![ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย](https://anowl.co/wp-content/uploads/2024/08/yaam-siiang-Banner-copy.jpg)
ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
ยามค่ำคืนที่ผู้คนต่างพากันนอนหลับ บนท้องถนนยังพอมีรถขับให้เห็นอยู่บ้าง ตึกรามบ้านช่องประดับไฟตามตึก เพียงเพราะไม่อยากให้ค่ำคืนมืดมิดไปกับแสงจันทร์ เสียงเครื่องยนต์บ่งบอกเป็นรถยนต์ยุโรปหรูคันหนึ่งกำลังเร่งเครื่องท้าทายถนนที่ไร้ผู้คน ทิพย์ปภากุมพวงมาลัยไว้แน่น น้ำตายังคงไหลอาบแก้มทั้งสอง ความเสียใจพรั่งพรูออกมาด้วยที่สามียังมีใจให้กับรักแรกของเขา ฤทธิ์แอลกอฮอล์ยังคงกรุ่นอยู่ในร่างกาย ใบหน้าแดงก่ำไม่ต่างจากดวงตาทั้งสองข้าง ภาพถนนเบลอไปหมดด้วยที่น้ำตายังคลอเบ้า ทิพย์ปภายกมือขยี้ตาเช็ดน้ำตาตนเอง
เพียงแค่วินาทีเดียวเท่านั้น รถบรรทุกวิ่งมาจากสี่แยกไฟแดง พุ่งตรงมาที่รถของทิพย์ปภาที่จอดติดไฟแดงอยู่คันแรกและคันเดียว มือที่กำลังปาดน้ำตากำลังจะวางลง พลันแสงไฟสีเหลืองนวลพุ่งเข้าสาดส่องเข้าเต็มหน้าของทิพย์ปภา เพียงไม่กี่เสี้ยววินาที ความเสียใจยังคงไม่ทันหาย ความรู้สึกตัวยังไม่ได้ทำงาน เสียงร้องเรียกให้ช่วยยังไม่ได้เอ่ยปาก แสงไฟเหล่านั้นก็ดับลงทันที กลับกลายเป็นเสียงโครมใหญ่ ตามด้วยเสียงกระจกแตก โครงสร้างรถที่ดูแข็งแรงถูกบดละเอียดแทบไม่เหลือเค้าโครงรถ รถหรูพลิกคว่ำเหมือนโดนงัดจากด้านหน้า โลกของเธอกลับหัวเป็นท้ายกลับท้ายเป็นหัว ลมหายใจสุดท้ายที่เธอหายใจเข้าคือ ก้อนเลือดที่กระอักออกมาจากร่างกายก่อนที่รถบรรทุกสิบล้อจะบดทับตัวรถอีกครั้งหนึ่ง แล้วรถทั้งสองคันก็แน่นิ่งไปเฉกเช่นเดียวกับร่างของทิพย์ปภา
ภาพวงจรปิดของแผนงานจราจรถูกเปิดขึ้นเพื่อดูความเสียหายและค้นหาต้นตอของอุบัติเหตุใหญ่ครั้งนี้ สุทธิภัทร สลิลทิพย์ คณินทร์ คีตกานต์ คีตะ และคณณัฐ ยืนดูกันอยู่อย่างแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง สลิลทิพย์ร้องไห้จนเป็นลม สุทธิภัทรสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คีตะกับคณณัฐต้องรีบเข้าไปประคองสลิลทิพย์ให้ไปนั่งพัก คีตกานต์จับมือสุทธิภัทรเป็นกำลังใจให้
“อย่างนี้เราเอาผิดคนขับรถบรรทุกได้ไหมครับ” คณินทร์ถามตำรวจ
“ตอนนี้ทางคนขับบาดเจ็บสาหัสเป็นตายเท่ากัน ทางเราตั้งข้อหากับทางคนขับไว้ เนื่องจากเป็นการขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่ทั้งนี้ต้องรอให้ผู้ต้องหาฟื้นขึ้นมารับฟังข้อหาก่อนครับ”
