ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ

ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ

โดย : สิรี กวีผล

Loading

ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co

สีหน้าและแววตาของคณินทร์โศกเศร้าอยู่ในดวงตาลึกๆ น้ำตาเอ่อรื้นเบาๆ อดทนอดกลั้นน้ำตาไว้ เพียงไม่อยากให้ใครเห็นถึงความอ่อนแอ ผิดกับชายหนุ่มอย่างคีตะ แววตาเขาเคืองแค้น โกรธ ปนไม่เข้าใจ ทำไมแม่ของสลิลทิพย์ถึงจงเกลียดจงชังแม่ของเขาตลอดเวลา

“ทำไมน้าภาไม่ชอบแม่ครับพ่อ” ชายหนุ่มไม่รีรอที่จะตั้งคำถาม

“น้าภารักลุงภัทรมาก ไม่ชอบให้เข้าใกล้ผู้หญิงคนไหนหรอก” คณินทร์ตอบเลี่ยงประเด็นไป “ไปดูหนูทิพย์เถอะ หน้าซีดแล้ว”

เขายื่นขวดน้ำเย็นปะทะแก้มขาวๆ ของสลิลทิพย์ จนเธอสะดุ้งจากภวังค์ของความคิดฟุ้งซ่านเมื่อสักครู่ หันกลับมากำลังจะต่อว่า คีตะยิ้มให้เธอเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“เอ้า ดื่มน้ำสักหน่อยค่ะ” คีตะยิ้มเผยให้เห็นลักยิ้มเล็กๆ ที่แก้มของเขา สลิลทิพย์เห็นความสดใสของเขาที่หยิบยื่นมาให้ยามเธอทุกข์ใจก็รู้สึกผ่อนคลายอารมณ์อยู่บ้าง

“คีร์ไม่โกรธแม่ทิพย์เหรอ” สลิลทิพย์ตัดสินใจหันมาถาม

“คีร์จะโกรธแม่ทิพย์ทำไม เมื่อคีร์รักทิพย์ คีร์ก็จะรักทุกคนที่ทิพย์รักด้วย” คีตะพูดอย่างจริงใจ แววตาของเขาไม่แอบแฝงความรู้สึกขุ่นเคืองใดๆ เอาไว้ เขาดื่มน้ำจนเกือบจะหมดขวด หันมาลูบหัวสลิลทิพย์

“คีร์ไปซ้อมซอด้วงก่อนนะ อย่าคิดมากนะคะ แล้วก็ห้ามส่งสายตาให้ใครด้วย” คีตะทำมือเหมือนเขากำลังจับตาดูเธออยู่ตลอดเวลา สลิลทิพย์หัวเราะ หยอกล้อให้กับความขี้เล่นของเขา

ในภวังค์ความคิด สลิลทิพย์รู้ดีว่าพ่อของเธอเคยหลงรักแม่ของคีตะมาก่อน วันหนึ่งเธอเคยขึ้นไปทำความสะอาด จัดของห้องพ่อ เธอได้พบรูป และสมุดโน้ตเล็กๆ ที่มีลายมือพ่อเขียนถึงแม่คีตะไว้ ในสมุดโน้ตเป็นการบรรยายความรู้สึกของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาว ที่เธอคิดเองว่าน่าจะเป็นคุณแม่ของเขา เพราะความสนิทสนมในเนื้อความที่บรรยายถึงยากนักที่จะตีความเป็นบุคคลอื่น เธอได้อ่านเพียงไม่กี่หน้าเพราะพ่อได้เรียกหาเธอเสียก่อน และเพียงแค่นั้นก็มากพอที่เธอจะสังเกตเห็นบางหน้ากระดาษถูกฉีกขาด

สลิลทิพย์เดินดูเครื่องดนตรีที่ตั้งโชว์ไปเรื่อยๆ เธอสะดุดตากับซอด้วงโบราณเครื่องหนึ่ง ซอด้วงนี้เหมือนมีชีวิต มีความรู้สึก เธอรู้สึกผูกพันกับเครื่องดนตรีชิ้นนี้เป็นพิเศษ

