พระเอกในใจตัวร้ายในจอ บทที่ 2 : เจตน์ เทพเทวา

โดย : เด็กหญิงเจ้าสำราญ

Loading

พระเอกในใจตัวร้ายในจอ นวนิยายออนไลน์โดย เด็กหญิงเจ้าสำราญ จาก อ่านเอา เรื่องราวของดาวร้ายตัวพ่อวัย 82 แห่งวงการบันเทิงที่มีครอบครัวแสนอบอุ่น แต่ก้นบึ้งของหัวใจปรารถนาจะได้รับการให้อภัยจากเพื่อนรัก และเขาก็ได้โอกาสแก้ตัวให้กลับไปในปี พ.ศ.2512 แต่เป้าหมายไม่ใช่แค่เรื่องเพื่อนแต่ยังมีหญิงสาวที่เขาต้องคว้าเธอมาแนบใจให้ได้

บริเวณชายป่าท้ายหมู่บ้านท่าสิงขร ที่โอบล้อมไปด้วยเทือกเขาสูงแตะปลายเมฆที่ทอดตัวลดหลั่นเป็นแนวยาว ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางเดินเท้าเล็กๆ เด็กชายหญิงวัย 8-9 ขวบ กลุ่มหนึ่งกำลังสนุกสนานกับการร้องตะโกนและแหงนคอชี้บอกตำแหน่งของผลลูกหว้าสีดำขลับที่แผ่ขยายอยู่ตามกิ่งก้าน ให้กับคนที่ปีนป่ายอยู่บนต้นไม้และเด็ดโยนลงมาให้คนที่อยู่ด้านล่างคอยรับ

“พี่เจตน์เอาช่อนั้นด้วย…ขวามือบนหัวพี่”

“ช่อนี้ด้วยนะพี่เจตน์”

“ช่อนี้ด้วย” เสียงเจื้อยแจ้วร้องบอกคนด้านบนด้วยความกระตือรือร้น

“เจตน์เว้ย…เจตน์…ไปเล่นน้ำ ตกปลาในลำธารกัน” เด็กหนุ่มวัย 17 มือถือคันเบ็ดเล็กๆ ที่ทำจากไม้ไผ่อีกมือหิ้วกระป๋องเก่าเป็นสนิม เดินเข้ามาร้องตะโกนชวนคนที่อยู่บนต้นไม้

“พี่เจตน์…เขาไม่ว่างไปกับพี่ธงหรอก พี่ธงไปคนเดียวเลย” เด็กชายร่างป้อม ซึ่งเป็นหัวโจกของกลุ่มรีบหันมาพูดกับธงรบ ด้วยท่าทางเอาเรื่อง

“ใช่…พี่ธงชอบชวนพี่เจตน์ไปทำแต่เรื่องเกเร บัวจะฟ้องป้างาม” เด็กหญิงผมม้าใกล้ๆ กันเอ่ยชื่อแม่ของธงรบเพื่อให้อีกฝ่ายกลัว

ส่วนเข้ม เด็กชายท่าทางไม่ยอมใครก็รีบทำหน้าที่เป็นลูกขุนพลอยพยักด้วยการขุดวีรกรรมของธงรบมาขู่ “ใช่ๆ รอบที่แล้วพี่เจตน์ไปกับพี่ธง พี่เจตน์ปากแตกหัวแตกกลับมาเลือดไหลจะหมดตัว” คำบอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกินจริงทำให้ธงรบอดหมั่นไส้ไม่ได้ เพราะครั้งนั้นมันเป็นความผิดพลาดของเขาเองที่ดันเอาจดหมายรักฝากสมรเพื่อนชั้นเรียนเดียวกันไปให้แก้วลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน แต่สมรกลับเอาจดหมายของเขาฝากให้กล้าผู้เป็นพี่ชายที่หวงน้องสาวยิ่งกว่าจงอางหวงไข่ กล้าเลยเปิดอ่านและเขียนจดหมายนัดให้เขามาเจอเพื่อจะได้พูดคุยทำความรู้จักกัน โดยนัดหมายที่ธารน้ำตกท้ายหมู่บ้าน เขาก็หลงดีใจคิดว่าแก้วมีใจให้จนทำอะไรไม่ถูก เลยชวนเจตน์ไปเป็นเพื่อน แต่วันนัดกล้ากลับพาเพื่อนมา 2 คน และสั่งให้เขาเลิกยุ่งกับแก้ว ด้วยความปากดีของตัวเองที่บอกกล้าไปว่ามันเป็นเรื่องระหว่างเขากับแก้วคนอื่นไม่เกี่ยว เขาเลยโดนทั้งหมัดทั้งเข่าจากกล้าและเพื่อน โชคดีที่มีเจตน์ไปด้วย ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนรุม แต่กระนั้นเจตน์ก็ถึงขั้นปากแตกและหัวแตกเพราะโดนเพื่อนของกล้าผลักล้มจนหัวไปกระแทกกับโขดหินในลำธาร

