
ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 14 : กลับบ้าน
โดย : สิรี กวีผล
ยามเสียงเพรียกหา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิรี กวีผล เรื่องราวความหลงใหลในเสียงดนตรีและความเข้าใจผิดจนกลายเป็นแรงอาฆาตแค้น บทเพลงรักจะกลายเป็นบทเพลงแค้น ทำนองรักจะกลายเป็นเศร้าเคล้าน้ำตาอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์ anowl.co
ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา นาฬิกาแสดงเวลา 10.45 น. คีตะรีบกลับไปที่รถยนต์ที่เขาจอดอยู่ เป้าหมายข้างหน้าคือบ้านสลิลทิพย์ บ้านเธอเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ ประตูหน้าบ้านถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา คีตะเดินเข้าบ้านตนเองก็ไม่ต่างกัน มีเพียงคนรับใช้ไม่กี่คนเดินออกมาต้อนรับ
“คุณหนูหายไปไหนมาคะ” ป้าแก้ว แม่นมของคีตะ คนรับใช้ที่อยู่กับบ้านเขามาตั้งแต่เขายังไม่เกิด
“มีธุระนิดหน่อยครับป้าแก้ว แล้วพ่อกับแม่แล้วก็พี่ณัฐล่ะ” คีตะมองไปรอบๆ บ้าน ดูเงียบผิดปกติ
“ทุกคนอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะคุณหนู คุณหนูรีบไปเถอะค่ะ” ป้าแก้วรีบจัดแจง เตรียมของใช้ให้คีตะอาบน้ำอาบท่าก่อนเพื่อให้รีบไปโรงพยาบาล คีตะรีบจัดการตัวเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งไปขับรถออกจากหน้าบ้านสลิลทิพย์
รถยนต์ของคีตะแทบจะเหาะมาจอดหน้าโรงพยาบาล เขารีบหาที่จอดรถแล้วรีบวิ่งเข้าไปในตัวโรงพยาบาล คีตะหยิบโทรศัพท์มือถือของตนเองจะโทร.หาคีตกานต์แต่มือถือดันแบตเตอรี่หมด ทำให้เขาไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เขามองเห็นประชาสัมพันธ์ก็รีบพุ่งตัวไปสอบถามทันที ระหว่างที่พนักงานสอบถาม คีตะก็เริ่มสงสัยว่าต้องบอกชื่อของใคร เนื่องจากเขาไม่รู้เลยว่าใครในครอบครัวของเขาเป็นผู้ป่วยกันแน่ สลิลทิพย์เดินซื้อกาแฟและขนมนมเนยต่างๆ ผ่านมาเห็นคีตะที่ประชาสัมพันธ์ก็เข้าไปหา
“หายไปไหนมาคีร์” คีตะหันมาหาสลิลทิพย์ทันที เขาโล่งอกที่อย่างน้อยก็เจอคนรู้จัก
“ผมติดธุระนิดหน่อย” คีตะโกหก เขายังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้เธอฟัง
“คิดว่าทิพย์จะเชื่อเหรอ” สลิลทิพย์โกรธคีตะมาก แต่เธอจำเป็นต้องแยกแยะเรื่องส่วนตัวไว้ก่อน “คีร์มาก็ดีแล้วทุกคนรออยู่” สลิลทิพย์เดินนำคีตะขึ้นไปยังห้องพักผู้ป่วย ทันทีที่เปิดประตูห้องสายตาคีตะก็เห็นคณณัฐนอนให้น้ำเกลือ คีตกานต์มีผ้าพันแผลที่หัว
“เกิดอะไรขึ้นครับ”
“หายหัวไปไหนมาเจ้าตัวดี” คณณัฐดุน้องชาย