สายพิณ พี่อยู่นี่

สลิลทิพย์ยืนมองซอด้วงอย่างพิจารณา เธอรับรู้ถึงความรู้สึกแปลกๆ มีเงาตะคุ่มๆ จ้องมองเธอจากข้างหลัง เหมือนมีคนเรียกเธอ ความรู้สึกเหมือนมีใครแอบยืนมอง เธอหันกลับไปก็ไม่เจอใคร มีเพียงพนักงานที่คอยยก คอยหยิบจับวางของอยู่ไกลๆ

“สายพิณ”

สลิลทิพย์ได้ยินเสียงเหมือนมีคนเรียก แต่ไม่ใช่ชื่อของตัวเอง เธอพยายามมองตามเสียงนั้น

“สายพิณ พี่คิดถึงน้องเหลือเกิน” เสียงซอด้วงบรรเลงขึ้น เสียงดังกังวาลลอยมาตามอากาศผ่านเครื่องขยายเสียง เสียงแห่งความคะนึงหาถูกกลบไป แววตาเคียดแค้น แดงก่ำ จิตอาฆาตส่งผ่านเครื่องดนตรีโบราณ ภายในหอประชุมต่างหยุดฟังเสียงซอด้วงที่ไพเราะกำลังถูกบรรเลง คีตะนั่งบรรเลงซอด้วงอยู่หน้าเวที ใบหน้าหล่อเหลากับความตั้งใจ มีสมาธิ ทำเอาพนักงานต่างหันไปมอง เรียกว่าหยุดทำงานไปชั่วขณะเลยก็ว่าได้ สลิลทิพย์เองก็เช่นกัน เธอผละจากซอด้วงโบราณหันไปมองที่ชายหนุ่มบนเวทีอย่างเคลิบเคลิ้ม เธอหลงรักคีตะในมุมนี้มาโดยตลอด หลงรักเสียงเพลงจากปลายนิ้วของเขาจากทุกเครื่องดนตรี แต่ซอด้วงกับชายหนุ่มทำให้เธอหลงรักเขามากขึ้น คีตะไม่เคยเล่นเครื่องดนตรีไทยให้สลิลทิพย์ฟัง เธอรู้เพียงว่าเขาเล่นได้ แต่ไม่เคยได้เล่นเท่านั้น

‘ซอด้วงกับคีร์ หล่อเข้ากันดีจัง’ เสียงคิดในใจของสลิลทิพย์ส่งผ่านสายตาไปยังคีตะที่อยู่บนเวที เขายิ้มตอบเธอเหมือนได้ยินเสียงนี้ เหมือนเสียงนี้ดังก้องไปถึงเขา

 

ข้าเกลียดเอ็ง ข้าเกลียด

“ข้าจะจองล้างจองผลาญครอบครัว คนรอบข้าง คนรักของเอ็งให้พินาศกันทุกคน ให้เอ็งได้เห็นนรกอยู่ตรงหน้าเหมือนกับที่ข้าเคยเห็น” เที่ยงเปล่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ เสียงของเขาเยือกเย็น น่ากลัว ดวงตาแดงก่ำ จ้องราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ หมายเอาชีวิตชายหนุ่มบนเวที เพียงแต่เสียงนั้นไม่มีใครได้ยิน ความเยือกเย็นของแรงอาฆาตถูกส่งผ่านสัมผัสกับใครหลายคน บางคนในงานขนลุก ต่างหันมองเครื่องปรับอากาศกันเสียส่วนใหญ่ สลิลทิพย์เองก็สัมผัสได้ เธอหันกลับมามองซอด้วงโบราณนี้อย่างต้องมนตร์สะกด

“นั่นรอยอะไร”

“หลานเห็นเหมือนลุงช่วงแรกๆ ช่างสังเกตนะเราเนี่ย เจ้าคีร์ยังไม่เคยเห็นเลยมั้ง” คณินทร์ตอบคำถามเสียงที่อยู่ในหัวของสลิลทิพย์

“คุณลุงรู้ได้ยังไงคะว่าหนูกำลังมองรอยน้ำตาลแดงๆ นั่น”

“เพราะเป็นสิ่งแรกที่ลุงเห็นจากซอด้วงโบราณชิ้นนี้ และเป็นคำถามที่ลุงถามคุณพ่อของลุงเองเหมือนกัน แต่ท่านบอกว่าจำไม่ได้ รู้เพียงแค่ซอด้วงโบราณนี้มีประวัติของตระกูลเรามายาวนาน ตั้งแต่รัชกาลที่ 4 5 6 แต่เหมือนจะมีรอยช่วงรัชกาลที่ 6 ก่อนที่จะถูกเก็บไม่ให้เล่นกันอีก ลุงเองก็ไม่รู้เหตุผลหรอกนะ”

