
ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 13 : ม่านบังตา
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
เสียงสัญญาณของรถพยาบาลดังไปทั่ววัด ทีมพยาบาล บุรุษพยาบาลต่างวิ่งกันลงมาจากรถเพื่อมาดูผู้ป่วย เปลหามถูกนำมาเพื่อยกตัวคนเจ็บขึ้นรถ สายน้ำเกลือระโยงระยางอยู่ข้างกาย คณินทร์ที่ไร้สติ คีตกานต์ที่ได้รับการทำแผลก่อนขึ้นรถไปกับสามี คณณัฐตั้งใจตามไปทีหลังจากที่ส่งสลิลทิพย์ที่บ้าน
สุทธิภัทรตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเห็นเลือดนองอยู่ที่พื้น พลันภาพในอดีตของพ่อแม่และภรรยาก็วนกลับเข้าในหัว เขาปวดหัวจนทรุดลงไปกับพื้น สลิลทิพย์และคณณัฐเข้าไปพยุง
“ไม่ต้องมายุ่ง” สุทธิภัทรสะบัดมือคณณัฐออกอย่างแรง
“พ่อคะ พี่ณัฐเขาแค่จะมาช่วย” สลิลทิพย์มองหน้าพ่อของตนอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง สุทธิภัทรมีอารมณ์รุนแรง ก้าวร้าว ขี้โมโห “คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ ทิพย์ไม่เข้าใจ มันเป็นอุบัติเหตุนะคะ คุณพ่ออย่าโทษตัวเองอีกเลยค่ะ”
“นี่แกว่าพ่อเป็นคนทำให้แม่แกไปเจออุบัติเหตุเหรอ” สุทธิภัทรตีความไปกันคนละเรื่อง
“ไม่ใช่หรอกครับคุณลุง ทิพย์ไม่เคยโทษคุณลุงเลยนะครับ” คณณัฐช่วยเสริม
“แล้วมันเรื่องอะไรของแก” สุทธิภัทรเดินเข้าหาคณณัฐหมายจะเอาเรื่อง คณณัฐเอามือดันสุทธิภัทรไว้ เขาปัดมือออก ผลักไหล่คณณัฐเหมือนคนกำลังพาล
“พอเถอะค่ะคุณพ่อ คุณลุงก็เข้าโรงพยาบาลไปแล้วคนหนึ่ง คุณพ่อยังจะทำให้พี่ณัฐบาดเจ็บอีกคนเหรอคะ”
“นี่แกเข้าข้างคนบ้านนั้นมากกว่าพ่อตัวเองแล้วเหรอ”
“เปล่านะคะ หนูเป็นห่วงคุณพ่อนะคะ” สลิลทิพย์เข้าไปกอดสุทธิภัทร แต่เขาอารมณ์เลือดขึ้นหน้าจึงผลักสลิลทิพย์กระเด็น คณณัฐเข้ามาประคองเธอไว้ได้ทันก่อนเธอจะลื่นล้มไปอีก
“แกจะไปไหนก็ไป อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก” สุทธิภัทรพูดจบเดินออกจากศาลาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
“ทิพย์อยากไปหาคุณลุงคุณป้าค่ะพี่ณัฐ พาทิพย์ไปหน่อยนะ” คณณัฐพยักหน้ารับ เดินโอบสลิลทิพย์ไปขึ้นรถ แท้จริงแล้วเหตุการณ์นี้จะไม่รุนแรงถ้าเที่ยงไม่คอยปั่นหัวสุทธิภัทรอยู่ตลอดเวลา ในหัวของสุทธิภัทรขณะนั้นเขาเหมือนได้ยินเสียงยุแยงให้สติของเขาแตกกระเจิง ปมในอดีตเรื่องคีตกานต์ ภาพความผิดหวังเสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเขาถูกพูดให้ได้ยินในหูตลอดเวลา