“พี่อย่าเพิ่งถามผมเลย พี่ณัฐกับคุณแม่เป็นอะไร” คีตะมองหน้าทุกคนพยายามขอคำตอบ สลิลทิพย์เป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง คีตะแทบไม่เชื่อหูของตัวเอง เขาไม่คาดคิดว่าสุทธิภัทรจะอารมณ์ร้อนจนทำร้ายพ่อตนเองได้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่เด็ก
“เรื่องราวซับซ้อนกว่าที่ลูกเข้าใจ ปัญหาของพวกแม่ ให้พวกแม่จัดการเอง” คีตกานต์ไม่อยากให้ลูกๆ ของเขาต้องมารับรู้และแบกรับเรื่องราวในอดีตของพวกเธอ
“ให้พวกแม่จัดการเหรอครับ นี่น่ะเหรอครับที่จัดการได้ คุณพ่อนอนไอซียู คุณแม่หัวแตก พี่ณัฐสลบไปต้องให้น้ำเกลือ” คีตะโมโหมาก หันไปมองหน้าสลิลทิพย์ สายตาของเขาไม่เหมือนคีตะคนเดิมที่เคยอ่อนโยน แววตาของเขาเคียดแค้น สลิลทิพย์เห็นหน้าคีตะก็ไม่อยากสบตา เธอเดินออกจากห้องไป
“คีร์ใจเย็นๆ” คีตะขาดสติ เขาเริ่มพาลจนควบคุมตัวเองไม่ได้
“คีร์ลูก หนูทิพย์ไม่ได้ผิดอะไรกับเรื่องนี้เลย ลูกต้องใจเย็นๆ” คีตกานต์เข้ามาจับมือคีตะไว้แน่น เขามองหน้าคีตกานต์อย่างไม่เข้าใจว่าแม่เขาให้อภัยในสิ่งที่คุณลุงทำได้ยังไง
“คีร์อยู่นี่แหละ เดี๋ยวแม่ไปคุยกับหนูทิพย์ก่อน” หลังจากคีตกานต์ออกไป คีตะก็หันมาหาคณณัฐทันที
“พี่รู้เรื่องใช่ไหม” คณณัฐเล่าเรื่องราวของพ่อกับแม่และสุทธิภัทรให้คีตะฟัง ตามที่เขาเข้าใจและที่พ่อกับแม่เล่าให้ฟังทั้งหมด คีตะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ก็เริ่มเป็นห่วงแม่และสลิลทิพย์ขึ้นมาจับใจ
“ทีนี้จะใจเย็นลงได้หรือยัง สงสัยต้องง้อทิพย์อีกยาวแน่ๆ” คณณัฐหัวเราะ จับไหล่น้องชาย “แล้วนี่นายหายไปไหนมา อย่าคิดจะโกหกด้วย” คณณัฐมองเข้าไปในแววตาของน้องชาย เขารู้ว่าน้องชายมีเรื่องปิดบังอยู่
“ไว้ผมจะเล่าให้ฟัง” คีตะเดินออกจากห้องไปหาสลิลทิพย์ ทิ้งคณณัฐไว้ในห้องเพียงลำพัง เขาหันไปเห็นจี้พระที่วางอยู่ข้างหัวเตียง คณณัฐเริ่มสงสัยว่าตนเองเป็นอะไรไป ทำไมคล้ายกับคนโดนผีเข้า
สวนหย่อมบนตึกโรงพยาบาลเป็นสวนขนาดเล็กไว้ให้ผู้ป่วยและญาติได้ออกมาสูดอากาศภายนอก มานั่งพักผ่อนเปลี่ยนบรรยากาศ ต้นไม้สีเขียวทำให้ผู้คนใจเย็นและรู้สึกสงบ ม้านั่งทั้งหลายถูกจับจองไว้มีทั้งผู้ป่วยที่พยาบาลพาออกมาทำกายภาพ บ้างก็มีญาติมานั่งเฉยๆ ปล่อยความคิดให้ลอยไปข้างหน้า ม้านั่งหนึ่งถูกจับจองด้วยสลิลทิพย์และคีตกานต์ เธอร้องไห้และรู้สึกแย่ สลิลทิพย์ยังไม่สามารถปล่อยวางความคิดเหล่านี้ได้ คีตกานต์ได้แต่นั่งเป็นกำลังใจให้ข้างๆ คีตะเดินเข้ามาหา สลิลทิพย์เบี่ยงตัวหนีไม่มองหน้า คีตกานต์มองหน้าลูกชาย คีตะยกมือไหว้แม่เป็นเชิงขอคุยกับสลิลทิพย์ตามลำพัง คีตกานต์ลุกเดินกลับไปที่ห้อง
“ทิพย์ คีร์รู้เรื่องทั้งหมดแล้วนะ” สลิลทิพย์ยังเงียบ ไม่มองหน้าคีตะ
“คีร์รู้ว่าทิพย์ต้องเจอกับอะไรบ้าง คีร์ขอโทษที่อารมณ์ร้อน ใจร้อน ทิพย์หายโกรธคีร์นะคะ” คีตะจับมือสลิลทิพย์ เธอแกะมือคีตะออก