“ทางนี้ขอรับศพผู้เคราะห์ร้ายกลับได้ไหมครับ” คณินทร์สงสารทิพย์ปภาจับใจ
“ผมขอแจ้งเกี่ยวกับผู้เคราะห์ร้ายก่อนนะครับ เนื่องจากทางนิติเวชชันสูตรศพมา ทางเราพบแอลกอฮอล์ในเลือดของผู้ตายเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด แต่เนื่องจากผู้เคราะห์ร้ายเสียชีวิต ทางกฎหมายจึงไม่สามารถเอาผิดฐานเมาแล้วขับได้ ทั้งนี้ผมขอแจ้งให้ทางนี้เรียกทนายเผื่อไว้ก่อนจะแน่นอนกว่านะครับ ส่วนเรื่องการรับศพกลับไม่มีปัญหาครับ” คณินทร์รับฟังและดำเนินการทุกอย่างแทนสุทธิภัทรที่ยังไม่สามารถรับรู้ข่าวสารอะไรได้ในตอนนี้
ค่ำคืนที่แสนยาวนานสิ้นสุดลง แต่ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้มยิ่งทำให้บรรยากาศชวนเศร้าสลดมากขึ้นกว่าเดิม หน้าสถานีตำรวจ ทุกคนออกมาจากโรงพักด้วยสีหน้าแววตาอ่อนล้า อ่อนเพลีย และหมดแรง ค่ำคืนที่หนักหนาที่สุดของสุทธิภัทรและสลิลทิพย์ สองพ่อลูกมองหน้ากันน้ำตาไหลพราก กอดให้กำลังใจซึ่งกันและกัน
“ลูกกลับบ้านไปก่อนนะ เดี๋ยวพ่อตามไป” สุทธิภัทรลูบหัวลูกสาว “คีร์ ฝากอยู่เป็นเพื่อนน้องหน่อยนะ”
“ไม่ต้องห่วงครับคุณลุง” คีตะรับปาก
“ให้ลูกไปอยู่บ้านฉันก่อนก็แล้วกัน” คีตกานต์เสนอ เธอเดินเข้ามาจับมือสลิลทิพย์กอดปลอบอย่างอ่อนโยน สุทธิภัทรพยักหน้ารับ
“แล้วนายจะไปไหน” คณินทร์สงสัย “ฉันขับรถให้” สุทธิภัทรไม่ปฏิเสธ ลุงคิดคนขับรถบ้านคณินทร์ขับรถตู้เข้ามาจอดรอรับทุกคนกลับบ้าน ระหว่างทางกลับสลิลทิพย์ไม่พูดไม่จา เหม่อลอย มองออกไปที่ท้องถนนเมื่อเธอเห็นไฟแดงจากสี่แยกน้ำตาของเธอไหลอาบแก้มด้วยความคิดถึง แม่จากเธอไปอย่างไม่ทันได้ร่ำลา ภาพสุดท้ายของเธอกับแม่ช่างเลือนรางเหลือเกิน ยิ่งนึกถึงน้ำตาสลิลทิพย์ก็ยิ่งไหล เธอร้องไห้จนตัวโยนไปมา คนในรถต่างเศร้าสลด คีตะนั่งกุมมือสลิลทิพย์ไว้ตลอดทาง ความเงียบน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้
หน้าสถานีตำรวจสุทธิภัทรนั่งหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่บันได เขาทรุดตัวลงอย่างไม่อายใคร นั่งร้องไห้เหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะแตกสลาย ต่อให้เขาทะเลาะกับทิพย์ปภาแค่ไหนสุดท้ายแล้วเธอก็คือ ภรรยาและแม่ของลูกที่เขารัก คณินทร์นั่งอยู่ข้างๆ
“ฉันเป็นคนทำให้ภาตาย” สุทธิภัทรพูดขึ้น
“มันเป็นอุบัติเหตุ รถบรรทุกนั่นพุ่งเข้ามาเอง นายอย่าโทษตัวเองเลยนะ”
