ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 4 : สมาคมหมาแมว (1)

ถนนสายนี้มีแมวเหมียว บทที่ 4 : สมาคมหมาแมว (1)

โดย : หมอนอิงพิงหลัง

Loading

ถนนสายนี้มีแมวเหมียว โดย หมอนอิงพิงหลัง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาขอเอาใจนักอ่าน โดยเฉพาะนักอ่านทาสแมว กับเรื่องราวของ น้ำปิง  เจ้าพ่อแห่งความเพอร์เฟคที่โดนวงล้อโชคชะตาเล่นตลกและแมวสามสี….ที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับเรื่องราวสารพัดจนเขาหลงรักชีวิตแบบแมวๆ เข้าอย่างจัง น้ำปิงกับถนนสายแมวเหมียวจะเป็นอย่างไร อ่านกันได้เลยค่ะ

บนแท่นบูชาประดับประดาไปด้วยดอกไม้สีสวยสด ส่งกลิ่นหอมโชยไปทั่วทั้งบริเวณ ผมเห็นแมวพันธุ์เปอร์เซียสีขาวดวงตาสีฟ้าตัวนั้นอีกแล้ว เธอก้าวเดินเข้ามาใกล้ด้วยลีลาดุจสตรีผู้สูงส่ง ท่ามกลางฝุ่นละอองสีขาวฟุ้งกระจายเหมือนกลิ่นกำยาน

“เธอจะต้องตามหากุญแจแห่งแมวเหมียวให้ได้ทั้งหมดห้าดอก เพื่อที่จะไขประตูแห่งชีวิตใหม่” เสียงหวานนั้นดังกังวาน แต่ด้วยท่าทีที่น่าเกรงขาม ผมจึงหมอบตัวลง

“กุญแจอะไรหรือครับ…” ผมถามกลับเบาๆ

เธอผู้นั้นหันมายิ้มให้แต่ก็ไม่ตอบอะไร แล้วทั้งหมดก็สลายกลายเป็นควัน ผมตกใจเอื้อมมือคว้ามือเธอไว้ แต่ทุกอย่างก็อันตรธานหายไป เหลือแต่ละอองสีขาวที่คลุ้งไปทั่วกับกลิ่นดอกไม้

 

ฮ้าดชิ่ว! ฮ้าดชิ่ว! ฮ้าดชิ่ว!

ผมตื่นขึ้นมาพร้อมน้ำมูกเต็มจมูก ส้มจุกกำลังเขย่ากระป๋องแป้งลายดอกไม้ใส่ผมแบบไม่บันยะบันยัง เธอหัวเราะคิกคักพร้อมพูดว่า

“หมูชุบแป้งทอดร้อนๆ ทางนี้จ้า…หมูทอดร้อนๆ จ้า”

ทั่วทั้งตัวผมมีแต่แป้งขาวโพลน กลิ่นดอกมะลิซัดเข้าไปถึงปอดชั้นในผม ส่วนตัวแม่ค้าเองก็หน้าขาววอกไม่แพ้กัน

“ไอ้ส้มจุก เลิกเล่นแป้งยายได้แล้ว กลิ่นฟุ้งลงมาถึงนี่ เดี๋ยวยายตีตายเลย แล้วนี่แต่งตัวเสร็จแล้วหรือยัง มาช่วยยายยกตะกร้าขนมตรงนี้ด้วย” เสียงดุๆ ของยายลอยมาจากบ้านชั้นหนึ่ง

“จ้า…ยาย”

“นี่ค่ะคุณลูกค้า หมูชุบแป้งทอดที่สั่ง” ส้มจุกหันไปคุยกับคุณตุ๊กตาเน่าเป็นตุ๊กตากระต่ายนั่งคอพับอยู่ข้างๆ เธอเก็บจานชามส้อมมีดพลาสติกพร้อมชุดครัวลงตะกร้า แล้วก็วิ่งไปปีนเก้าอี้เก็บกระป๋องแป้งของยายไว้บนตู้เสื้อผ้าดังเดิม

ผมยืนขึ้น สะบัดแป้งออกจากตัว ฝุ่นแป้งคลุ้งไปทั่วอาณาบริเวณ วันนี้ส้มจุกมัดผมทรงน้ำพุทรงโปรด ประแป้งหน้าขาววอก แต่งตัวใส่ผ้าถุงและเสื้อแขนกระบอก น่าเอ็นดูเหมือนเทพธิดาตัวน้อยๆ แต่งตัวสวยขนาดนี้สงสัยวันนี้เป็นวันพระแน่เลย