“เวลาที่ทิพย์ต้องการคีร์ คีร์หายไปไหนมา ไหนคีร์เคยบอกจะอยู่ข้างๆ ทิพย์” สลิลทิพย์พรั่งพรูความรู้สึกออกมา เธอแทบจะไม่มีน้ำตาสักหยด คีตะรู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ เขาไม่มีคำพูดอะไรมาแก้ตัวได้แต่ยอมรับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป
“ทิพย์รู้ว่าครอบครัวทิพย์ทำผิดกับครอบครัวคีร์ ทิพย์ก็พยายามแก้ไข แค่นี้ทิพย์ก็ไม่อยากมองหน้าครอบครัวคีร์อีกแล้ว ไม่อยากเห็นหน้าใคร ทิพย์สู้หน้าครอบครัวคีร์ไม่ติดแล้ว” น้ำตาที่กักไว้ก่อนหน้านี้พรั่งพรูออกมา สลิลทิพย์ร้องไห้อย่างหนัก ความรู้สึกที่จัดการไม่ได้ทั้งหลายประดังประเดเข้ามาหาเธอ คีตะกอดสลิลทิพย์ไว้
“คีร์จะไม่หายไปจากทิพย์อีก ทิพย์อย่าโทษตัวเองเลยนะ คีร์ผิดเอง คีร์ขอโทษนะ” คีตะน้ำตาซึม เขาทำให้คนที่เขารักที่สุดร้องไห้ สิ่งเดียวที่คีตะไม่อยากทำให้เกิดขึ้น คือการทำให้สลิลทิพย์เสียใจ แต่บัดนี้เขากลับทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ทำลงไปโดยไม่ฟังเรื่องราวใดๆ ที่เกิดขึ้น
“คีร์ขอโทษนะทิพย์” คีตะพูดข้างหูสลิลทิพย์
“ช่วงนี้เราอย่าเพิ่งเจอหน้ากันเลยนะ” สลิลทิพย์เช็ดน้ำตาตนเอง ดันตัวคีตะออกจากตนเองเบาๆ มองหน้าคีตะอย่างหนักแน่น
“ไม่เอาสิทิพย์ คีร์เป็นห่วงทิพย์นะ”
“ทิพย์ขออยู่คนเดียว ไว้ทิพย์พร้อมเราค่อยคุยกัน” สลิลทิพย์ลุกเดินออกไปทันที เธอกลับเข้าไปในห้องผู้ป่วย ร่ำลาคีตกานต์และคณณัฐ ก่อนจะขอตัวกลับบ้าน หลังจากเธอออกไปคีตะก็กลับเข้ามาที่ห้อง คีตกานต์และคณณัฐรู้ทันทีว่าทั้งสองคนทะเลาะกัน ทั้งสามไม่มีใครพูดกันมีแต่ความเงียบอยู่ภายในห้อง ทว่าความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงเคาะประตู หมอ พยาบาลเดินเข้ามาอีกครั้ง
“คุณคณินทร์ฟื้นแล้วนะครับ ตอนนี้เรากำลังย้ายผู้ป่วยไปที่ห้องพัก” หมอยิ้มแย้มแจ่มใส ทุกคนต่างโล่งใจ “เดี๋ยวผมให้พยาบาลถอดสายน้ำเกลือให้คุณคณณัฐนะครับ ทั้งสองท่านไม่มีอาการน่าเป็นห่วงกลับบ้านได้ครับ” คณณัฐดีใจ เขาเบื่อกับสายน้ำเกลือนี้เต็มที คีตกานต์อยากไปเยี่ยมสามีเร็วๆ
ประตูห้องพักผู้ป่วยถูกเปิดออก ชายวัยกลางคนนอนนิ่งอยู่บนเตียง ร่างกายคณินทร์ดูโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด สายน้ำเกลือ สายวัดชีพจรติดอยู่เต็มตัวเขาไปหมด คณินทร์ลืมตาตื่นขึ้นมามองเห็นคีตกานต์ คณณัฐ คีตะ เขาร้องลั่นเหมือนคนหวาดกลัวอะไรสักอย่าง ชี้ไปที่คณณัฐแล้วพูด “ออกไป”
คณณัฐตกใจ เข้าไปจับมือพ่อ คณินทร์ปัดมือทิ้งอย่างรวดเร็ว “อย่ามาจับตัวฉัน ฉันกลัวแล้ว ออกไป” คณินทร์เสียงดังตกใจ จนคณณัฐจำใจต้องออกจากห้องไป คีตกานต์ คีตะต่างเข้ามาจับตัวคณินทร์ไว้
