ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 4 : สมาคมหมาแมว (2)
โดย : หมอนอิงพิงหลัง
ถนนสายนี้มีแมวเหมียว โดย หมอนอิงพิงหลัง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาขอเอาใจนักอ่าน โดยเฉพาะนักอ่านทาสแมว กับเรื่องราวของ น้ำปิง เจ้าพ่อแห่งความเพอร์เฟคที่โดนวงล้อโชคชะตาเล่นตลกและแมวสามสี….ที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับเรื่องราวสารพัดจนเขาหลงรักชีวิตแบบแมวๆ เข้าอย่างจัง น้ำปิงกับถนนสายแมวเหมียวจะเป็นอย่างไร อ่านกันได้เลยค่ะ
ผมยืนดูแมวลายส้มตัวน้อยค่อยๆ กินข้าว หน้าตาดีแต่ร่างกายผ่ายผอม ตามลำตัวมีรอยเหมือนโดนตีมา เนื้อตัวมอมแมม มองไปก็พลางถามตัวเองไปว่า เขาจะลำบากขึ้นรถทัวร์ผจญภัยมาทำไม จุดหมายปลายทางคือที่ไหน แล้วเขารู้ตัวไหมว่าชีวิตที่เป็นอยู่นี่มันลำบากหรือสุขสบาย
พอไมเคิลกินข้าวเสร็จ ผมก็เลยชวนคุยถามไถ่เรื่องราวว่าเป็นยังไงมายังไงจนได้ความว่า ไมเคิลเป็นน้องคนเล็กในบรรดาพี่น้องทั้ง 4 ตัว บ่อยครั้งที่เขาแย่งอาหารไม่ทันพี่ๆ เลยต้องท้องหิวอยู่เป็นประจำ แล้วพอท้องหิวบ่อยเข้า ตัวก็เลยเล็กตาม ตอนนั้นพี่ๆ ก็ไม่ค่อยมีใครอยากเล่นด้วย เพราะวิ่งช้าทำอะไรก็ต้วมเตี้ยม จึงติดแม่มากกว่าพี่ๆ ในครอก
พอโตขึ้นมาได้หน่อย ก็แย่งข้าวไม่ทันตัวอื่นอีก จะกินนมแม่ก็ไม่มี เพราะปกติแม่จะให้ลูกๆ กินข้าวก่อน พอแม่กินอาหารไม่พอน้ำนมก็เลยไม่มีไปด้วย บางทีตัวแม่เองก็ได้แค่เลียข้าวที่เหลือก้นชามเหมือนกัน
ไมเคิลไม่เคยโกรธพวกพี่เลยที่ตัวเองได้กินน้อย เพราะทุกตัวก็หิวไม่ต่างกัน หลายครั้งที่ไมเคิลถามแม่ว่าทำยังไงพวกเราจะได้กินอิ่มท้องทุกมื้อ แม่ได้แต่เลียหัวกลับด้วยความเอ็นดูแล้วเล่าเรื่องแมวนักเดินทางให้ฟัง
แม่ของไมเคิลเล่าให้ฟังว่า เมื่อก่อนพ่อของเขาเป็นแมวนักเดินทาง ซึ่งในกลุ่มแมวนักผจญภัยนั้นจะมีความเชื่อว่า มีดินแดนสรวงสวรรค์แห่งอาหารอยู่แห่งหนึ่ง ชื่อว่ายูโทเปีย เป็นดินแดนที่ไม่เคยหลับใหล มีวงล้อแห่งความหวังแกว่งไกว มีอาหารมากมายหล่นมาจากฟากฟ้า หมาแมวในดินแดนแห่งนี้เป็นสุขและไร้ซึ่งความหิวโหย
แต่พอพ่อเขามาเจอแม่ซึ่งเป็นรักแท้ ก็เลยหยุดการเดินทางนั้นไว้ พวกเขาคบกันได้อยู่สองเดือน จนโดนเจ้านายแม่จับได้ แมวหนุ่มนักเดินทางตัวนั้นจึงต้องจากไปทั้งน้ำตา แต่ก็ไม่รู้ทำไมว่าหลังจากนั้นเจ้านายก็ให้อาหารน้อยลง คำเดียวที่แม่จำได้คือเจ้านายบอกว่าเลี้ยงเสียข้าวสุก แต่ตัวแม่เองก็ไม่เข้าใจ ทั้งที่แม่ก็ไม่เคยกินข้าวในจานเหลือเลยสักเม็ด