“หนูไม่เคยเห็นคีร์เล่นซอด้วงเลยค่ะคุณลุง เพิ่งรู้ว่าคีร์เล่นได้ คุณลุงสอนคีร์เหรอคะ เพราะมากเลยค่ะ” สลิลทิพย์ชื่นชมคีตะ

“ลุงไม่ได้สอน เจ้าคีร์มันบอกว่า มันมีครูคนใหม่สอนมัน” คณินทร์มองคีตะบนเวที คิ้วขมวดไม่พอใจ ลูกๆ ไม่เคยบอกกล่าวหรือเล่าเรื่องราวส่วนตัวอะไรให้เขาฟังสักเท่าไร

“ไว้หนูลองถามเจ้าคีร์ดูสิ เป็นหนู เจ้าคีร์น่าจะเล่าให้ฟังนะ” เสียงของคณินทร์ฟังดูเศร้ากว่าที่เคย สลิลทิพย์รู้ว่าพ่อลูกคู่นี้ไม่ค่อยคุยกัน ไม่ถูกกัน แต่ไม่เคยสัมผัสมุมเสียใจของคณินทร์มาก่อน เธอแตะมือคณินทร์เบาๆ คณินทร์ยิ้มให้ ตบมือนั้นอย่างอ่อนโยน

สิ้นเสียงเพลงจากซอด้วง คีตะนัดแนะ คุยงานกับเหล่าพนักงานอย่างยิ้มแย้มเป็นกันเอง นัดซ้อมคิวและลำดับการแสดงให้เรียบร้อยแทนหน้าที่พี่ชาย เขาคอยโทรศัพท์รายงานพี่ชายที่อยู่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง แม้คำพูดในสายจะเหมือนรำคาญ เพราะอยากให้พี่ชายได้พักแต่ก็ขัดขืนไม่ได้ ยอมให้ปลายสายสั่งงานเป็นพัลวัน

“เดี๋ยวผมไปส่งทิพย์ก่อนแล้วจะไปเยี่ยมพี่ณัฐที่โรงพยาบาลก่อนค่อยเข้าบ้านนะครับ” คีตะรายงานผู้เป็นพ่อ

“เจอกันที่บ้าน เดี๋ยวพ่อดูงานอีกสักพักก็กลับ”

“ไม่คิดจะไปดูแลลูกชายหน่อยหรือครับ” คีตะแดกดัน เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรคณินทร์ก็ไม่มีวันไปเยี่ยมพี่ชายของเขาแน่นอน เพราะเมื่อสักครู่เขาแอบได้ยินคณินทร์โทร.หาคณณัฐถึงเรื่องวันพรุ่งนี้ที่เขาต้องการให้คณณัฐหายป่วยและกลับมาทำงานให้ทัน

“แต่ก็อย่างว่าแหละ พ่อสั่งให้พี่ณัฐหายป่วยได้มากกว่าหมอเก่งๆ เสียอีก” คีตะยังไม่เลิกพูดจาประชดประชัน

“คุณลุงคะ งั้นหนูขอตัวกลับบ้านก่อนค่ะ ดึกแล้วเดี๋ยวคุณพ่อเป็นห่วง” สลิลทิพย์เข้ามาแทรกเพราะไม่อยากให้พ่อลูกทะเลาะกัน เธอยกมือไหว้และลากคีตะออกจากหอประชุม

เสียงคันเร่งรถหรู ดังก้องอยู่หน้าหอศิลป์ฯ เสียงเครื่องยนต์สะท้อนให้เห็นอารมณ์ของคนขับที่อยู่หลังพวงมาลัยได้เป็นอย่างดี เสียงนั้นรุนแรง หนักแน่น ฉุนเฉียว แต่สักพักกลับเบาลง เหมือนเสียงรถที่จอดนิ่งสนิทอยู่ เพียงเพื่อรอสลิลทิพย์ขึ้นรถ คีตะแม้จะหุนหันพลันแล่นแต่เขาอ่อนโยนและสงบนิ่งได้เสมอเมื่ออยู่กับสลิลทิพย์ เขาเป็นห่วงเธอ และอยากดูแลเธอให้ดีกว่าพ่อของเขาเอง