“คุณคะเป็นอะไร นั่นลูกเรานะคะ”
“ไม่ใช่ มันคือปีศาจ จ้องทำลายครอบครัวเรา” คณินทร์หวาดกลัว ปากสั่นพูดไปกลัวไป
“พ่อครับ พี่ณัฐเองนะครับ” คีตะพยายามเข้ามาหาพ่อ
“คุณปู่นพ สวัสดีครับ” คณินทร์ยกมือไหว้คีตะ คีตะงงเป็นไก่ตาแตก คีตกานต์ยิ่งไม่เข้าใจ
“พ่อครับ ผมคีตะเอง”
“เจ้าคีร์ไม่อยู่ คุณปู่มาเยี่ยมผมได้ยังไง”
คีตกานต์ทนไม่ไหวจนต้องกดเรียกพยาบาล คีตะสับสน ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่เขาไม่รู้ว่าครูนพกับปู่นพคือคนเดียวกัน พยาบาลรีบเข้ามาหาคนไข้
“คนไข้เพ้ออะไรไม่รู้ค่ะ คุณพยาบาล เมื่อกี้ก็ดูหวาดกลัว” พยาบาลปรับสายน้ำเกลือ ดูมอนิเตอร์หัวใจ
“คนไข้มีอาการข้างเคียงจากสมองที่ได้รับความกระทบกระเทือน อาจต้องให้เวลาคนไข้ฟื้นตัวอีกสักระยะค่ะ อาการโดยรวมปกติดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่ะ เดี๋ยวดิฉันไปเอายามาให้คนไข้ทานสักพักอาการน่าจะเริ่มคงที่ขึ้นค่ะ” พยาบาลพูดจบก็ออกจากห้องไป คณินทร์ตาลอยๆ มองไปข้างนอกหน้าต่าง มือของเขาทำท่าเหมือนกำลังพยายามเล่นเครื่องดนตรีอะไรสักอย่าง คีตกานต์น้ำตาไหลเป็นห่วงสามี คีตะกอดปลอบแม่ ทั้งสองคนออกมาหาคณณัฐที่หน้าห้องหลังจากคณินทร์หลับไป
“กลับบ้านกันเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาทุกคน” คีตะพูดขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด เขาเริ่มทนไม่ไหวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวของเขาและครอบครัว การเก็บทุกอย่างไว้คนเดียวอาจจะแย่กว่า เขาตัดสินใจจะเล่าทุกอย่างให้ครอบครัวเขาฟังเพื่อที่จะช่วยกันหาทางออกให้กับเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นนี้
ห้องรับแขกบ้านคณินทร์จัดตกแต่งไว้สวยงาม มีแชนเดอเลียร์อยู่กลางห้อง โซฟาขนาดใหญ่เรียงเป็นวงกลม มีเก้าอี้เข้าชุดกันอยู่ข้างๆ มีโต๊ะกระจกตรงกลางห้องไว้ให้วางของ ทีวีขนาดใหญ่แขวนอยู่ที่ผนัง แจกันทรงโบราณถูกจัดตกแต่งประดับไว้เข้ากับห้อง ที่ขาดไม่ได้คือ เครื่องดนตรี แผ่นเสียง วิทยุ เครื่องเล่นต่างๆ ถูกจัดตกแต่งอย่างเป็นระเบียบ ทั้งสามคนเข้ามานั่งพัก ต่างคนต่างถอนหายใจกันอย่างเคร่งเครียด คีตกานต์ คณณัฐมองหน้าคีตะ อยากรู้ว่าเขาจะปรึกษาเรื่องอะไร
“ผมมีเรื่องอยากจะเล่าให้แม่กับพี่ณัฐฟัง”
“ว่ามา ไม่มีอะไรที่จะรับไม่ได้อีกแล้ว” คณณัฐรอฟังอย่างตั้งใจ
“ผมสามารถเดินทางไปอดีตในยุคสมัยรัชกาลที่หกได้” คีตกานต์ที่ตั้งใจฟังอยู่ก็ขมวดคิ้ว คณณัฐหันมองหน้าแม่อย่างอดยิ้มมุมปากไม่ได้ เขาหัวเราะอย่างไม่เชื่อน้องชายตัวเอง
“จะมาเล่าความฝันอะไรตอนนี้”
“นั่นสิลูก ไหนว่าเรื่องซีเรียส”
“โถ่ แม่ครับ พี่ณัฐ ผมพูดจริงๆ นะ ผมพิสูจน์ให้ดู” คีตกานต์ คณณัฐอยากรู้ว่าคีตะจะทำยังไง