เรื่องนี้แหละ ที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับไมเคิล เขาตัดสินใจที่จะเป็นแมวนักเดินทางตั้งแต่หนึ่งขวบ เพื่อตามหายูโทเปีย ดินแดนแห่งความฝันนั้น ความฝันเล็กๆ ที่จะได้กินอิ่มท้องทุกมื้อ แล้ววันนึง พวกเขาจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
ผมเองก็ไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมเรื่องนี้ถึงน่าประทับใจนักแต่น้ำตามันก็เอ่อขึ้นมา อาจเป็นเพราะวงจรชีวิตของคนกับแมวนั้นต่างกันมาก 100 ปี เทียบกับ 14 ปี
ยิ่งคิดผมก็ยิ่งนับถือพวกสัตว์ตัวเล็กทั้งหลาย พวกเขาต้องเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ยังเด็ก สัตว์บางประเภทก็ไม่มีพ่อแม่คอยดูแลด้วยซ้ำ มันช่างต่างกับคนเราเสียจริง ทำไมนะ ผมถึงไม่เคยคิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย มีแต่ว่าจะต้องได้อะไร สำเร็จอะไร พอไม่ได้สิ่งนั้นก็จะเป็นจะตาย ทั้งๆ ที่ทุกวันก็มีอาหารกินอิ่มท้องแท้ๆ ผมเงยหน้ามองดูท้องฟ้าที่แจ่มใสเมื่อครู่นี้ ตอนนี้กลับมีเมฆครึ้มเข้ามาปกคลุม เหมือนจิตใจคนเราเลย
ผมจึงตัดสินใจที่จะช่วยไมเคิลตามหาดินแดนในฝันนั้น ซึ่งผมว่ามันคลับคล้ายคลับคลาจะเป็นตลาดโต้รุ่งสินะ หรือไม่ก็ร้านข้าวต้มโต้รุ่ง ในใจผมเห็นภาพพ่อครัวกำลังผัดผักบุ้งไฟแดงฉ่า เสร็จแล้วก็โยนขึ้นฟ้า ก่อนใส่จานเสิร์ฟลูกค้าจานแล้วจานเล่า เมนูก็มีหลากหลายทั้ง ผัดหอยลาย ผัดเกี่ยมฉ่าย ยำไข่เค็ม ลิ้นเป็ดพะโล้ ไข่เจียว และอื่นๆ อีกสารพัด แน่นอน! ร้านที่เปิดทั้งคืนไม่เคยหลับใหลด้วยติดไฟนีออนสารพัดสี อาหารก็หล่นมาจากบนฟ้า ถ้าอย่างงั้นแถวแม่น้ำใกล้ๆ นี้ อาจจะมีร้านแบบนั้นก็ได้นะ แหม ผมนี่ฉลาดจริงๆ
“ไมเคิล ผมคิดว่าผมรู้นะ ว่าดินแดนนั้นอยู่แห่งใด” ผมพูดพร้อมอมยิ้มในใจ เพราะเรื่องแค่นี้ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะคิดออกมาก ก็แค่หาตลาดให้เจอ แล้วก็วิ่งเข้าไปขออาหาร มันจะไปยากอะไร พลางนึกถึงนานาอาหารที่เคยกินเข้าไปด้วย
“จริงหรือน้ำปิง” ไมเคิลปล่อยชามข้าวที่กัดเล่นอยู่ ลุกขึ้นมองหน้าผมด้วยตาที่เป็นประกายเต็มไปด้วยความหวัง โครกๆๆ เสียงท้องไมเคิลร้องอีกทีหนึ่ง
“ฮ่าๆ ไว้ใจผมได้เลย” ผมตอบอย่างมั่นใจพร้อมเอามือตบไหล่ไมเคิล
“งั้นเรารีบไปกันเลย นะนะนะ” แล้วไมเคิลก็กระโดดเด้งตัวอย่างปราดเปรียวกับต้นไม้ ลอยตัวขึ้นไปบนหลังคาในพริบตา พร้อมหันหลังส่งสัญญาณให้ผมตามไป