“คีร์ก็ไม่น่าไปพูดกับพ่อแบบนั้น พ่อยังไงก็ห่วงลูกทุกคนนะ” สลิลทิพย์พยายามให้คีตะคิดกับพ่อในแง่ดี

“ทิพย์หิวไหม คีร์พาไปหาอะไรอร่อยๆ ทานก่อนเข้าบ้านไหม”

“ไม่เป็นไรดีกว่า คีร์รีบไปหาพี่ณัฐเถอะ เดี๋ยวทิพย์ถึงบ้านค่อยหาไรกินเอง” คีตะยิ้มให้ทิพย์ เขารู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่มีหญิงสาวคนนี้นั่งอยู่ข้างๆ นั่งอยู่ข้างในหัวใจของเขา มือชายหนุ่มเอื้อมไปจับมือของเธออย่างละมุน กุมมือเธอไว้อย่างมั่นคง ภายในรถมีเพียงเสียงดนตรีเบาๆ คอยเป็นเพื่อนในยามนี้ ทั้งสองปล่อยให้ความเงียบเป็นสื่อของหัวใจผ่านสัมผัสจากมือสู่มือทั้งสอง

 

ข้าเกลียดเอ็ง ไปรักกันในนรกซะ

เพล้ง…ง เสียงจานกระเบื้องลายไทยสวยงาม หล่นลงกระทบพื้นกระเบื้อง แตกกระจายทั่วพื้น มือชายวัยกลางคนอย่างสุทธิภัทรสั่นเบาๆ เลือดไหลเป็นทางจากมือที่โดนบาด เขารู้สึกใจหวิวๆ มือจึงอ่อนแรงไปชั่วขณะ

“คุณคะ ระวังหน่อยสิ” ทิพย์ปภารีบเข้ามาดู

“สมัย สมัย รีบมาเก็บจานแตกที สมัย” เสียงตะโกนโหวกเหวกดังลั่นไปทั่วบ้าน คนใช้อย่างสมัยรีบวิ่งกุลีกุจอเข้ามาพร้อมที่โกยผงกับไม้กวาด “เก็บให้หมดนะ ฉันจะไปทำแผลให้คุณผู้ชายก่อน” ทิพย์ปภาจับสุทธิภัทรล้างไม้ล้างมือ แล้วพาไปทำแผล แม้ทิพย์ปภาจะดูเป็นคนปากร้าย กระแนะกระแหน แต่เธอก็เป็นคนจิตใจดี มีเมตตา เธอถือคติที่ว่า ดีมาดีกลับ ร้ายมาร้ายกลับ ของของฉันใครก็แย่งไปไม่ได้

“โทรหาลูกให้ผมหน่อยสิ ผมใจคอไม่ค่อยดี” ทิพย์ปภารับคำสั่งของสามี แต่โทรศัพท์ไปเท่าไรปลายสายก็ไม่รับ จนสายตัดไป นั่นยิ่งทำให้ต้นสายกังวลใจ ไม่นานนักเรื่องกังวลใจของสุทธิภัทรก็คลายลง เสียงรถของคีตะดังเข้ามาให้ทั้งสองได้ยิน

“แล้วเจอกันพรุ่งนี้นะทิพย์ ฝันดีนะครับ” คีตะยิ้มหวานให้ทิพย์ ก่อนที่เธอจะเดินเข้าบ้านไป

เกือบไปแล้ว คีตะถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนถึงบ้านไม่กี่นาที ขณะที่ขับมาบนถนนอย่างสบายอารมณ์ ตอนดึกรถมีไม่มาก มีรถบรรทุกขนาด 6 ล้อที่ขับมาคู่กันกับรถของเขา จู่ๆ เกิดเสียงระเบิดจากยางรถยนต์ ลมของยางรถบรรทุกกระทบถึงรถของเขา จนเขาต้องหักรถหลบเปลี่ยนเลนถนนในทันที จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลดความเร็วลง เพราะรู้สึกได้ว่ารถบรรทุกเริ่มเสียหลัก และเป็นจริงอย่างที่คีตะคิด รถบรรทุกเสียหลักเพราะคนขับตกใจเสียงระเบิด เหยียบเบรกกระทันหัน จนรถเสียหลักหมุนอยู่กลางถนน ชนเข้ากับไหล่ทาง คีตะหักหลบได้อย่างฉิวเฉียด สลิลทิพย์ตกใจ ใจหายใจคว่ำพอๆ กับเขาที่ยังพอควบคุมสติ และประคองรถผ่านไปได้