“ทองแต้มๆ ส้มจุกสวยไหม นี่เป็นชุดเก่งที่ยายตัดให้ส้มจุกเลยนะ” เธอพูดพลางหมุนตัวเต้นซ้ายขวา ผมก็พยักหน้าให้ แล้วเธอก็รีบวิ่งลงไปหายาย ส่วนผมก็เดินตามออกมายืนดูที่ชานพักกระได

 

เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มกว้างหน้าตาสดใส ยืนจูงมือยายที่ใส่ชุดแบบเดียวกัน แต่ชุดของยายนั้นเป็นผ้าถุงสีครามลายยกดอกลำพูน เสื้อขาวแขนกระบอกมีสไบน้อยพาดไหล่สวยงาม

ผมมองดูแล้วเคลิ้มตาม วิถีแบบไทยๆ สาวๆ คนไทย ก็ต้องคู่กับสไบนี่แหละ ช่างงดงามยิ่งนัก

“ทองแต้ม มีสไบของเจ้าด้วยนะ ยายตั้งใจเย็บให้เลย” ยายชูชุดผ้าไหมสีเขียวมรกตคู่สไบสีทอง ที่ทั้งสวยและเด่นกว่าทั้งชุดยายหลาน ผมตาเหลือกไม่ใช่แค่สาวไทยแล้วเหรอ แมวไทยก็โดนด้วย

 

“อุวะ! ทำไมมันคับอย่างนี้ทองแต้ม”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงยาย ทันใดนั้นชุดมรกตสีเขียวก็ฉีกขาดระเบิดออกเห็นใยผ้าไหมข้างใน ผมมองยายตาปริบๆ

“แม้ว” ผมรู้สึกผิดแต่ก็แอบสะใจนิดๆ เหมือนกัน

“เอ้อ งั้นใส่ไปแต่สไบแล้วกัน” ยายบ่นพร้อมกลัดเข็มกลัดให้แน่น ผมพยายามสะบัดแต่เอาไม่ออก ผมก้มมองดูตัวเองรู้สึกสังเวชใจที่ตอนนี้ตัวเราดูเหมือนก้อนแหนมสีทอง ผมถอนหายใจแล้วให้สัญญากับตัวเองว่า จะไม่เป็นหนึ่งในพวกเจ้าของที่ชอบแต่งตัวแปลกๆ ให้สัตว์เลี้ยงเด็ดขาด หมาแมวก็มีหัวใจนะ

ผมอยากจะร้องเรียนเรื่องนี้ไปยังหน่วยงานพิทักษ์สัตว์โลก แต่ก็พยายามรักษาใจไว้ เพราะเดี๋ยวเรากำลังจะไปทำบุญกัน จิตใจจะได้เบิกบานผ่องใสเกิดอานิสงส์ ผมตัดใจและเดินไปรอที่หน้าบ้าน

ยายปิดบ้านเรียบร้อยก็เอากะละมังข้าวกับถ้วยน้ำวางไว้ข้างแคร่ไม้ไผ่ให้ผมเหมือนเคย

“ทองแต้มเอ้ย ยายกับส้มจุกไปวัดก่อนนะ ฝากดูแลบ้านด้วย ส่วนข้าวน่ะ ถ้าไม่หิวก็ไม่ต้องกินนะลูกนะ ไดเอ็ตหน่อย”

อ้าว เฮ้ย! ผมไม่ได้ไปวัดด้วยหรือ แล้วยายจับผมใส่สไบทำไม ผมยัวะจนลืมตัวร้อง “แม้ว” ออกไป ผมอยากจะกรีดร้องออกมาดังๆ แต่ที่ทำได้ก็แค่เพียงกรีดเล็บไปบนพื้นอย่างขุ่นเคือง

“จ้า ยายก็ดีใจนะที่เอ็งชอบชุดไทย ไว้ว่างๆ ยายจะเย็บให้อีกนะ” ยายยิ้มรับและลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน พร้อมดึงสไบผมให้แน่นอีกครั้ง ส่วนผมตอนนี้ มันแน่นและตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

 

ยายทำขนมใส่ไส้ไปทำบุญกระจาดใหญ่ ส่วนหลานตัวน้อยถือตะกร้าใบโตเดินตาม ทั้งคู่เดินไปสักพักก็มีรถสองแถวมาจอดขนาบที่รถมีป้ายเขียนว่า ‘วัดริมน้ำ สาย 8’ คนโดยสารบนรถแต่งตัวสวยหล่อเหมือนกัน ทุกคนกุลีกุจอขยับข้าวของ พากันเขยิบที่ให้ยายหลานนั่ง ยายคำมูลบอกปฏิเสธขอถือกระจาดขนมเดินชมวิวไปดีกว่า ส่วนส้มจุกมารยาทงามก้มลงไหว้ขอบคุณ

