม่นับพวกแตรอย่างที่มีอยู่มาก่อน คีตะแอบฟังอยู่ได้ไม่นานก็ไม่พ้นสายตาเจ้าคุณนรพงศ์
“Who’s there” บาทหลวงสังเกตเห็นรีบทัก เพราะกลัวเรื่องราวจะหลุดลอดออกไป คีตะเดินก้มหน้ารู้สึกผิดเข้ามาทันที เจ้าคุณนรพงศ์มองเขาด้วยสายตาไม่พอใจเท่าไร
“I’m student, My name’s Keeta. I’m honor to meet you.” คีตะพูดจบยื่นมือขวาเข้าไปทักทาย ทั้งสองคนมองหน้ากันอย่างคาดไม่ถึง เพราะต่างคนต่างคิดว่าไม่มีใครที่พอจะฟังภาษาอังกฤษหรือพูดเข้าใจได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่ลูกเจ้าขุนมูลนายหรือคนในรั้วในวัง เจ้าคุณนรพงศ์ขมวดคิ้วสงสัย บาทหลวงยื่นมือกล่าวทักท่ายตอบ
“I interest in Piano and Violin, I heard you talk about to teach international music in Thailand. I support this idea.” คีตะออกความเห็น บาทหลวงยิ้มได้ เจ้าคุณนรพงศ์เริ่มไม่พอใจที่คีตะเข้ามาแทรก แต่เจ้าคุณสังเกตเห็นรอยยิ้มของบาทหลวงคนสำคัญคนนี้ ทำให้เขาไม่ได้ว่าอะไรชายหนุ่มตรงหน้า คีตะรู้สึกตัวว่าเขาไม่ควรเข้ามาพูดแทรก แต่ก็สายไปเสียแล้ว พอได้ยินเรื่องดนตรีทีไรก็พานลืมว่าตนเองไม่ได้อยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน เขาย้อนเวลากลับมาเป็นร้อยปี แถมในยุคนี้ภาษาอังกฤษยังไม่ได้แพร่หลาย ยิ่งทำให้คีตะหน้าเสีย ไม่รู้จะแก้ตัวเพื่อเอาตัวรอดยังไง
บาทหลวงกล่าวลาเจ้าคุณนรพงศ์ หลังจากพ้นสายตา คีตะกำลังแอบย่องเบาๆ เพื่อเลี่ยงออกไปให้เร็วที่สุดแต่ก็ไม่พ้น เสียงเรียกชื่อของเขาดังไล่หลังมาไม่ไกล เนื้อเสียงเข้ม ดูน่าเกรงขามจนเขาต้องหยุดตัว พร้อมกับหันกลับไปอย่างเสียไม่ได้
“เจ้ารู้จักเปียโน ไวโอลิน และพูด ฟัง ภาษาอังกฤษออกได้อย่างไร” คำถามต่างๆ พรั่งพรูมาจากเจ้าคุณนรพงศ์ คีตะหน้าซีด ในสมองกำลังประมวลผลว่าจะโกหกเอาตัวรอดยังไงดี แต่ไม่ทันจะอ้าปากตอบคำถาม ก็เหมือนมีเสียงสวรรค์ดังเรียกเข้ามา
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่ไปซ้อมดนตรี” ครูเที่ยงเห็นคีตะมายืนลับๆ ล่อๆ คุยกับเจ้าคุณนรพงศ์ก็หวั่นใจ กลัวความลับบางอย่างจะถูกเปิดเผย เขาจึงรีบขัดขึ้นกลางวงสนทนา แท้จริงแล้วเที่ยงแอบมาเห็นการพูดคุยของทุกคนอยู่สักระยะหนึ่ง สีหน้าแววตาของเขาเกรี้ยวกราด ดวงตาแดงก่ำคล้ายคนจะร้องไห้ เที่ยงยกมือไหว้เจ้าคุณพร้อมกับลากคีตะออกจากตึกฝรั่ง คีตะยกมือไหว้ลาอย่างรีบร้อน เจ้าคุณเองก็รั้งทั้งสองไว้ไม่ทัน