“คุณพ่อเซนส์ดีนะคะเนี่ย จริงๆ ก็เกือบไปเหมือนกันค่ะ นี่ก็ห่วงคีร์อยู่เหมือนกันเดี๋ยวต้องขับรถไปโรงพยาบาลไปเฝ้าพี่ณัฐ” สลิลทิพย์นั่งเล่าเรื่องราวอุบัติเหตุให้พ่อกับแม่ฟัง ทั้งสองมองหน้ากันเหมือนมีลางบอกเหตุ แต่ไม่มีใครพูดกับลูก ไม่อยากให้ลูกรู้สึกกังวลใจไปด้วยกัน ทิพย์ปภารักและหวงลูกสาวมาก ใจของเธอไม่อยากให้ไปรักกับลูกของคีตกานต์เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะความรักที่มีต่อลูก เมื่อลูกรักใครเธอก็พยายามรักตอบ และคีตะก็เป็นเด็กหนุ่มที่แน่วแน่มั่นคงไม่เหมือนแม่ของเขาแม้แต่นิดในความคิดของทิพย์ปภา

 

กริ๊ง…กริ๊ง เสียงโทรศัพท์ของสลิลทิพย์ดังขึ้นยามค่ำคืน หลังจากเธอเข้าห้องนอน อาบน้ำอาบท่าเตรียมรอโทรศัพท์ของคีตะ

“ผมใกล้จะถึงโรงพยาบาลละนะทิพย์ แต่พอดียางแตก น่าจะเป็นตอนหลบรถแล้วเบียดไปโดนอะไรเข้า นี่ก็เรียกรถมารับแล้ว เดี๋ยวคีร์เดินไปโรงพยาบาล พอดีอยู่ไม่ไกล” ปลายสายรายงานความคืบหน้า โดยไม่เปิดให้ต้นสายพูดจาไต่ถามอะไรสักคำ

“คีร์ชอบทำตัวให้ทิพย์เป็นห่วงอยู่เรื่อย ไม่เอาแบบนี้แล้วนะ มีอะไรให้รีบโทรหาทิพย์” น้ำเสียงเธอไม่พอใจคีตะอยู่มาก ซึ่งเขาสัมผัสได้ “ครับ ครับ เจ้าหญิง กระผมจะไม่ทำให้เจ้าหญิงเป็นห่วงอีกนะขอรับ” เสียงหยอกล้อสนุกสนานผ่านตามสายโทรศัพท์ ทำให้สลิลทิพย์สบายใจขึ้น ชายหนุ่มเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ยามคุยกับปลายสาย คนเดินผ่านมาก็พลอยยิ้มไปกับเขาด้วย

คณณัฐนอนหลับอยู่บนเตียงในห้องเดี่ยว กว้างขวาง หรูหรา ภายในห้องมีสายน้ำเกลือระโยงระยางติดข้อมือชายหนุ่มอยู่ คีตกานต์ยืนคุยกับพยาบาลอยู่อีกห้องหนึ่งที่เชื่อมต่อกัน ปล่อยให้ความเงียบคอยปลอบประโลมให้ลูกชายได้พักผ่อนนอนหลับ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองสามครั้ง ไม่ดังมากเป็นเหมือนเสียงขออนุญาตเข้าห้องอย่างเงียบเชียบ คีตะเดินเข้ามาเห็นพยาบาลและแม่คุยกัน สีหน้าของคีตกานต์ดูผ่อนคลายลง ทำให้เขารู้ว่าอาการของพี่ชายไม่น่าเป็นห่วงนัก

“พรุ่งนี้บ่ายๆ ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ค่ะ คุณหมอขอแค่ให้คนไข้นอนพักเยอะๆ เท่านั้น อาการอื่นๆ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่ะ” พยาบาลสาวยิ้มหวาน โค้งเบาให้กับคีตกานต์ เดินเลี่ยงตัวออกจากห้องพักผู้ป่วยไป

“คำสั่งของพ่อได้ผลดีจริงนะครับคุณแม่”