ผมเดินกลับมานอนที่แคร่หน้าบ้านดูยายหลานเดินจากไป พลางกระดิกหางไปมาพยายามสงบจิตสงบใจ ไอ้สไบนี้ก็รัดแน่นเสียเหลือเกิ๊น พยายามเอาตัวไปถูกับแคร่ไม้ไผ่ให้ชุดมันหลุดออก

 

“นี่ๆ นายอ้วนที่ใส่สไบน่ะ ทางนี้ๆ” ผมไม่รู้ว่าใครพูด แต่มันเหมือนฟางเส้นสุดท้ายสำหรับผม ตอนนี้ผมโกรธตาเขียวไม่รู้เพราะโดนว่าอ้วนหรือเรื่องที่ต้องใส่สไบสีทองกันแน่ แต่ผมแน่ใจว่ามันหมายถึงผม ต่อให้เป็นโจรก็เหอะ ตอนนี้ผมเลือดขึ้นหน้าไม่ยอมใครแน่ ผมขมวดคิ้วติดกันสูดหายใจเข้าเต็มปอดตั้งใจจะเอาเรื่องกับคนที่พูดนั้น แล้วผมก็ได้ยินเสียงดัง

“แคว่ก!”

สไบสีทองฉีกขาดและหล่นลงแทบเท้าผม ผมก้มลงไว้อาลัยให้สไบของยายครู่หนึ่ง พอทำใจได้แล้วผมก็บิลต์อารมณ์โกรธอีกครั้ง แล้วเริ่มเดินตามหาที่มาของเสียงนั่น เพราะมันน่ะแหละไอ้เสียงนั่นที่ทำให้สไบยายขาด มันดังมาจากทางสวนของยายแน่ ผมไล่ตามหาตั้งแต่ต้นมะเขือ โหระพาและแมงลัก ค้างไม้เลื้อยที่ยายทำไว้ให้ตำลึงและบวบไต่

ทันใดนั้น ผมก็เห็นแววตาคู่หนึ่งจ้องมองออกมาจากพุ่มกะเพรา ความโกรธมลายหายไป ผมตกใจกระโดดหลบไปข้างโอ่งน้ำแทน เราจ้องมองกันสักพักแล้วก็มีแมวตัวหนึ่งเดินออกมา นั่นมันแมวตัวที่ผมเห็นเมื่อคืนนี่

“สวัสดี แมวสามสี แถวนี้มีต้นตำแยแมวไหมคับ” แมวสีส้มลายเสือใส่ถุงเท้าขาวสี่ข้างมีดวงตากลมโตสีน้ำตาลช็อกโกแลตเอ่ยถาม

ผมมองซ้ายมองขวา เฮ้ย! แมวตัวนั้นพูดกับผมหรือนี่ แถวนี้ก็ไม่เห็นมีใครเลยนอกจากแมวตัวนั้น ผมฟังภาษาแมวออกหรือ

“พูดกับผมหรือ” ผมถามกลับแบบงงๆ

“ใช่ แปลกใจอะไรหรือ” แมวส้มก็งง

มันนวยนาดเข้ามาใกล้เดินวนรอบตัวผม ใช้จมูกดมฟุดฟิดตามประสาแมว

ผมตัวเกร็งไปหมดเพราะขนาดตัวเราเท่ากัน นี่มันไม่ใช่แมวแล้ว นี่มันคือเสือโคร่งที่เคยเห็นในสวนสัตว์ ผมคิดต่อว่าแมวกับเสือมันวงศาคณาญาติเดียวกันนี่นา นี่เขามาดีหรือมาร้ายกัน ตอนเป็นคนผมก็เคยเห็นแมวตีกันด้วยคมเล็บแหลมยาวสะบัดไปมาเหมือนดาบซามูไร ตัวที่แพ้ก็มีสภาพร่อแร่ ไอ้เราจะไปสู้เขาได้อย่างไร

ทันใดนั้นมันก็ล้มตัวลงมาที่หน้าผม!