ผมหัวเราะแหะๆ อยากจะบอกว่าใครจะไปทำได้ฟระ แต่ตอนนี้ตัวเองก็อยู่ในร่างแมวเหมือนกันถึงจะพุงกว่าก็เหอะ เอาวะ ผมกลืนน้ำลายดังเอื๊อก ทำใจสู้ส่งยิ้มแบบยิงฟันให้ไมเคิล มันคงไม่ยากหรอก ก็เอาเท้าซ้ายหน้าแตะตรงนั้น ดีดขาหลังขวาตรงนี้ แล้วเอาเท้าหน้าขวาไขว้ไปด้านโน้น ยังไงวะ เนี่ยแขนหรือขากันแน่ ผมสะบัดหน้าให้หายสับสน โบกมือให้ไมเคิลอีกครั้งแล้วก็พุ่งตัวออกไป
ผมวิ่งเลียนแบบไมเคิลทุกฝีก้าวตรงไปยังต้นไม้ใหญ่นั่น นึกแค่ว่าตัวเองเป็นพระเอกหนัง แขนขาผมกระโดดดีดเองเป็นอัตโนมัติ ผมดีดลอยตัวจากพื้นดิน นี่หรือคือวิชาตัวเบาของแมว สายลมปะทะหน้า ตามมาด้วยต้นมะม่วง พุงผมกระแทกเข้าเต็มรัก จนปลาชิ้นเมื่อกี้แทบจะว่ายสวนกลับออกมา แล้วผมก็ไปเยี่ยมปู่ย่าที่ริมแม่น้ำอีกครั้งหนึ่ง
“น้ำปิง น้ำปิง ไหวไหม” ไมเคิลเอาอุ้งเล็กผลักหน้าผมไปมา
ผมรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมา ยังเห็นดาวลูกไก่หมุนวนแบบในการ์ตูน คงต้องบอกความจริงกับไมเคิลแล้วว่าผมกระโดดขึ้นต้นไม้ไม่เป็น แต่พอคุยกันไปมา ยังมีสกิลอื่นอีกมากมายของแมวที่ผมก็ใช้ไม่เป็นด้วย เช่น แอร์แท็กใช้เพื่อมาร์กกลิ่นเป้าหมาย ไฮจัมป์ที่เป็นการกระโดดเด้งตัวขึ้นที่สูง มูนวอล์กวิ่งหลบหลีกในที่แคบ รวมถึงแชร์โลเคชันผ่าน ‘คิตตี้แมป’ ที่มีเซิร์ฟเวอร์ใหญ่อยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ผมนี่ทึ่งไปเลย ไม่คิดว่าเผ่าพันธุ์แมวจะมีเทคโนโลยีที่แอดวานซ์ขนาดนี้ แล้วนี้ถ้าผมบอกไปว่าเป็นคน จะโดนตำรวจแมวตามจับไหม หรือต้องไปขึ้นทะเบียนแมวต่างด้าว ทำยังไงดี แล้วไมเคิลจะเชื่อไหม ถ้าเขาโกรธเพราะผมเป็นพวกเดียวกับมนุษย์ที่ตีเขาล่ะ ที่พรากพ่อกับแม่เขา หัวใจผมเต้นตุ๊บตุ๊บ เหงื่อตกกีบ แต่ในที่สุดผมก็สารภาพกับไมเคิลว่า ที่จริงแล้ว ‘ผมเป็นคน’
“ก็ไม่แปลกนี่” ไมเคิลตอบกลับไม่ได้แปลกใจอะไร พร้อมเลียอุ้งเท้าเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองต่อ
“อ้าว นี่เรื่องธรรมดาหรอกหรือ” ผมทำตาปริบๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไร เหมือนแพ็กเกจทัวร์เหรอที่จองตั๋วมาเที่ยวได้ แล้วใครเคยมากันทำไมไม่เห็นมีใครเคยพูดถึงไว้เลย ตอนนี้ไมเคิลเห็นผมทำหน้างงหนักจึงเริ่มอธิบาย
“อืม ใช่สิ แมวอย่างพวกเรานั้นมีหน้าที่นำทางวิญญาณหลงทางมาตั้งแต่ยุคอียิปต์โบราณสี่พันกว่าปีก่อน” ไมเคิลตอบแบบภูมิใจ แล้วเล่าต่อว่า
“เมื่อก่อนนั้นแมวอย่างพวกเราถูกนับถือเป็นเทพเจ้าแห่งความรักและความอุดมสมบูรณ์ ถ้าน้ำปิงเคยเป็นคนก็คงจะเคยเห็นรูปบรรพบุรุษของแมวตามที่ต่างๆ เช่น บนกำแพงพีระมิด มัมมี่แมว รูปปั้นดินเผาแมว มาจนถึงในยุคปัจจุบันก็ยังมีการแห่แมวขอฝน รวมไปถึงการเป็นที่ยึดเหนี่ยว ช่วยให้สบายใจเล็กๆ น้อย เช่น รูปแมวบนปากกาดินสอด้วย ตัวที่ชอบผูกโบสีแดงตรงหูไงล่ะ”