หน้าห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาลเดินเข้าออกกันอย่างขวักไขว่ หมอเดินเข้าเดินออกปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด ชุดกาวน์สีขาวแทบจะจ้ำเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมๆ กัน คีตกานต์นั่งมือไม้สั่นอยู่คนเดียวหน้าห้อง เธอรอฟังอาการของสามีอย่างใจจดใจจ่อ คณณัฐ สลิลทิพย์ มาถึงก็ตรงเข้ามาหาคีตกานต์
“คุณป้าคะ คุณลุงเป็นยังไงบ้างคะ” สลิลทิพย์ถามอย่างร้อนใจ คีตกานต์ส่ายหน้า คณณัฐเข้าไปกอดปลอบแม่
“หนูขอโทษจริงๆ นะคะคุณน้า หนูไม่รู้ว่าคุณพ่อของหนูเป็นอะไรถึงทำร้ายคุณลุงคุณป้าได้ขนาดนี้” สลิลทิพย์ร้องไห้ คีตกานต์เห็นสลิลทิพย์ก็สงสาร เธอไม่รู้เรื่องราวใดๆ ระหว่างพ่อกับแม่ และยังต้องมาแบกรับเรื่องราวเหล่านี้ตัวคนเดียว คีตกานต์ไม่ตอบแต่กลับดึงสลิลทิพย์เข้ามากอด
“อย่าโทษตัวเองเลยนะหนูทิพย์ มันเป็นเรื่องในอดีตของลุงกับป้าและพ่อของหนูเอง” คีตกานต์กอดสลิลทิพย์ไปด้วยพูดปลอบเธอไปด้วย
“ลูกณัฐ ก่อนหน้าที่พ่อจะเข้าห้องฉุกเฉินไป พ่อฝากนี่ให้ลูกนะ” คีตกานต์หยิบจี้พระที่พระอาวุโสในงานขึ้นมา “พระในงานท่านฝากมาให้ลูก พกติดตัวไว้นะ” คณณัฐเห็นพระก็ตกใจ เพราะเป็นพระประจำตระกูลของเจ้าคุณนรพงศ์ที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่นเพื่อปกปักรักษาคนในตระกูลเพื่อไม่ให้โดนคำสาปของเขาทำร้าย
ทันทีที่คีตกานต์วางพระไว้ในมือของคณณัฐ มือนั้นก็ร้อนดังไฟบรรลัยกัลป์ คณณัฐโยนพระลงกับพื้นเหมือนของแสลง คีตกานต์ก้มลงไปหยิบ ในขณะที่สลิลทิพย์มองหน้าคณณัฐอย่างสงสัย สีหน้าของเขาซีดลงอย่างเห็นได้ชัด แววตาของเขาเหมือนมีเงาบางคนสะท้อนอยู่ข้างใน คีตกานต์เก็บพระขึ้นมาพร้อมกับใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตให้ ทันใดนั้นคณณัฐก็ตัวสั่น ร้องโหยหวนเหมือนถูกผีเข้า พยาบาลที่อยู่ข้างหน้าห้องฉุกเฉินได้ยินก็รีบวิ่งเข้ามาดู พากันจับให้คณณัฐนอนลงเพื่อปฐมพยาบาล และแล้วคณณัฐก็นอนนิ่งไม่ได้สติ คีตกานต์ตกใจที่ลูกชายมีอาการแปลกๆ เธอเป็นลมจนสลิลทิพย์ต้องเข้าประคอง
สุดท้ายคณณัฐถูกนอนให้น้ำเกลืออยู่ที่ห้องผู้ป่วย คีตกานต์นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยข้างๆ อีกคน และมีสลิลทิพย์นั่งเฝ้าทั้งสองอยู่บนโซฟาใกล้ๆ สลิลทิพย์พยายามโทรศัพท์หาคีตะตลอดเวลา แต่เขาก็ไม่รับสาย ไม่นานนักก็คล้ายเหมือนอีกฝ่ายแบตเตอรี่หมดกลายเป็นฝากข้อความ
“หายไปไหนของเขานะ ในเวลาแบบนี้” สลิลทิพย์เริ่มเป็นห่วงคีตะมากขึ้น คีตกานต์เริ่มรู้สึกตัว