“เจ้าเที่ยงนี่ก็ไม่คิดจะเปิดใจกับเขาบ้างเลย ตั้งแง่รังเกียจรังงอนดนตรีสากลอยู่ร่ำไป เจ้าสินออกมาได้แล้ว” สินที่ยืนอยู่ไม่ห่างค่อยๆ ก้าวออกมาจากมุมห้อง
“ได้ยินสิ่งที่เจ้าหนุ่มนั่นพูดแล้วใช่ไหม ไปสืบมาทีว่ามันเป็นใคร มาจากไหน”
“ผมเองก็เพิ่งได้เจอเจ้าคีตะอยู่ไม่กี่หนครับ” สินเล่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่พอจะเล่าได้ให้เจ้าคุณนรพงศ์ฟัง เขารู้เพียงแค่คีตะเป็นญาติห่างๆ ของเที่ยง แวะเวียนมาเรียนดนตรีไทยเป็นครั้งคราว ฝีมือค่อนข้างดีเลยทีเดียวเหมือนจะเป็นเด็กมีครูมาก่อน เรียนรู้ไว จำแม่น แถมชอบเล่นทำนองแปลกๆ คล้ายเพลงฝรั่งอยู่หลายเพลง แต่ไม่รู้แน่ชัดว่าพักอาศัยอยู่ที่ไหน เพราะเวลาคีตะมาก็ไม่เคยบอกกล่าว หรือตอนไปก็ไม่เคยร่ำลา
ข้าจะไม่ยอมให้สิ่งที่ข้าสร้างขึ้นมาพังทลาย จนกว่าชีวิตของพวกเอ็งจะตายกันหมด
ปี๊บ ปี๊บ เสียงกดเรียกพยาบาลดังขึ้น ปุ่มสีแดงเหนือหัวเตียงส่องสว่าง เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่าผู้ป่วยกำลังต้องการความช่วยเหลือ คณณัฐกดปุ่มเรียกพยาบาล หลังจากที่เขาเรียกหาน้องชายไม่เจอ คณณัฐรู้สึกเวียนหัว คลื่นไส้ พยาบาลรีบเข้ามาคอยลูบหลัง พร้อมกับฉีดยาบรรเทาอาการเข้าทางสายน้ำเกลือ คณณัฐรู้สึกดีขึ้นหลังจากอาเจียนออกมาขนานใหญ่ เขาเพลียหลับไปไม่ได้สังเกตเห็นว่าน้องชายของตนเองไม่ได้นอนอยู่บนโซฟาด้านนอก บทจะถามพยาบาลก็ไม่มีแรงพอ เขาทำได้เพียงคิดว่าคีตะหลับสนิทเพราะเหนื่อย โทรศัพท์คีตะสั่นอยู่บนโซฟาด้านนอก แสงไฟสว่างจากหน้าจอทำให้เห็นเบอร์ของสลิลทิพย์โทร.มา ปรากฏเป็นสายที่ไม่ได้รับอยู่เป็น 10 ครั้ง
อย่าได้คุยกันอีกเลย
ตัวเรือนการเวกคึกคัก มีผู้คนมากหน้าหลายตาที่คีตะไม่เคยพบเห็นเดินกันขวักไขว่ ในมือมีอาวุธคู่กายเป็นเครื่องดนตรีที่ตนเองชื่นชอบ จับกลุ่มเดินกันไปหาที่ว่างนั่งเล่นด้วยกัน บ้างก็นั่งประชันเพลงกัน มีหญิงสาวอยู่กลุ่มละคน สองคน เหมือนเป็นนักร้องประจำกลุ่ม คอยขับร้องเสภา บ้างขับกลอน บางกลุ่มก็เป็นกลุ่มชายล้วนที่กำลังประชันทำนองกันอย่างดุเดือด เหมือนหลุดมาจากภาพยนตร์เรื่องโหมโรง คีตะหันไปดูตามเสียงระนาดที่พลิ้วไหว ชวนฟัง ท่วงทำนองไพเราะ ไม้นวมลงน้ำหนักบนลูกระนาดได้อย่างพลิ้วไหวไม่มีใครเทียบ