“เข้มจำได้ ป้าดาด่าพี่จนคนเขารู้กันทั้งหมู่บ้าน…ไปกับไอ้ธงทีไรไม่เจ็บตัวกลับมาก็มีแต่เรื่อง…” ท้ายประโยคเด็กชายตัวน้อยแอบทำเสียงเลียนแบบแม่ของเจตน์ ที่ด่าลูกชายตนเองแต่ดังให้เพื่อนบ้านได้ยินไปสามบ้านแปดบ้าน

“น้อยๆ หน่อย เข้ม”

“แล้วก็…รอบก่อนโน้นน…พี่ธงชวนพี่เจตน์หนีไปแลหนังลุงในอำเภอ พ่อกับแม่พี่ต้องปลุกคนทั้งหมู่บ้านมาส่องไฟช่วยกันหา…แล้วแม่พี่ก็ใช้คำว่าอะไรน้า…อ๋อ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวว่าคนเขาเป็นห่วง” เมื่อเห็นธงรบกอดอกมองมาเหมือนจะเอาเรื่อง เด็กชายตัวน้อยก็ยิ่งได้ทีแจกแจงวีรกรรมของอีกฝ่าย “ แล้วก็…รอบก่อนโน้นน…ที่หนีไปดูหนังกลางแปลง หรือไปแอบดูสาวกันก็ไม่รู้ กลับมาพี่เจตน์โดนไม้เรียวป้าดาจนน่องลาย แล้วก็…อะไรอีกน้า…”

“นี่เอ็งเป็นตำรวจหรือไงเข้ม จำเรื่องพี่ละเอียดซะขนาดนี้”

“ก็อยากเป็นนะ โตไปเข้มจะจับพี่ธงคนแรกเลย…” เข้มยักคิ้วลิ่วตาล้อเลียนธงรบพร้อมยกนิ้วชี้และนิ้วโป้งขึ้นทำท่ายิงปืนใส่ธงรบ “มือปราบเข้มผู้พิฆาตเสือธงแห่งบ้านนาคีรี ปิ้ว ปิ้ว ปิ้ว”

ธงรบสะบัดไหล่ข้างหนึ่งไปด้านหลัง เหมือนโดนกระสุนของเข้มยิงเข้ามาพร้อมแกล้งร้องโอดโอยและงอตัวลงทำท่าเจ็บปวด “โอย…กลัวแล้ว…”

“ทำไมพี่เจตน์ยังเป็นเพื่อนพี่ธงอีกล่ะ…พี่เจตน์มาเป็นเพื่อนด้วงไหม ด้วงให้เป็นหัวหน้าเลย คบกับด้วงไม่มีเรื่องให้ปวดหัวแบบพี่ธงนะ” เด็กชายร่างป้อมหัวโจกของกลุ่มหันไปถามเจตน์ที่เพิ่งปีนต้นไม้ลงมา

ธงรบรีบลุกขึ้นแล้วหันมาชี้หน้าเอาเรื่องกับด้วงน้ำเสียงจริงจัง

“อ้าว ไอ้ด้วง…เอ็งพาเพื่อนไปเล่นทื่อื่นเลย หมดเวลาเล่นของเด็กๆ แล้ว”