“ไม่นะ อย่าทำอะไรฉันนะภัทร” เธอร้องโวยวายพร้อมกับสะดุ้งตื่นขึ้นมา สลิลทิพย์มองหน้าคีตกานต์อย่างประหลาดใจที่เธอละเมอเอ่ยชื่อพ่อของเธอ สลิลทิพย์รีบลุกไปยืนข้างเตียง
“คุณป้าไม่เป็นอะไรนะคะ”
“หนูทิพย์ติดต่อคีร์ให้ป้าที”
“หนูโทรหาคีร์ไม่ติดเลยค่ะคุณป้า” คีตกานต์สีหน้าเป็นกังวล ลูกชายเขาหายไปไหน คณณัฐเริ่มรู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้นมา คีตกานต์และสลิลทิพย์รีบเข้ามาหา
“ณัฐลูก เป็นยังไงบ้าง” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง คณณัฐทำหน้างงๆ เขาจำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“นี่ผมอยู่ที่ไหนครับ”
“พี่ณัฐอยู่โรงพยาบาลค่ะ พี่ณัฐตัวสั่นแล้วก็ล้มลงที่หน้าห้องฉุกเฉินไงคะ” สีหน้าคณณัฐว่างเปล่า ไม่เข้าใจว่าเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง
“แล้วงานศพคุณน้าทิพย์ปภาล่ะครับแม่” คีตกานต์มองหน้าสลิลทิพย์งงๆ
“งานเสร็จแล้วนะลูก ลูกเพิ่งออกมาจากงานก่อนมาที่นี่เองนะ”
“แล้วคุณพ่อล่ะครับ เจ้าคีร์ด้วย” คณณัฐจำได้เพียงว่าเขากำลังจุดธูปอยู่หน้าวัดเท่านั้น คีตกานต์กับสลิลทิพย์ไม่พูดไม่จา
“คีร์ติดต่อไม่ได้ค่ะพี่ณัฐ แต่เดี๋ยวก็คงโทรกลับมาเองค่ะ”
“แล้วคุณพ่อละครับคุณแม่” คีตกานต์น้ำตาไหล สลิลทิพย์เข้ามาปลอบ เสียงเคาะประตูห้องผู้ป่วยดังขึ้น หมอ พยาบาล เจ้าของไข้คณินทร์เดินเข้ามาในห้องพักของทั้งคู่ สีหน้าแววตาของหมอและพยาบาลไม่ค่อยสู้ดีนัก
“เดี๋ยวผมขอตรวจอาการคุณคีตกานต์กับคุณคณณัฐอีกครั้งนะครับ” หมอกับพยาบาลเข้ามาตรวจวัดความดัน ฟังเสียงปอด ตรวจการเต้นของหัวใจ
“อาการของทั้งสองคนไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนะครับ”
“แล้วสามีดิฉันล่ะคะคุณหมอ”
“เบื้องต้นคุณคณินทร์ออกจากห้องฉุกเฉิน อาการคงที่แล้วนะครับ หมอขอดูอาการในห้องไอซียูอีกสักสองสามวัน เนื่องจากคนไข้ได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองค่อนข้างหนัก มีเลือดคั่งในสมองบางจุด ทางทีมแพทย์ได้ผ่าตัดดูดเอาก้อนเลือดออก ไม่ต้องกังวลนะครับ เป็นการผ่าตัดที่ไม่น่ากลัวครับ ทั้งนี้เรารักษาด้วยยาเพิ่มเติมเนื่องจากมีเลือดออกในสมองเป็นจุดเล็กๆ ซึ่งยังไม่มีอาการอื่นๆ ร่วมครับ” สีหน้าคีตกานต์ยังไม่คลายกังวล คณณัฐจับมือแม่ไว้แน่น สลิลทิพย์รู้สึกผิดมาก
“ขอเข้าไปเยี่ยมได้ไหมคะคุณหมอ” คีตกานต์เป็นห่วงสามีมาก
“ทางเราของดเยี่ยมก่อนนะครับ ยังไงผมจะให้พยาบาลคอยรายงานความคืบหน้าให้ตลอด และถ้ามีอะไรคืบหน้า ผมจะมารายงานให้ทางญาติทราบอีกครั้งครับ” คีตกานต์พยักหน้ารับทราบ ทุกคนขอบคุณหมอและพยาบาล