คีตะหยิบกระดาษกับดินสอขึ้นมา พร้อมกับลงมือวาดรูปเรือนการเวกเพื่อให้ทั้งสองคนเห็นภาพ รวมทั้งสเกตช์ภาพใบหน้าของเที่ยง นพ สายพิณ สิน เจ้าคุณนรพงศ์ให้ทุกคนดู คีตะมีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพอยู่บ้างแต่ไม่ถึงกับดี แต่ก็ไม่เลวร้าย เขาอธิบายการเดินทางข้ามภพของเขาด้วยการได้ยินเสียงซอด้วง และเขาได้เข้าไปพบกับครูเที่ยงที่เป็นคนสอนซอด้วงให้เขา
คีตกานต์และคณณัฐมองหน้ากันด้วยความไม่น่าเชื่อ แต่ก็ฟังมีน้ำหนัก เพราะคีตะไม่เคยเล่นซอด้วงได้เลย
“จริงๆ ผมข้ามภพไปได้ตั้งแต่เด็กๆ แล้วครับแม่ แต่จู่ๆ เสียงซอด้วงช่วงหนึ่งก็หายไป”
“ทำไมลูกถึงไม่เคยบอกพ่อกับแม่ เรื่องนี้มันเริ่มไม่น่าไว้ใจแล้วนะ ถ้าวันหนึ่งลูกกลับมาไม่ได้จะทำยังไง” คีตกานต์เริ่มเป็นห่วง
“นั่นละครับที่ผมอยากจะปรึกษาพี่ณัฐกับคุณแม่”
“พี่คุ้นรูปใบนี้จัง” คณณัฐหยิบรูปเที่ยงขึ้นมาดู แววตาของเขาเหมือนเคยเห็นที่ไหนแวบๆ
“จริงเหรอพี่ณัฐ พี่เคยเห็นที่ไหน” คีตะคะยั้นคะยอพี่ชาย
“พี่จำไม่ได้”
“ไม่เป็นไร ผมเล่าต่อก่อน คือมันเริ่มแปลกๆ หลังจากที่แม่ของทิพย์เสียครับ การข้ามภพของผมเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ จนผมไม่สามารถตั้งตัวได้”
“ที่นายหายไปเมื่อคืน” คีตะพยักหน้า
“อย่างเมื่อคืนแรกที่พี่ณัฐเข้าโรงพยาบาล ผมนอนที่โซฟาตื่นมาอีกทีก็อยู่ในภพนั้นแล้ว ตอนกลับมาได้เหมือนถูกอะไรดูดกลับมาแรงๆ และที่สำคัญ เมื่อคืนผมไปตื่นอยู่ที่ตึกฝรั่งข้างๆ เรือนการเวกที่ผมไปมาตลอด ผมไปนอนสลบอยู่ที่บันไดตึกจนหัวแตก” คีตะเปิดผมให้ดูเห็นเป็นรอยถลอก คีตกานต์เอามือกุมลูกชายทั้งสองไว้
“พอตื่นเช้ามาผมเห็นเรือนการเวกแปลกๆ ผมก็เดินไปดู เรือนนั้นไม่เหมือนเดิม กลายเป็นเรือนไม้โบราณดูรกร้าง ทรุดโทรม เหมือนไม่มีคนอยู่มาเป็นสิบๆ ปี ส่วนตึกฝรั่งที่ผมอยู่จากที่ผมเคยเห็นว่าใหญ่โตสวยงามก็คล้ายตึกร้าง ที่สำคัญเพื่อนผมที่สนิทมาตลอดไม่ใช่คน อาหารที่ผมกินที่นั่นทุกมื้อเป็นเหมือนอาหารไหว้บรรพบุรุษ”
“คุณพระ” คีตกานต์เอามือทาบอก
“ใช่แน่ๆ” คณณัฐโผล่งพูดออกมาเสียงดัง คีตะ คีตกานต์ตกใจ “แม่ครับ ที่ผมจำอะไรไม่ได้มาวันสองวันนี้ ตรงกับที่น้องหายไปพอดี อย่างเมื่อวานพี่จำได้ว่าพี่ไปจุดธูปหน้าวัดเพื่อขอให้แม่ของทิพย์เข้ามาได้ หลังจากนั้นพี่ก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย รู้ตัวอีกทีก็อยู่โรงพยาบาล ใช่! ตอนที่แม่เอาจี้พระนี่ให้ผม” คณณัฐหยิบพระขึ้นมาจากกระเป๋า คีตกานต์แทบไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น คีตะอยากรู้ว่าเกี่ยวข้องกันยังไง
“ที่พี่บอกว่าผู้ชายในรูปหน้าคุ้นๆ เพราะพี่เห็นเขาแวบเดียวก่อนเขาจะหายไป”