“ถ้าพี่ธงรังแกด้วง รังแกเข้ม บัวจะฟ้องป้างาม” เด็กหญิงผมม้ารีบเอ่ยชื่อแม่ของธงรบอีกครั้ง จนธงรบต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

“แล้ววันนี้พี่เจตน์รับปากแล้วว่าจะเก็บลูกหว้าให้…พี่ธงค่อยมาชวนพี่เจตน์ใหม่วันหลัง”

ธงรบเหลือบดูลูกหว้าในตะกร้าไม้ไผ่เล็กๆ ในมือของบัวเด็กผู้หญิงคนเดียวที่พยายามช่วยเพื่อนเถียงเขา

“ก็ได้เยอะแล้วนั่นไง…กินไรเยอะแยะ”

“เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาเก็บให้ใหม่นะ กินเยอะเดี๋ยวกินข้าวไม่ได้ จะโดนดุเอา” เจตน์บอกเด็กๆ ด้วยน้ำเสียงประนีประนอม

“พี่เจตน์จะทิ้งบัวไปกับพี่ธงเหรอ” เจตน์เอื้อมมือไปลูกหัวบัวเบาๆ เมื่อได้ยินน้ำเสียงเศร้าสร้อย ก่อนปลอบ ขณะที่ธงรบกลับทำสีหน้าล้อเลียนเด็กๆ ที่สุดท้ายเจตน์ก็เลือกไปกับเขา

“เดี๋ยวขากลับ พี่กับพี่ธงจะไปเก็บลูกยางเอาไปทำลูกหวือให้เล่นกันนะ” เจตน์หมายถึงของเล่นที่เหมือนกังหันขนาดเล็ก และใช้มือดึงชักรอกให้ใบพัดหมุนส่งเสียงหวือๆ ซึ่งทำจากลูกยางพาราแก่ เอามาเจาะรูให้ทะลุด้านบน ด้านล่าง และด้านข้าง แล้วเอาเชือกด้ายทำเป็นบ่วงพันกับแกนไม้ไผ่ จากนั้นก็สอดเข้าไปทางรูที่เจาะไว้เอามาไม้ที่เหลาไว้เป็นแผ่นบางๆ ยาวๆ ให้เหมือนใบพัด หรือใช้ไม้ไอติมมาประกอบติดกับไม้ไผ่ เมื่อจะเล่นก็หมุนแกนให้เชือกด้ายม้วนเข้าไปให้อยู่ในลูกยางจนเกือบสุด เวลาเล่นก็เพียงแค่ออกแรงดึง และผ่อนปลายเชือกให้แกนไม้ไผ่หมุนไปหมุนมาตามแรงดึง

“หา! ข้าต้องไปเก็บลูกยางกับเอ็งให้เด็กพวกนี้ด้วยเหรอ” ธงรบทำเสียงตกใจเมื่อรู้ว่าเขาต้องมานั่งทำของเล่นให้พวกเด็กแสบตรงหน้า

“หรือเอ็งจะไปคนเดียว”

“ก็ได้ๆ เอ็งนี่มันเทพบุตรชัดๆ”  ธงรบประชดเพื่อนอย่างไม่สบอารมณ์ในขณะที่เด็กๆ ได้ทีก็แอบแลบลิ้นใส่ธงรบกันโดยพร้อมเพรียงเหมือนได้รับชัยชนะ จนธงรบชี้หน้าคาดโทษเด็กๆ ที่ซ่อนนัยความหมายว่า ‘ฝากไว้ก่อน’

 