ทันทีที่หมอและพยาบาลออกจากห้องไป สลิลทิพย์นั่งลงคุกเข่าต่อหน้าคีตกานต์ เธอตกใจมากที่จู่ๆ สลิลทิพย์ลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น
“ลุกขึ้นหนูทิพย์” คีตกานต์รีบคว้าตัวสลิลทิพย์ไว้
“หนูขอโทษนะคะคุณป้า หนูไม่รู้จะกล้าสู้หน้าทุกคนต่อไปได้ยังไงแล้วค่ะ” สลิลทิพย์พูดไปร้องไห้ไป คีตกานต์ได้แต่กอดปลอบหลานสาว คณณัฐน้ำตาคลอ เขาจับต้นชนปลายไม่ถูกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกับครอบครัวของเขา และที่สำคัญน้องชายของเขาหายไปไหน
เช้าวันรุ่งขึ้น อากาศปลอดโปร่งไม่เหมือนเมื่อคืนที่พายุพัดกระหน่ำ ใบไม้ปลิวว่อนเต็มไปหมด พื้นดินแฉะชุ่มไปด้วยน้ำขัง ต้นไม้ใบหญ้าเปียกปอนกันทั่วทุกหย่อมหญ้า แสงแดดอ่อนจนเกือบจัดลอดผ่านบานหน้าต่างไม้ที่คีตะปิดไว้เมื่อตอนกลางคืน เขาเปิดหน้าต่างบานคู่ต้อนรับแสงวันใหม่ ภายในใจเขายังคงเป็นกังวลกับภพปัจจุบันที่เขาหายตัวมา เขาคาดหวังว่าในช่วงเวลานี้จะไม่มีใครตามหาเขา และเขาคงหายไปไม่กี่นาที เพราะครั้งก่อนเขาหายไป 3 วัน ผ่านไปเพียงแค่ 7 ชั่วโมงเท่านั้น
ทันทีที่เขามองไปนอกหน้าต่างความคิดอื่นใดพลันหายไปหมดสิ้น ภาพเบื้องหน้าของเขาดูรกร้างว่างเปล่า ต้นไม้ที่เขียวขจีกลับกลายเป็นเหี่ยวเฉาภายในข้ามคืน คีตะขยี้ตาตัวเอง เขาไม่เชื่อสิ่งที่ตาเห็นในตอนนี้
คีตะรีบออกจากห้องเดินลงจากตึกฝรั่ง มองซ้ายมองขวาพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้พบเจอใคร ซึ่งก็เป็นตามคาดไม่มีใครอยู่ในตึกฝรั่งแม้แต่คนเดียว ในตึกเงียบเหมือนตึกร้าง เขารีบออกจากตึกฝรั่งเดินไปตามทาง ไม่กี่ช่วงตึกเขาก็มาหยุดอยู่ที่หน้าเรือนการเวก เรือนที่เขามาร่ำเรียนดนตรีไทยอยู่หลายครั้งหลายครา เรือนที่เขาใช้หลับนอน นั่งเล่น กินข้าว แต่บัดนี้เรือนการเวกเบื้องหน้ากลับดูทรุดโทรม หน้าต่างผุพังจนแทบจะหลุดลงมา เขาค่อยๆ ก้าวขาขึ้นบันได เสียงไม้ลั่นดังตามที่เขาก้าว ยังไม่พ้นก้าวสุดท้ายขั้นบันไดไม้บนสุดก็หักคาเท้าคีตะ เขาตกลงในร่องบันได ยังโชคดีที่มือคว้าราวบันได้ไว้ทัน
ประตูเรือนการเวกถูกปิดอยู่ คีตะผลักประตูเรือนนั้นเบาๆ เหมือนกำลังย่องขึ้นบ้านใครสักคน เสียงบานประตูร้องดังจนน่ากลัว โถงเรือนตรงกลางมีตั่งตัวหนึ่งตั้งอยู่กลางเรือนเหมือนเป็นเก้าอี้สำหรับไว้ให้คนนั่ง ชานเรือนทั้งสองฝั่งมีแต่ใบไม้แห้งเต็มไปหมด เขาค่อยๆ เดินไปตามห้องหับซ้ายขวาจนเจอห้องที่ตนเองเคยนอน ห้องนั้นว่างเปล่ามีเพียงเตียงเก่าๆ และตู้เก่าผุพัง ไม่ใช่เตียงที่มีผ้าปูและหมอนดังที่เขาเคยเห็น ไม่ใช่ตู้เก็บเสื้อผ้าอย่างที่เขาเคยใส่