“แสดงว่าที่ผมไปอยู่ที่ภพนั้นเพราะคนนี้ต้องการให้ผมไปเหรอ” คีตะไม่ปักใจเชื่อ “พี่ณัฐจำคนผิดหรือเปล่า อาจจะเป็นคนนี้ก็ได้” คีตะหยิบรูปนพให้คณณัฐดู เขาดูแล้วขมวดคิ้ว
“พี่ก็ไม่แน่ใจ”
“แม่ว่าคนนี้หน้าคุ้นมาก” คีตกานต์หยิบรูปนพขึ้นมาดู “เหมือนพ่อเราจะมีรูปคนนี้เก็บไว้ในอัลบั้มเก่าๆ ถ้าแม่จำไม่ผิด” คีตกานต์ครุ่นคิดเหมือนเธอเคยเห็นที่ไหน “แต่คนนี้เหมือนหนูทิพย์มากเลยนะลูก”
“จริงครับแม่ แต่แม่เคยเห็นคนนี้จริงๆ เหรอครับ” คีตะอยากรู้
“แม่ว่าใช่ ไว้แม่จะลองไปค้นดูในห้องเก็บของเก่าๆ” คีตะร้อนใจอยากจะไปค้นเสียตอนนี้ คณณัฐกับคีตกานต์ห้ามไว้ ขอให้เขากลับไปพักผ่อน และเตือนว่าถ้าได้ยินเสียงดนตรีอีกให้รีบมาบอกอย่าหายไปคนเดียวอีก คีตะรับทราบ เขาเหมือนยกภูเขาออกจากอก ครอบครัวคือที่ปรึกษาที่ดีที่สุดในชีวิตของเขามาตลอดไม่ว่าจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้าย แม้แต่พ่อที่ไม่เคยสนใจ แต่คีตะก็รับรู้ได้ว่าพ่อคอยช่วยเหลือเขาอยู่ห่างๆ ตลอดเวลา
คณณัฐกลับเข้าห้องของตัวเองพลางครุ่นคิดถึงเรื่องที่คีตะเล่า และพยายามนึกสิ่งที่ตนเองจำไม่ได้ เขารู้แค่ว่าเมื่อไหร่ที่เขาคิดถึงสลิลทิพย์ หลังจากนั้นเขาจะจำอะไรไม่ได้อีกเลย คณณัฐเริ่มกลัวว่าเขาจะไปทำอะไรให้สลิลทิพย์ลำบากใจ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 16 : ความรักที่ซุกซ่อน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 15 : แรงอาฆาตหวนคืน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 14 : กลับบ้าน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 13 : ม่านบังตา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 12 : กงล้อแห่งกาลคำสาป
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 11 : จิตใต้สำนึก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 10 : บทเพลงท่อนสุดท้าย
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 9 : ร้องบรรเลงเพลงประสาน
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 8 : ตัวโน้ตที่เปลี่ยนแปลง
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 7 : ความลับต่างภพ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 6 : เรือนการเวก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 5 : เรื่องเร้นที่ซ่อนลับ
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 4 : บทเพลงแห่งรัก
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 3 : อัฏฐกรเมธา
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 2 : เสียงเพรียกจากอดีต
- READ ยามเสียงเพรียกหา บทที่ 1 : ซอสะอื้น