“ฉันเป็นคนยัดกุญแจรถแล้วไล่ภากลับบ้าน ถ้าฉันไม่ให้กุญแจรถเรื่องนี้ก็ไม่เกิดขึ้น” สุทธิภัทรทำร้ายตัวเอง มือของเขาทั้งทุบทั้งตีทั้งรั้งหัวตัวเองเหมือนคนขาดสติ คณินทร์พยายามดึงมือเพื่อนออก เขากอดสุทธิภัทรอย่างเข้าใจ สุทธิภัทรซบหน้าลงกับคณินทร์ร้องไห้หนักกว่าเดิม เจ้าหน้าที่ตำรวจคนที่ดำเนินเรื่องอุบัติเหตุเดินออกมา
“ขอโทษนะครับ” สุทธิภัทร คณินทร์หันไปมองตามเสียง เจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นกุญแจรถที่ทิพย์ปภาขับส่งให้สุทธิภัทร “พอดีเจ้าหน้าที่สังเกตเห็นกุญแจนี้กระเด็นอยู่ข้างรถเลยคาดว่าน่าจะเป็นของรถผู้เสียชีวิตครับ” สุทธิภัทรมองกุญแจรถน้ำตาไหล มือไม่มีแม้แต่แรงจะยื่นออกไปรับ “ขอบคุณครับ” คณินทร์รับแทน
“ส่วนของใช้ส่วนตัวของผู้เสียชีวิต ญาติสามารถรับได้ที่นิติเวชตอนรับศพได้ครับ ผมเสียใจด้วยนะครับ” เจ้าหน้าที่ตำรวจโค้งตัว สุทธิภัทรมองกุญแจรถบนมือคณินทร์ เขาปัดกุญแจรถนั้นทิ้งอย่างแรงจนกระเด็นไป
“นายต้องตั้งสตินะภัทร ลูกยังต้องการนายนะ” คณินทร์พยายามเตือนสติเพื่อน
สุทธิภัทรเหม่อลอยเหมือนสติหลุดหายไป แม้แต่ความรู้สึกเป็นห่วงสลิลทิพย์เมื่อสักครู่ก็เลือนราง เสียงรอบๆ ข้างแม้จะดังแค่ไหนก็กลายเป็นว่างเปล่า คำพูดของเพื่อนสนิทก็เหมือนอากาศที่ลอยผ่านไป คณินทร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เหมือนไม่ได้อยู่ตรงนั้น ช่วงเวลานี้เขาไม่ต้องการใครทั้งนั้น ไม่ต้องการแม้กระทั่งการปลอบโยน คำพูดที่สวยหรูให้เขาสบายใจ ในความคิดของเขาตอนนี้มีแค่ตัวเขาที่โดดเดี่ยวไม่มีใครข้างกาย สิ่งที่เขาพยายามสร้างมาทั้งชีวิตไม่ได้มีความหมายอะไรต่อเขาอีกแล้ว สิ่งเดียวในชีวิตที่เหลือของเขาจากนี้ คือ ความต้องการที่แท้จริงของเขาเท่านั้น
“ทิพย์คะ ถึงบ้านแล้วค่ะ” คีตะเรียกสลิลทิพย์ที่นั่งเหม่อลอยอยู่ในรถ รถจอดสนิทในบ้านคีตะมาสักพักแต่สลิลทิพย์ไม่รู้ตัวจนคีตะต้องเรียก เขาเอื้อมมือไปแตะตัว สลิลทิพย์สะดุ้งได้สติ มือหนาของเขากำลังจับมือบางสั่นของเธอ คอยประคองให้เธอลงจากรถ มือนั้นบีบไว้แน่นเหมือนเป็นกำลังใจ เขาอยากให้เธอรู้ว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาจะอยู่ตรงนี้ข้างๆ เธอเสมอจะคอยประคองทั้งยามสุขและยามทุกข์ คณณัฐมองออกมาจากประตูบ้าน สายตาของเขาโหยหาแกมอิจฉาอยู่ในใจ คณณัฐรู้สึกมาตลอดว่าต่อให้เขาไปคุยกับผู้หญิงอื่นอีกสักกี่คน สลิลทิพย์ก็ยังนั่งอยู่ในใจเขาที่เดิมตลอดมา แต่ในวันนั้นเขากลับมองไม่เห็น
ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง
เสียงเที่ยงดังเข้าหูคณณัฐ เขาหันกลับไปมองตามเสียงทันที เสียงเที่ยงหัวเราะสะใจดังลั่นบ้าน การแก้แค้นของเขากำลังจะเริ่มต้นขึ้น คำสาปได้ถึงเวลาของมันแล้ว
“กูจะแย่งคนรักของกูคืนมา” คณณัฐพูดขึ้นเบาๆ สีหน้าแววตาของเขาเปลี่ยนไป แววตาอาฆาตพยาบาทจ้องคีตะหมายจะเอาเลือดเอาเนื้อ เสียงของคณณัฐก็ทุ้มขึ้น ความอ่อนโยนในคำพูดหายไปหมดสิ้น นัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นดำสนิทเหมือนคนกำลังโดนของ สักพักนัยน์ตาของเขากลับมาเป็นเหมือนเดิม รอยยิ้มที่มีเสน่ห์กลายเป็นความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันที
“ผมพาทิพย์ไปนั่งพักก่อนนะพี่ณัฐ” คีตะกำลังจะเดินผ่านคณณัฐ
“ทิพย์ เดี๋ยวพี่พาไปเอง” คณณัฐคว้าแขนสลิลทิพย์ไป พร้อมกับโอบประคองเธอไปที่โซฟา สลิลทิพย์ผู้ไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืนหรือจะไต่ถาม หรือแม้แต่จะหันไปปฏิเสธคณณัฐก็ทำไม่ได้ คีตะมองพี่ชายที่พาแฟนสาวของตนเองไปจากมือ ความรู้สึกแปลกใจ ไม่พอใจ วิ่งเข้ามาในหัวสมองเขา แต่พยายามคิดว่าพี่ชายของเขาจะไม่มีทางแย่งคนรักของเขาไปเด็ดขาด เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พ่อกับแม่ปลูกฝังทั้งสองคนมาตั้งแต่เด็กๆ จะแย่งของกันหรือจะแบ่งของกันเล่นแค่ไหน เรื่องเดียวที่ห้ามแย่งกันคือเรื่องผู้หญิง
คีตกานต์ถือน้ำส้มคั้นมาวางไว้ที่โต๊ะรับแขก บ้านหลังนี้ดูเงียบเหงากว่าปกติ บรรยากาศอึมครึมไม่มีใครพูดกับใคร “หนูทิพย์ กินน้ำกินท่าสักหน่อยนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณป้า” สลิลทิพย์ยกมือไหว้ขอบคุณคีตกานต์ เธอรับน้ำใจของเธอเพียงอย่างเดียว ใบหน้าเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด
“หนูทิพย์มีอะไรคุยกับป้าได้นะลูก” คีตะ คณณัฐนั่งอยู่ใกล้ๆ
“นั่นสิทิพย์ คีร์เป็นห่วงทิพย์มากนะ” สลิลทิพย์ยิ้มเบาๆ ให้เขา พร้อมกับเอื้อมมือไปแตะมือเขาเบาๆ คณณัฐเห็นก็รู้สึกโกรธขึ้นมา จ้องสลิลทิพย์ไม่วางตา
“ขอบคุณทุกคนมากนะคะ แต่ทิพย์อยากอยู่คนเดียว”
“แต่…” คีตะจะพูดแทรก
“ทิพย์ขอนะคีร์ อย่าเพิ่งพูดอะไรตอนนี้เลย” คีตะพยักหน้าเข้าใจ
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง” คณณัฐออกตัว
“ไม่เป็นไรพี่ณัฐ ผมไปส่งทิพย์เอง” สลิลทิพย์ลาคีตกานต์และคณณัฐ