คีตะผงะก้าวถอยหลัง เขาเริ่มรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล สถานที่แห่งนี้คือที่ไหนกันแน่ เขาออกจากห้องนอน เดินมาจนเห็นซอด้วงโบราณตัวหนึ่งถูกวางไว้พิงไว้กับตั่งไม้โบราณที่อยู่กลางเรือน คีตะคุ้นตาเหมือนเห็นซอด้วงนี้จากที่ไหน เขาค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ คันซอนั้นมีร่องรอยเหมือนเคยหักมาก่อน ก่อนที่จะถูกติดเข้าไปใหม่
“ทำไมเหมือนเคยเห็น” คีตะพึมพำกับตนเอง เขาเอื้อมมือกำลังจะไปหยิบซอด้วง เสียงของสินก็ตะโกนเรียกชื่อเขาดังขึ้นมา คีตะรีบวิ่งลงจากเรือนการเวกทันที โดยที่เขายังไม่ทันจะปิดประตูใดๆ
คีตะรีบวิ่งพาตนเองมาที่ศาลาท่าน้ำ ศาลานั้นเก่าและทรุดโทรมไม่ต่างกัน ไม้ที่จะเหยียบขึ้นไปบนศาลาก็ลั่นจนเหมือนจะหักลงน้ำ เขาก้าวยาวๆ เพื่อขึ้นไปนั่งบนที่นั่ง จังหวะเดียวกับที่สินเดินมาพอดี
“หาคีร์ตั้งนาน นึกว่าหายไปไหน” สินทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มีอะไรเหรอ” คีตะเริ่มกลัว
“จะชวนไปกินข้าว”
“อือ ไปสิ” สินมองหน้าคีตะงงๆ รู้สึกว่าคีตะทำตัวแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ถาม สินเดินนำหน้าคีตะไปที่ตึกฝรั่ง คีตะอยากรู้ว่าสินเป็นคนหรือผี เขาใช้วิธีที่ดูมาจากหนัง ละคร และคนพูดต่อๆ กันมา เขาหยุดเดินแล้วมองลอดหว่างขาตนเอง สิ่งที่คีตะเห็นคือ ชายหนุ่มนุ่งโจงกระเบนสีน้ำตาลเสื้อขาดหลุดรุ่ย และที่สำคัญคือ การเดินของเขาคือการลอยตัวไปข้างหน้า คีตะยืนตัวตรงขึ้นกลับเห็นสินปกติมีขา เสื้อผ้าดูดีไม่เหมือนที่มองเมื่อสักครู่
“คีร์ทำอะไรอยู่รีบไปเร็ว หิวจะแย่แล้ว” สินหันกลับมายิ้มให้ คีตะหวาดกลัวขึ้นมาทันที เขาพยายามรวบรวมสติ เพราะก่อนหน้านี้สินเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับเขามาก
สินนำคีตะมาใกล้จะถึงตึกฝรั่ง สินเดินเข้าไปในตึกโดยลืมที่จะหันกลับมามองคีตะที่เดินตามมา คีตะมองตึกฝรั่งอย่างตกใจ เขาชะงักกึก ร่างกายของเขามีปฏิกิริยาทันที สมองสั่งการให้ขาหยุดเดิน แต่กลับสั่งการให้สายตาของเขามองภาพข้างหน้าอย่างชัดเจน ตึกฝรั่งที่งดงามสีเหลืองทองอร่าม บัดนี้มีเพียงแค่สีเทาหม่นๆ เสาตึกอาคารเป็นคราบตะไคร่น้ำที่หยดและขังอยู่เกือบทั่วบริเวณ ประตูไม้ที่เคยโอ่อ่าตอนนี้เหลือเพียงประตูเก่าๆ ที่กำลังจะหลุดจากวงกบประตู หน้าต่างเกือบทุกบานผุพัง มีเพียงบางส่วนที่ยังพอปิดได้ คีตะแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่เขากำลังเจอกับอะไร อะไรที่กำลังเล่นตลกกับชีวิตของเขา