นอกจากจะมีหน้าตาดีเป็นอาวุธแล้ว ความสุภาพและความโอบอ้อมอารีมีน้ำใจของเจตน์ ยังเป็นเรื่องที่ผู้คนในหมู่บ้านต่างชื่นชมพ่อกับแม่ของเจตน์อยู่เสมอๆ ที่เลี้ยงลูกได้ดี เพราะแม้จะมีฐานะ มีสวนผลไม้ มีที่นาให้เช่าและทำกินเองนับร้อยไร่ แต่เจตน์กลับไม่ใช่คนเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ว่าใครขอให้ช่วยอะไร หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงเจตน์ก็พร้อมช่วยเหลือโดยไม่เคยปฏิเสธ ทั้งงานราษฎร์ งานหลวง หรืองานบุญ จนธงรบไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเด็กๆ และผู้ใหญ่ในหมู่บ้านต่างก็รักและเอ็นดูเจตน์ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกโชคดีที่มีเจตน์เป็นเพื่อนรักเพื่อนตายคนหนึ่งในชีวิต เพราะเวลามีเรื่องหรือปัญหาอะไรเจตน์จะอยู่ข้างเขาเสมอ ยิ่งครั้งล่าสุดที่ไปมีเรื่องต่อยตีกันจนเลือดตกยางออก แม้ตัวเองจะเจ็บ แถมกลับบ้านมายังถูกดุและถูกตีซ้ำ เจตน์ก็ไม่เคยกล่าวโทษว่าเหตุทั้งหมดมันเกิดจากเขา ธงรบก็ยิ่งซาบซึ้งในความมีน้ำใจของเพื่อน  จะว่าไปการมีเจตน์เป็นเพื่อนบางทีมันก็เหมือนเป็นการฝึกให้เขาเป็นคนดีไปโดยไม่รู้ตัว แบบที่แม่ชอบบ่นบ่อยๆ ว่าให้ตั้งใจเรียนเอาเยี่ยงเอาอย่างเจตน์มาบ้าง เพราะบางงานที่เจตน์ได้รับการไหว้วานมา เช่น ล้างคอกหม ไปช่วยล้างจาน เสิร์ฟข้าวน้ำในงานบุญงานบวชของชาวบ้านในหมู่บ้าน แม้เขาจะไม่อยากทำแต่ก็ต้องช่วยเจตน์ทำ เพราะขืนให้เจตน์ทำคนเดียว กว่าจะเสร็จเขาคงต้องเสียเวลามานั่งรอเจตน์อยู่เป็นครึ่งค่อนวันกว่าจะได้ไปวิ่งเล่นกัน

 

สำหรับเจตน์ภายนอกธงรบอาจจะดูเป็นคนใจร้อน เป็นพวกชอบใช้กำลัง หากแต่ลึกๆ เจตน์รู้ดีกว่าธงรบนั้นเป็นคนที่คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ อะไรที่ไม่ถูกต้องเขาก็พร้อมจะออกโรงปกป้อง หากย้อนกลับไปความสนิทสนมของพวกเขาคงเริ่มตั้งแต่ตอนเรียนประถม 4 ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยช่วยรุ่นน้องที่โดนรังแกในโรงเรียน จนทำให้ฝ่ายที่รังแกไม่พอใจและดักทำร้ายเขาหลังเลิกเรียน จนมีคนมาเห็นและรีบวิ่งไปบอกคุณครู ระหว่างนั้นธงรบที่กำลังจะเดินกลับบ้านเห็นเด็ก 4-5 คนที่กำลังรุมเขาคนเดียว ก็รีบหยิบท่อนไม้เล็ก ขนาดเหมาะมือมาช่วยไล่ตี เมื่อคุณครูมาถึงภาพที่เห็นคือเด็กๆ 4-5 คนล้มลงอยู่ที่พื้น มีธงรบยืนค้ำหัวพร้อมท่อนไม้เล็กที่เป็นอาวุธในมือ เด็กๆ กลุ่มนั้นเลยฟ้องคุณครูว่าโดนธงรบทำร้าย ซึ่งธงรบก็ไม่เถียงแถมยังยอมโดนทำโทษ จนเขาแปลกใจ เมื่อเขาถามธงรบก็ตอบแค่เพียงว่าอย่างน้อยเราทั้งหมดก็โดนทำไม้เรียวเท่าๆ กัน แถมฝั่งนั้นยังเจ็บกว่าเราสองคนเยอะ เรื่องแค่นี้สบายมาก และข้อดีของเหตุการณ์นั้นที่เจตน์รู้สึกได้ก็คือไม่มีใครกล้ามามีเรื่องกับเขาและธงรบอีกเลย