ฝนที่ตกในยามนี้ ยังไม่หนักหนาเท่ากับน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของสลิลทิพย์ คีตะกางร่มให้เธอ ลมฝนพัดกระหน่ำคล้ายพายุ ร่มน้อยในมือคล้ายจะปลิวได้ทุกเมื่อ ยังไม่พ้นประตูหน้าบ้าน จู่ๆ สลิลทิพย์ก็ทรุดนั่งลงกับพื้น คีตะตกใจรีบคว้าแขนเธอไว้ สลิลทิพย์นั่งก้มหน้าร้องไห้เหมือนเด็กๆ เธอปัดร่มออกจากตนเอง
“อย่ามองนะคีร์” สลิลทิพย์ไม่อยากให้คีตะเห็นเธอร้องไห้ในตอนนี้ เธอเพียงอยากให้สายฝนช่วยพรางน้ำตาของเธอเสียมากกว่า คีตะทิ้งร่มลงกับพื้น เขาเข้ามานั่งข้างๆ สลิลทิพย์ มือของเขาโอบกอดร่างบางนั้นไว้แนบกาย สลิลทิพย์หันมาซบหน้าในอ้อมกอดของคีตะความเสียใจพรั่งพรูออกมาเหมือนสายฝนในยามนี้
“ไม่ว่าทิพย์จะสุขจะทุกข์ คีร์จะอยู่ข้างๆ ทิพย์อย่างนี้ตลอดไป” คีตะกระซิบข้างหูของเธอ สลิลทิพย์เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขา สายตาของเธอเป็นสุขใจ อุ่นใจ คีตะมองตาเธอเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก หน้าผากทั้งสองแนบชิดติดกัน สลิลทิพย์จูบคีตะท่ามกลางสายฝน ร่างของสลิลทิพย์ถูกทับซ้อนด้วยหญิงสาวใส่ชุดไทยร่วมสมัย สไบเฉียง โดยมีชายหนุ่มนุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลกับเสื้อขาวที่เปียกปอนจนแนบเนื้อ
รักกันให้พอ ก่อนจะไม่ได้มีชีวิตอยู่
สายตาของคณณัฐที่ถูกเที่ยงเข้าสิงมองภาพที่อยู่หน้าบ้านของตนด้วยสายตาอาฆาตแค้น ดวงตาแดงก่ำ พายุโหมกระหน่ำเหมือนความโกรธเกลียด เคียดแค้นที่สะสมมานานร่วมร้อยปี
“ขอบคุณนะคีร์ที่อยู่เป็นเพื่อนทิพย์”
“คีร์อยากให้ทิพย์รู้นะ ไม่ว่าทิพย์จะเจอเรื่องอะไรในชีวิต ทิพย์จะมีคีร์อยู่ข้างๆ ตรงนี้เสมอ” เขายิ้มให้เธออย่างอบอุ่น สลิลทิพย์ปาดน้ำตา ยื่นมือให้คีตะ เขากุมมือนั้นไว้ ร่มน้อยถูกลืมทิ้งไว้ เพราะบางทีมือน้อยที่เขากุมอยู่ช่างอบอุ่นและปลอดภัยกว่าร่มที่คอยกางบังสายฝนเสียอีก
“ทิพย์อยู่คนเดียวได้จริงๆ เหรอ ให้คีร์อยู่เป็นเพื่อนไหม”
“อือ ไม่เป็นไร คีร์กลับไปพักผ่อนเถอะ ไม่ได้นอนมาทั้งคืนแล้ว”
สายฝนค่อยๆ บางลงบ้างเล็กน้อย คีตะยังไม่เดินไม่พ้นหน้าบ้านสลิลทิพย์ รถของสุทธิภัทรก็เข้ามาจอดหน้าบ้านพอดี คณินทร์เดินลงมาจากฝั่งคนขับ สุทธิภัทรที่นั่งอยู่ในรถยังไม่เดินลงมา
“แล้วคุณลุงล่ะพ่อ”
“นั่งอยู่ในรถ ท่าทางจะหนักเอาการอยู่” คณินทร์สงสารเพื่อนจับใจ คีตะเดินไปเปิดประตูรถให้สุทธิภัทร เขาก้าวขายาวๆ ลงจากรถ สุทธิภัทรเดินเข้าบ้านไม่สนใจทั้งสองคน เดินผ่านไปเหมือนทั้งสองคนเป็นอากาศ คีตะกำลังจะยกมือไหว้ ก็ทำได้เพียงไหว้ตามหลังเขาไกลๆ เท่านั้น