ผมพยักหน้าคล้อยตาม มิน่าล่ะประวัติศาสตร์ของมนุษย์จึงมีแมวเกี่ยวข้องอยู่มากมาย ผมตั้งใจฟังเหมือนนักเรียนในห้องเลคเชอร์ แต่พอนึกได้ เอ๊ะ! แมวอะไรที่ชอบผูกโบสีแดงไว้ตรงหู
“อ้าว อย่างนี้ก็ต้องมีวิธีที่จะกลับเข้าร่างคนได้สิ” ผมเอามือสองข้างเขย่าไมเคิลอย่างดีใจจนขนยุ่งเหยิง
“เดี๋ยวๆ เราเพิ่งมาถึงเมืองนี้เอง ยังไม่รู้ที่รู้ทางเลย ถ้าอยากรู้เรื่องนี้ก็ต้องติดต่อเทพธิดาแมวก่อน ที่เมืองนี้อาจจะมีศาลแมวก็ได้ คงต้องลองถามชาวเมืองดู” ไมเคิลพูดแล้วก็ถอยไปเลียขนตัวเองให้เรียบร้อยเหมือนเดิม
ผมดีใจมากที่ตอนนี้มีความหวังขึ้นมาแล้ว ท้องฟ้าก็ดูสดใสกลุ่มเมฆเมื่อกี้ก็พลางหายไป ในที่สุดผมจะได้หลุดจากสถานการณ์บ้าๆ นี้สักที จะได้กลับเป็นคนแล้ว
“แล้วศาลแมวอยู่ไหนล่ะ ใช่แถวๆ วัดไหม หรือไปถามคนแถวตลาดก่อนดี” ผมหันไปถามไมเคิล ดีใจจนเนื้อตัวเต้น
ไมเคิลหยุดฝนเล็บกับแคร่ของยายและหันหน้ามามองผม
“ก็เป็นไปได้นะ งั้นน้ำปิงนำทางไปตลาดเลย เดี๋ยวระหว่างทางไมเคิลจะสอนสกิลเอาตัวรอดเบื้องต้นให้เอง” แล้วเราก็เดินออกจากบ้านกัน
ระหว่างทางไปวัด ไมเคิลบอกว่าสกิลแมวนั้นเรียนรู้ไม่ยาก มันเป็นระบบออโต้ที่ติดมากับฮาร์ดแวร์แมวทุกตัวอยู่แล้ว จะมีแตกต่างกันก็แค่ที่เฟิร์มแวร์นิดหน่อย แล้วแต่สายพันธุ์ของแมวกับโรงงานผลิต ผมไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ไมเคิลพูด ก็ได้แต่ทึ่งว่าเทคโนโลยีแมวนั้นเหนือชั้นมาก ล้ำหน้าไปกว่าเทคโนโลยีของพวกมนุษย์ด้วยซ้ำ
พอเราเดินมาถึงทางแยกหนึ่ง ผมเกิดจำทางไม่ได้
“เอ๊ะ! เมื่อวานยายพาไปทางไหนนะ ซ้ายมั้ง ออกจากบ้านไปทางซ้ายมือ แล้วเจอร้านน้ำเต้าหู้ ไม่ใช่สิ หรือว่าไปทางขวา” ผมบ่นพึมพำ
“ขอโทษนะไมเคิล เราจำทางไปตลาดไม่ได้ เมื่อวานก็เพิ่งเคยไปครั้งแรกเอง” ผมทำเสียงอ่อย
ไมเคิลที่กำลังมองผีเสื้อเล่นอยู่ก็หันมา
“แค่นี้เองสบายมาก น้ำปิงกดเปิดหนวดเรดาร์นะ แล้วเข้าไปที่แอป ‘คิตตี้แมป’ เลือกค้นหาประวัติการเดินทางของเมื่อวานดูสิ”
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ! จั๊กจี้พิลึก หนวดของผมสั่นเหมือนมีประจุไฟฟ้าอย่างอ่อนวิ่งผ่าน ผมเห็นไอคอนรูปอุ้งมือแมวสีฟ้าลอยอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรอยเท้าสีม่วงของตัวเองก็ปรากฏขึ้นเป็นเส้นทางบนถนนน่าอัศจรรย์ใจมาก นี่มันคือรอยเท้าที่เราเดินกลับจากวัดเมื่อวานนี้นี่นา เทคโนโลยีระดับพันล้านที่บริษัทกล้วยส้มพยายามสร้าง พวกแมวมีใช้กันมาตั้งนานแล้วเหรอ มนุษย์เราเอ๊ย กบในกะลาแท้ๆ