ผมตกใจถอยหลังยืนขึ้นสองขา ยกมือตั้งการ์ดแบบ วัวขาว บันดาลเมฆ นักมวยชื่อดัง

แมวตัวนั้นมองผมตาปริบๆ เหยียดตัวถูไถกับพื้นไปมา แล้วเล่นถีบจักรยานอากาศมองผมตาแป๋ว หงายพุงสบายใจเฉิบ แถมแลบลิ้นเฉไปข้างนึง น่ารักเกินคำบรรยาย

“เราชื่อไมเคิลนะ นายชื่ออะไร” ตากลมๆ นั่นไม่ได้มีความดุร้ายข้างในแบบที่ผมจินตนาการเลย

“เมื่อคืนรถทัวร์ที่นั่งมา พวกเขาแดนส์กันมาตลอดทาง ตั้งแต่ขอนแก่นจนถึงที่นี่เลยเจ็ตแล็ก พอลงรถเราก็เลยสลบไปในพุ่มไม้ เช้านี้ฟื้นขึ้นมาอยากได้ตำแยแมวแก้เมา แถวนี้มีบ้างไหมคับ”

“เอ่อ ครับๆ ผมชื่อน้ำปิงเป็นผู้ช่วยผู้จัดการ เอ้ย ไม่ใช่ๆ ผมชื่อน้ำปิง อะไรคือตำแยแมวหรือ” ผมถามพร้อมลดการ์ดลง

“ฮะ! นี่นายไม่รู้จักตำแยแมวเหรอ หญ้าสารพัดประโยชน์ประจำเผ่าพันธุ์เราเชียวนะ” ไมเคิลลุกขึ้นยืนทำจมูกฟุดฟิดไปมาอยู่นาน แล้วก็เดินไปดมทางซ้าย เดี๋ยวก็กลับมาดมทางขวา วนไปวนมา แล้วจู่ๆ ก็ทำตาโตหูตั้ง

“นี่ไงมีกลิ่นอยู่แถวนี้ด้วย” มันทำจมูกฟุดฟิดเหมือนดมหาอะไรสักอย่าง

 

เขาเดินวนรอบสวนสองสามรอบ แล้วไปหยุดอยู่หน้าพุ่มไม้พุ่มหนึ่ง มันเป็นต้นไม้เตี้ยหน้าตาเหมือนวัชพืชทั่วไป มีใบมนรีขอบใบหยักเล็กน้อย ด้านบนใบจะมีขนบางๆ ขึ้นปกคลุมอยู่ ขนาดใบใหญ่กว่าใบพุทราหน่อย

แล้วไมเคิลก็ใช้เขี้ยวเล็กถอนมันขึ้นทั้งต้น ทั้งกัด ทั้งเลีย บดขยี้จนมีน้ำเขียวเยิ้มออกมาดูไม่ค่อยดีนัก

“อันนี้คือทำให้หายเมารถได้จริงเหรอ” หน้าผมเริ่มถอดสี ส่วนไมเคิลก็เริ่มมีอาการน้ำลายฟูมปาก

“นายเอาบ้างไหม เห็นหน้าซีดๆ”

ผมส่ายหน้า รีบยกมือขึ้นปิดปาก ปฏิเสธแทบไม่ทัน

“ฮ่า ฮ่า งั้นผมขอตัวไปกินข้าวก่อนนะ” ผมหัวเราะแห้งๆ จะขอตัวหลบไปทั้งที่ความจริงยังอิ่มอยู่จากเมื่อวาน

พอไมเคิลได้ยินคำว่ากินข้าวเท่านั้นแหละ หูเขาก็ตั้งและอ้าปากค้างจนทำหญ้าตำแยแมวหล่นจากปาก มองผมตาไม่กะพริบ ทุกอย่างหยุดนิ่งจนเสียงท้องร้องดังโครกๆๆๆ เข้ามาทำลายความสงบ

“แฮ่ะๆ ขอโทษที ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวานนี้”

ส่วนที่ตัวผมอาหารไม่ย่อยทั้งคืน แถมยังอิ่มจนพุงปลิ้นจึงทำใจป้ำยกข้าวให้ไมเคิล

“มากินข้าวสิ” ผมชายตาไปยังกะละมังข้าวคลุกปลาทูที่ยายเตรียมไว้ พร้อมชื่นชมตัวเองว่าผมนี่ช่างมีเมตตาเสียจริง

ไมเคิลดีใจจนเนื้อเต้นทำตัวกระดี๊กระด๊า พยักหน้าขอบคุณแล้วตรงไปยังชามข้าว แต่แทนที่จะกินมูมมามตามแบบฉบับแมวหิวโหยทั่วไป เขามอง ดม แล้วคาบปลาทูชิ้นใหญ่สุดมาวางข้างหน้าผม

“แบ่งกันกินนะ นายอ้วนกว่าเราเยอะ เอาชิ้นใหญ่ไปกินเถอะ” ไมเคิลเอาจมูกเขี่ยปลาให้ แล้วก็เดินกลับไปค่อยๆ กินข้าวในชามอย่างเรียบร้อยจนหมด

ผมยืนน้ำตาคลอ ไม่รู้เพราะซาบซึ้งใจหรืออับอายกันแน่ แต่สงสัยเราต้องเริ่มไดเอ็ตจริงจังแล้วละ

 



Don`t copy text!