“พูดอะไรของเราแบบนั้น” คีตกานต์ตีคีตะเบาๆ เหมือนสั่งสอน

“คุณแม่กลับบ้านพักผ่อนเถอะครับ เดี๋ยวคืนนี้ผมอยู่เป็นเพื่อนพี่ณัฐเอง ผมเรียกลุงคิดมาให้ขับพาคุณแม่กลับบ้านแล้วนะครับ” ลุงคิด หรือ ลูกคิด คนขับรถประจำบ้านอัฏฐกรเมธา เป็นลูกชายของสมคิด คนขับรถเก่าแก่ของคุณปู่ ส่งไม้ต่อกันมารุ่นต่อรุ่น ลูกคิดเป็นชายวัยกลางคน เขาจะเป็นคนคอยดูแลบ้าน คอยขับรถให้ แต่เหมือนอาชีพขับรถจะน้อยกว่าดูแลบ้านนัก

“ขอบใจจ้ะ เราเองก็พักผ่อนเยอะๆ นะ พรุ่งนี้งานสำคัญของบ้านเราด้วย” คีตกานต์กอด หอมแก้มลูกชายคนเล็กอย่างอบอุ่น เธอแสดงความรักกับลูกๆ แบบนี้ทุกวัน ไม่ว่าเวลาจะผ่านมากี่สิบปีแล้วก็ตาม และลูกๆ ของเธอก็ไม่เคอะเขินแต่อย่างใด

คีตะเดินเข้ามาดูอาการพี่ชายที่นอนอยู่ เขาเห็นพี่ชายนอนสงบนิ่ง หลับลึกก็ไม่กล้าปลุก

“แอบมาดูอะไร” เสียงคณณัฐทำเอาคีตะสะดุ้งโหยง เสียงหัวเราะร่วนดังสนั่นเหมือนพี่แกล้งน้องได้สำเร็จ “ยังไม่เลิกกลัวผีอีกหรือไง” เขาหัวเราะคิกคักสนุกสนานที่ได้แกล้งน้อง

“นอนไปเลย คนอุตส่าห์เป็นห่วง” คีตะต่อยแขนพี่ชายเบาๆ เขินๆ อายๆ ที่ตัวเองยังกลัวผีอย่างที่พี่ชายพูด “ผมไปนอนบ้างละ พ่อฝากให้พี่หายไวๆ พรุ่งนี้ไปทำงานให้เขาต่อได้ นอนไปเยอะๆ เดี๋ยวไม่ได้นอนแล้วจะเป็นลมไปอีก”

คำพูดของคีตะทำเอาคณณัฐฉุกคิดที่จู่ๆ เขาก็หมดสติ ตื่นมาอีกทีก็ที่โรงพยาบาล คณณัฐพยายามนึกย้อนกลับไปว่าตอนนั้นตนเองกำลังทำอะไรอยู่ แต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก รู้เพียงแค่ว่า ตนเองกำลังสั่งงานลูกน้องอยู่ แล้วสักพักไฟในหอประชุมก็ดับ หลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

คีตะล้มตัวลงนอน ห้องที่เงียบสนิทกลับมีเสียงซอด้วงบรรเลงขึ้นช้าๆ ทำนองคุ้นหู คีตะนึกว่าเขาฝันไป เพราะเขาเพิ่งซ้อมดนตรีเสร็จ แต่ที่ไหนได้เสียงนั้นกลับดังขึ้นเรื่อยๆ และใกล้หูมากขึ้นกว่าเดิม เสียงซอด้วงครั้งนี้ดุดัน จังหวะฮึกเหิม ท่วงทำนองฟังดูเหมือนกำลังโกรธแค้น จังหวะเสียดสีของสายฟังแล้วหนักแน่น เน้นย้ำทุกตัวโน้ต สายทั้งสองเหมือนสัมผัสกันจนสายแทบจะขาด คีตะสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นมาทันที ภาพเบื้องหน้าของเขาเปลี่ยนไปไม่ใช่เพดานสีขาวสะอาดตา ที่มีโคมไฟสีเหลืองนวลอ่อนๆ เปิดไว้ แถมไม่ใช่ห้องสี่เหลี่ยมที่ตนเข้ามาเมื่อสักครู่ เขาขยี้ตา แล้วมองออกไปข้างนอกหน้าต่างทันที

ถึงเวลาที่เอ็งต้องกลับมาอยู่กับข้าแล้ว

 



Don`t copy text!