“ฮ่ะ ฮ่า เจอแล้ว ทางนี้ๆ ไมเคิล ต้องเลี้ยวตรงมุมเสาแยกข้างหน้า” ผมตะโกนบอกอย่างดีใจ
“น้ำปิง ทางนี้เราเจอข้อความว่า วันพระมีแจกข้าวที่วัดด้วยนะ” ไมเคิลดมๆ ดูที่เสาไฟ
“เขาว่ายังไงนะไมเคิล” ผมเริ่มจะตื่นเต้น
“เขาเชิญพวกเราหมาแมวกินบุฟเฟต์ ที่ลานวัดใต้ต้นโพธิ์น่ะ ให้ติดต่อลุงจอน”
“ไปกันนะ นะนะนะ น้ำปิง” ไมเคิลทำตาลำไยบีมทุกครั้งที่หิวข้าว
“ใช่แล้วไมเคิล อาจจะเป็นยูโทเปียที่นายตามหาก็ได้นะ” ไมเคิลพยักหน้าให้ เดินเขย่งเท้าสลับกระโดดด้วยความดีใจ ผมก็เดินเขย่งกระโดดเหมือนกันเพราะตื่นเต้นในสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้
นี่มันอะไรกันนี่ วันนี้ผมคุยกับแมว แล้วแมวก็รู้ว่าเราไม่ใช่แมวเสียด้วย แถมแมวยังมีระบบแผนที่เจ๋งกว่าอากู๋เสียอีก แล้วตอนนี้เรากำลังจะไปกินบุฟเฟต์ที่วัดกันเนี่ยนะ ผมขำก๊ากกับตัวเอง ผมลองกัดลิ้นตัวเองดู ยังเจ็บอยู่ ไม่ใช่ความฝันแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 8 : ข้าวแมวต้องบี้ให้ละเอียด (2)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 8 : ข้าวแมวต้องบี้ให้ละเอียด (1)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 7 : ไม้เสียบไก่สีชมพู (2)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 7 : ไม้เสียบไก่สีชมพู (1)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 6 : ตัวแสบและผองเพื่อน
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 5 : ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ (2)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 5 : ใต้ร่มกาสาวพัสตร์ (1)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 4 : สมาคมหมาแมว (2)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 4 : สมาคมหมาแมว (1)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 3 : อะไรที่พยายามไขว่คว้า (2)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 3 : อะไรที่พยายามไขว่คว้า (1)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 2 : ฝันประหลาด (2)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 2 : ฝันประหลาด (1)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 1 : ภาพที่งดงามไม่มีวันลืม (2)
- READ ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 1 : ภาพที่งดงามไม่มีวันลืม (1)