‘โห ยังกับขุนอินในเรื่องโหมโรง’ คีตะพึมพำในใจ ฝีไม้ลายมือขนาดนั้นไม่แปลกใจที่ชายหนุ่มผู้บรรเลงจะเป็นนพ หรือ ครูนพ เขากำลังประชันบทเพลงกับกลุ่มชายหนุ่มอีกกลุ่มหนึ่งและเหมือนเขากำลังจะชนะ ผู้คนต่างหยุดเล่นดนตรีของตนเอง เดินมามุงดูกันหมด พลันเสียงเพลงจบเสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่วคุ้งน้ำ ดังไปถึงตึกฝรั่งด้านหน้า เจ้าคุณนรพงศ์แอบปรบมือให้ในใจ ใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อย เขาภูมิใจที่สายพิณเลือกคนไม่ผิด
สายพิณยืนปรบมือให้นพอยู่ไกลๆ สายตาบ่งบอกถึงความรักที่มีต่อเขาอย่างล้นหลาม คีตะแอบสังเกตเห็นแววตาก็นึกสงสัยถึงความสัมพันธ์ของครูทั้ง 3 คน แต่เขาก็ไม่ได้อยากรู้อยากเห็นอะไร เที่ยงเดินเข้ามาปรบมืออยู่ข้างๆ สายพิณ เขาแสดงออกถึงความรัก ความเป็นเจ้าของ สายพิณยิ้มให้เที่ยง เขายืนชิดติดกับเธอดูเหมือนเป็นคู่รักกัน
‘ตัวจริงมาแล้ว ครูเที่ยงนี่ก็ขี้หึงเหมือนกันนะเนี่ย’ คีตะนึก
“คิดอะไรอยู่ คีร์” สินเดินเข้ามาทักทาย “มาก็ไม่บอกกันเลย ไปก็ไม่ลากันด้วย”
“ใครไม่ลาใครกันแน่ ทิ้งไว้ที่ตลาดอยู่คนเดียว เผ่นแน่บไปก่อนอีก” สินหัวเราะกับคำพูดของคีตะ
“เออ วันนี้ข้าได้เข้าไปที่ตึกฝรั่งข้างๆ มาด้วย ตึกฝรั่งสวยมากเหมือนวังเลย ข้าได้เจอเจ้าคุณนรพงศ์ สินรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร” คีตะสงสัย
“ว่าไงนะ!” สินตกใจมาก พูดออกมาจนสายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เขา เสียงดนตรีเงียบราวกับมีใครมาปิด สินเลิ่กลั่ก “อ๋อๆ ก็พ่อของครูสายพิณไง”
“แล้วจะตกใจทำไม รู้ว่าเป็นพ่อครูสายพิณ แต่เขาทำอาชีพอะไรเหรอ เห็นมีฝรั่งมาคุยกันเรื่องสอนดนตรีด้วย”
“ไม่รู้เหมือนกัน เกินคำตอบที่ข้าจะตอบได้” สินสงบปากสงบคำดังเดิม คีตะหงุดหงิดใจที่ถามอะไรไปสินก็ไม่รู้อย่างเดียว สินมองไปที่ตึกฝรั่งที่คีตะเห็น ภาพนั้นเป็นตึกร้าง ทรุดโทรม หน้าต่างผุพัง บานประตูแทบจะหลุดออกมาจากผนัง ตัวตึกก็สึกกร่อนสีผนังแทบจะหลุดออกมาเป็นแผ่นๆ ต้นไม้รอบๆ ก็แห้งเหี่ยว ความสวยงามที่คีตะพูดตรงกันข้ามกับสิ่งที่สินมองเห็นราวกับฟ้ากับเหว
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น