ครั้งหนึ่งตอนที่เขาบ่นกับธงรบว่าไก่ชนเพื่อนบ้านมันส่งเสียงดังร้องจนเขาไม่มีสมาธิอ่านหนังสือ ธงรบถึงขั้นเอาประทัดมาจุดใส่สุ่มไก่ จนเจ้าของไก่มาเอาเรื่องพ่อกับแม่ของทั้งคู่ถึงบ้าน ธงรบและเขาถึงกับร้องเสียงหลงยิ่งกว่าไก่เพราะโดนไม้เรียวกันจนน่องลาย และคดีนั้นก็ทำให้ธงรบกลายเป็นคนที่ใครๆ ต่างก็จดจำเขาในฐานะตัวแสบ ที่ขยันก่อเรื่องมากกว่าขยันเรียน ชาวบ้านก็หาว่าธงรบชอบชวนเขาเหลวไหลทั้งๆ ที่บางเรื่องเขาเองเป็นคนเริ่ม แต่ไม่ว่าจะแก้ตัวยังไงก็ไม่มีใครฟังเขาสักคน จนเขาเคยรู้สึกแย่ที่ทำให้ธงรบถูกมองไม่ดี แต่เจตน์ก็ไม่เคยเห็นธงรบอนาทรร้อนใจ หรือสนใจคำพูดของคนอื่น ตรงข้ามธงรบกลับมีความสุขกับการใช้ชีวิตของตัวเอง และยังบอกให้เขาไม่ต้องสนใจคนอื่น จะดีหรือไม่ดีเราสองคนก็รู้อยู่แก่ใจก็พอ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกชื่นชอบในนิสัยใจคอของธงรบ การได้คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันในหลายๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งคู่สาบานต่อกันว่าจะเป็นเพื่อนเป็นพี่น้องที่คอยช่วยเหลือ และไม่ทิ้งกันอย่างนี้ไปตลอดชีวิต

“เอ็งคิดไว้หรือยังวะธงว่าจบมอศอห้าปีนี้ จะไปเรียนอะไรต่อ” เจตน์เอ่ยถามธงรบขณะที่ทั้งคู่เดินตามหลังกันไปตามแนวลำธารเพื่อหาที่เหมาะๆ ในการวางเบ็ด

“ข้าอยากรับราชการ จะได้เป็นเจ้าคนนายคนเหมือนที่พ่อกับแม่ข้าชอบพูด” ธงรบวางกระป๋องที่ใส่ไส้เดือนและเบ็ดตกปลาที่ทำจากไม้ไผ่ง่ายๆ ไว้ข้างตัวก่อนนั่งลง พร้อมพูดต่อ

“แต่ข้าก็ยังคิดไม่ตกหรอก มีตั้งหลายอย่างที่ข้าอยากเรียน อย่างนายไปรษณีย์ นายสถานีรถไฟ ไปเรียนปลัดอำเภอก็เข้าที ได้กลับมาดูแลชาวบ้าน หรือไม่ก็เป็นตำรวจ แถวบ้านเรามีแต่ป่าแต่เขาโจรชุมยิ่งกว่ายุง ข้าคงปราบได้เยอะ อีกอย่างไปไหนมาไหนมีแต่คนยกมือไหว้ข้าชอบ” ธงรบหัวเราะชอบใจ

“ถ้าเอ็งเป็นตำรวจแล้วใครจะมาเป็นเสือให้เข้มมันจับล่ะ” เจตน์แซวพร้อมยื่นมือไปรับคันเบ็ดที่ธงรบนำมาเผื่อเขา