ครูเที่ยง ครูนพ ครูสายพิณ สิน เจ้าคุณนรพงศ์ หรือแม้กระทั่งอิงอร ทุกคนเป็นใครกันแน่
“คีร์ เข้ามาเร็วทุกคนรอกินข้าวอยู่” สินชะโงกหน้าออกมาจากตัวตึก คีตะตัวสั่นก้าวขาไม่ออก ทำได้แค่เพียงพยักหน้ารับ พร้อมกับยกมือเป็นสัญญาณว่าได้ยินสินเรียก
โต๊ะอาหารสไตล์ฝรั่งถูกเรียงรายด้วยอาหารน่ารับประทาน เจ้าคุณนรพงศ์นั่งอยู่หัวโต๊ะ มีสินนั่งอยู่ข้างๆ ด้านหลังเจ้าคุณมีคนรับใช้ยืนคอยตักอาหารให้ มีบ่าวผู้หญิงคอยพัด คอยนวดให้ระหว่างรอรับประทานอาหาร คีตะเดินเข้ามามองไปที่โต๊ะอาหารเขาเห็นอาหารที่ถูกจัดวางอยู่ เป็นอาหารที่วางอยู่บนใบตอง ถูกจัดเรียงเป็นคำๆ บ้างก็เหมือนอยู่ในจานรวมที่มีอาหารหลายประเภทปะปนอยู่ มีขนมไทยถูกจัดใส่พาน คีตะนึกไปถึงเครื่องของเซ่นไหว้ดวงวิญญาณบรรพบุรุษที่บ้านเขาจัดไหว้อยู่เป็นประจำ
‘นี่เรากินของแบบนี้เข้าไปทุกวันเลยเหรอเนี่ย’ คีตะพึมพำในใจ ท้องไส้เขาปั่นป่วนเหมือนกำลังจะขย้อนบางสิ่งออกมา
“ผมยังไม่ค่อยหิวครับ ขอตัวขึ้นห้องก่อนดีกว่า” คีตะยกมือไหว้เจ้าคุณนรพงศ์ เขารีบก้าวขายาวๆ กลับขึ้นห้องไป เขาค่อยๆ เปิดประตูห้องตัวเอง ค่อยๆ แง้มดูเพราะตัวจะเจออะไรที่ตนเองจะรับไม่ได้อีก แต่ครั้งนี้กลับไม่มีทุกอย่างดูปกติดี ในใจของเขาคิดถึงพ่อกับแม่ คิดถึงพี่ณัฐ และสลิลทิพย์ขึ้นมาจับใจ
‘พี่ณัฐช่วยผมด้วย’ คีตะคิดถึงพี่ชายที่คอยช่วยเหลือเขาอยู่ตลอด
ในทางกลับกันคณณัฐสลบไปวิญญาณของเที่ยงหลุดออกจากร่าง พลังของเที่ยงอ่อนแอลงจนไม่สามารถควบคุมและบังสายตาของคีตะไว้ได้ทำให้เขาได้เห็นความจริงที่เที่ยงสร้างขึ้น เจ้าคุณนรพงศ์เองก็สัมผัสได้ว่าเขามีพลังมากกว่าแต่ก่อน เจ้าคุณนรพงศ์เล่นเปียโนบทเพลงคล้ายกับทำนองของซอด้วงที่คีตะได้ยิน ทันใดนั้นคีตะเห็นแสงสว่างคล้ายประตู เขารีบพุ่งตัวข้ามภพกลับมา คีตะไม่เคยดีใจที่ได้กลับบ้านเท่านี้มาก่อน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 16 : ความรักที่ซุกซ่อน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 15 : แรงอาฆาตหวนคืน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 14 : กลับบ้าน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 13 : ม่านบังตา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 12 : กงล้อแห่งกาลคำสาป
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 11 : จิตใต้สำนึก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น