“ปล่อยให้พ่อลูกเขาอยู่ด้วยกันก่อน ว่าแต่เราทำไมไม่กางร่ม ปล่อยให้หนูทิพย์เปียกขนาดนั้นได้ยังไง ” คณินทร์เป็นห่วงลูกแต่พูดไม่เป็น พ่อลูกเดินตัวเปียกกลับบ้านกันสองคน ในใจของคณินทร์อยากจะกางร่มให้ลูกแต่เคอะเขินจนกลายเป็นการเร่งให้ลูกกลับบ้าน
บ้านที่เคยอบอุ่น บ้านที่เคยมี พ่อ แม่ ลูก นั่งดูทีวีด้วยกัน หัวเราะกัน พูดคุยยิ้มแย้มร่าเริงสนุกสนาน บัดนี้กลับกลายเป็นบ้านที่อบอวลไปด้วยความโศกเศร้า แสงแดดยามบ่ายไม่ได้ทำให้บ้านดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาแม้แต่น้อย แสงนั้นกลับกลายเป็นแสงแห่งความคิดถึง เงาที่พาดผ่านโซฟาตัวโปรดของทิพย์ปภา ภาพต่างๆ เหล่านั้นปรากฏชัดเจนมากเสียยิ่งกว่าครั้งไหน สนามหญ้าหน้าบ้านที่เคยนั่งเล่นกันตอนนี้มีเพียงเก้าอี้ยาวที่ว่างเปล่าตั้งอยู่ลำพัง เมื่อก่อนทิพย์ปภาจะนั่งอ่านหนังสือ จิบกาแฟ ดูหุ้นอยู่ตรงนั้นตลอด ตอนสลิลทิพย์กลับมาเธอก็จะกอดลูกทุกครั้งที่เห็นหน้า บัดนี้แสงแดดนั้นกลับทำหน้าที่เป็นไออุ่นเบาๆ ที่ไม่สามารถทดแทนอ้อมกอดนั้นได้เลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าเดินหรือมองไปที่มุมไหนภาพของทิพย์ปภายังวนเวียนอยู่ในที่แห่งนั้น ยิ่งมองน้ำตาของสลิลทิพย์ก็ยิ่งไหล เธอไม่สามารถหยุดความคิดถึงลงไปได้
ทันทีที่พ่อก้าวเข้ามาในบ้าน เธอโผเข้ากอดพ่อเหมือนเด็กน้อยที่กำลังเสียใจ สองพ่อลูกกอดกันกลมอยู่กลางบ้าน สุทธิภัทรไม่มีน้ำตาให้เห็นแต่นัยน์ตาของเขายังมีน้ำเอ่อล้นอยู่ เพียงแต่เขาไม่อยากแสดงออกมาให้ลูกเห็น
“ทิพย์ไปพักผ่อนเถอะนะ ตัวเปียกตากฝนเดี๋ยวจะเป็นหวัด พ่อขอตัวเข้าห้องก่อน” สลิลทิพย์ได้แต่พยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ และปล่อยมือออกจากพ่อของเธอ เธอรู้ว่าเวลานี้พ่อของเธอก็บอบช้ำไม่ใช่น้อย ไม่ต่างจากเธอสักเท่าไร หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ
ประตูห้องถูกปิดลง สุทธิภัทรถอดสูทโยนทิ้งลงที่พื้น เขาไม่แม้แต่จะถอดเสื้อผ้า เดินเข้าห้องน้ำเปิดฟักบัวให้รดหัวเขาทันที เนื้อตัวของเขาเปียกโซก เขานั่งลงกอดเข่าก้มหน้า รอให้น้ำจากฝักบัวไหลผ่านหัวของเขาลงมา เสียงน้ำกลบเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเขาได้เป็นอย่างดี แต่ไม่นานนักคราบน้ำตานั้นถูกน้ำชำระล้างหายไป รอยยิ้มกลับปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่ใช่คนที่เพิ่งเสียภรรยาไป เขาหัวเราะทั้งน้ำตาเหมือนคนที่กำลังขาดสติ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น