“ช่างไอ้เข้มมันเถอะ…ไม่มีข้าก็มีเสือร้ายเยอะแยะให้มันไล่จับ ดีไม่ดี อีกสี่ห้าปีมันอาจจะอยากเป็นอย่างอื่นแล้วก็เป็นได้” ธงรบหัวเราะขำเมื่อนึกถึงความคิดของเข้ม เด็กชายตัวน้อยที่ประกาศปาวๆ ว่าจะโตไปเป็นตำรวจเพื่อมาจับเสือร้ายอย่างเขา

แล้วเอ็งล่ะ” ธงรบย้อนถามเจตน์ที่กำลังสาละวนอยู่กับการหยิบไส้เดือนออกจากกระป๋องมาเกี่ยวกับตะขอที่ปลายเบ็ด

“ข้าอยากเรียนป่าไม้ ข้าชอบบรรยากาศแบบนี้” เจตน์หันมองรอบกายที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ไกลออกไปสุดสายตาเบื้องหน้า เห็นเพียงแนวเทือกเขาสูงที่ลดหลั่นกันไป

“ถ้าเอ็งชอบต้นไม้ ชอบป่าๆ ฝากมาทำสวนผลไม้ให้ข้าด้วยนะ…เพราะข้าขี้เกียจทำ” เป็นที่รู้กันว่าพ่อกับแม่ของธงรบนั้นอยากไม่อยากให้ลูกเรียนต่อเท่าไรนัก อยากให้มาช่วยทำสวนที่มีอยู่หลายร้อยไร่ เพราะกลัวว่าถ้าธงรบเรียนต่อ หรือไปอยู่ไกลหูไกลตาจะไปก่อเรื่องก่อราวทำคนอื่นเดือดร้อน

“แต่ใจหนึ่งข้าก็อยากไปเรียนช่างเหมือนกันนะ เป็นวิศวกรก็ดูโก้ไปอีกแบบ” เจตน์พูดขึ้น

“เอ็งจะไปอวดสาวที่ไหน…ข้าไม่เอาด้วยแล้วนะเดี๋ยวเจอตีนต้องวิ่งป่าราบแบบครั้งโน้น” ธงรบยังจำได้ดีถึงวีรกรรมของเจตน์ เมื่อครั้งที่เขาหนีไปเที่ยวในตัวจังหวัดด้วยกัน แล้วเจตน์ไปส่งสายตาส่งยิ้มให้แม่ค้าวัยแรกรุ่นในร้านขายขนมหวานจนไม่ยอมออกจากร้าน แฟนเขามาเห็นเข้าถึงขั้นไล่ตะเพิดจะชกต่อยจนทั้งคู่ต้องโกยแน่บวิ่งขึ้นขึ้นสองแถวกลับอำเภอแทบไม่ทัน

“ก็ใครมันจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะมีผัวเป็นตัวเป็นตน ยังสาวขนาดนั้น พอเขายิ้มให้ข้า ข้าก็ยิ้มตอบ”

“แต่เอ็งเสือกยิ้มไม่เลิกไงไอ้เจตน์ แถมยังส่งสายตาอีก รอดมาได้ก็บุญแล้ว” ยิ่งเล่าทั้งคู่ก็ยิ่งขำ

“เออ…มีอีกเรื่องที่ข้าอยากบอกเอ็งด้วย…” เจตน์ทำเสียงเบาลงจนเหมือนกระซิบจนธงรบสงสัย

“ทำไมต้องกระซิบด้วยวะ มีแค่เอ็งกับข้า เอ็งกลัวเจ้าป่าเจ้าเขาได้ยินเหรอ” คำพูดยียวนของธงรบทำให้เจตน์อดเงื้อเท้าหมายจะถีบเพื่อนไม่ได้

“เอ็งนี่…อันนี้เป็นความฝัน…เป็นความตั้งใจและเป็นความลับสุดยอดของข้าเลยนะโว้ย”

“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ” ธงรบมีสีหน้างุนงง

“เออสิวะ…และในฐานะที่เราสองคนเป็นเหมือนเพื่อนพี่น้องร่วมสาบานกัน ข้าก็จะบอกเอ็ง” เจตน์ทำสีหน้าแบบคนมีลับลมคมในใส่ธงรบก่อนเฉลย “ข้าอยากประกวดชายงาม”

“ห๊ะ…เอ็งเพิ่งสิบเจ็ดเองนะ” ธงรบกวาดสายตาขึ้นลงมองเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า และอดตกใจไม่ได้ จริงอยู่ที่กีฬาเพาะกาย เป็นที่นิยมชมชอบถึงขั้นทำให้หนุ่มๆ หลายคนพยายามฟิตกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกายให้ดูดีสวยงาม เขาเองยังเคยเห็นโปสเตอร์นักเพาะกายที่เต็มไปสัดส่วนสวยงามในห้องนอนของเจตน์ และในบ้านของผู้ใหญ่หลายคนในหมู่บ้าน แต่เจตน์เพิ่งจะ 17 แถมตอนนี้มองยังไงนอกจากความสูงกับหน้าตาที่ค่อนข้างดีแล้ว เขายังไม่เห็นกล้ามสักมัดของเพื่อนเลย

“ข้าไม่ได้จะไปประกวดตอนนี้ เอ็งก็เห็น สารรูปข้าจะเอาไรไปอวดเขาได้ แต่ข้าตั้งใจว่าจะเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนี้” ว่าแล้วก็ถลกแขนเสื้อยกแขนขึ้นสูงพร้อมเกร็งกล้ามเนื้อที่ไม่ค่อยมีขึ้นมาอวดเพื่อน “ค่อยๆ ฝึกไปสักสามสี่ปี ข้าก็คงจะมีกล้ามแขนเป็นมัดๆ แล้วก็ต้องมีไหล่ที่กว้าง ดูบึกบึน อ่อ…ต้องมีกล้ามท้องด้วย ถึงตอนนั้นไปประกวดก็ไม่อายใคร”

ธงรบฟังความฝันของเจตน์ด้วยความรู้สึกทึ่งปนชื่นชม เพราะไม่ว่าจะทำอะไรเจตน์มักวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนให้ตัวเองไว้อย่างดีเสมอ

“อย่าบอกนะว่าไอ้ลูกปูนหน้าตาประหลาดๆ ที่อยู่ใต้ถุนบ้านเอ็งนี่ เอ็งทำมาไว้ฝึก“ ธงรบนึกถึงก้อนปูนซีเมนต์ที่หล่อเองแบบหยาบๆ ให้เป็นลูกและมีแท่งเหล็กเสียบตรงกลาง หน้าตาละม้ายคล้ายเหล็กยกน้ำหนัก

“เฮ้ย…นั่นมันของพ่อข้าเขาทำไว้ แกอยากมีหน้าอกใหญ่ๆ แมนๆ ไว้อวดแม่ข้า…แต่แม่ข้าบอกอย่าพยายามเลย แก่แล้ว”

ธงรบหัวเราะเมื่อนึกภาพตามที่เพื่อนเล่า “เออ…ไว้วันไหนเอ็งไปประกวด ข้าตามไปเชียร์เอ็งหน้าเวทีเลย…ตอนนี้เอ็งก็ยกลูกปูนของพ่อเอ็งไปก่อน”

“พรุ่งนี้เราเข้าเมืองไปไหว้พระธาตุขอพรกันไหม” เจตน์หมายถึงวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นที่สถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองนครศรีธรรมราชมายาวนานนับพันปี และผู้คนมักเดินทางไปกราบไหว้ขอพรเพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิต

“แต่ไม่ไปร้านขนมหวานแล้วนะ ข้าขี้เกียจวิ่งเหมือนคราวที่แล้ว” ธงรบล้อ คราวนี้เจตน์ถึงกับลุกขึ้น จนเขาต้องรีบลุกหนีเพราะรู้ว่าขืนนั่งเฉยๆ คงเป็นเป้านิ่งให้เพื่อนเตะ ไม่นานทั้งคู่ก็เปียกปอนกันอยู่ในลำธารพร้อมเสียงหัวเราะที่ดังก้องไปทั้งป่า

 



Don`t copy text!