อาคันตุกะ บทที่ 6 : นล
โดย : ดารัช
อาคันตุกะ โดย ดารัช นิยายที่ผ่านการคัดเลือกประกวดพล็อตจากโครงการช่องวันอ่านเอา ครั้งที่ 3 กลุ่มนวนิยาย ‘รักร้าย’ แต่เขียนไม่ทัน โครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่น 4 จึงช่วยให้ดารัชปิดจบนิยายเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ และวันนี้ พร้อมให้นักอ่านได้เพลิดเพลินไปกับเรื่องราวนี้แล้ว
ทัตพลสามารถฆ่าคนได้ไหม
นี่เป็นคำถามแรกที่กลีบบัวถามตัวเอง ตอนที่พบว่ามีบางอัตลักษณ์ยึดครองช่วงเวลาก่อนอุบัติเหตุรถชนไปราวสามวัน
ตอนเจอทัตพลครั้งล่าสุด เขาดูโกรธบุคลิกไปรยามาก แววตาแข็งกร้าวของชายหนุ่มดูราวจะฆ่าคนได้จริงๆ ถ้าไปรยาคิดจริงจังกับทัตพลและไม่ยอมปล่อยเขาไป อย่างเช่น หญิงสาวอาจขู่ว่าจะเปิดโปงเรื่องที่ทั้งคู่คบหากันลับๆ กับรุจิดา แค่นี้ทัตพลก็อาจคลั่งได้แล้ว
แต่คำถามของกลีบบัวไม่ได้รับคำตอบ รุจิดากวาดตามองกลีบบัวตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนชั่งใจว่าจะตบเธอดีไหม ก่อนจะเดินจากไป
“รุ้ง เดี๋ยวก่อนสิ” เธอเรียก วิ่งไปคว้าแขนเพื่อนสนิทไว้ “พี่ทัตเวลาเมามีอารมณ์รุนแรงนี่นา เขาเคยเผลอทำร้ายจนแกเกือบจะขอเลิก ฉันเลยอยากรู้จริงๆ นะ แกเป็นคนที่ใกล้ชิดพี่ทัตที่สุด แกคิดว่าแฟนแกฆ่าคนได้หรือเปล่า”
รุจิดามองกลีบบัวตาค้าง ลืมแม้กระทั่งว่าตัวเองจะสะบัดแขนออก “คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง”
กลีบบัวชะงัก อารามร้อนใจทำให้เธอลืมไปว่าตัวเองอยู่ในร่างพิสชา จนเผลอพูดเรื่องที่รู้กันแค่เธอกับเพื่อนสนิทออกมา
“ฉันถามว่าคุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง!”
กลีบบัวปล่อยแขนเพื่อนสนิท เธอถอนหายใจด้วยความเบื่อหน่ายตัวเอง เพราะแต่ไหนแต่ไร กลีบบัวไม่เคยเลี่ยงการซักไซ้ของรุจิดาได้เลย
พอรู้ตัวอีกที กลีบบัวกับรุจิดาก็มานั่งในร้านกาแฟที่กลีบบัวมานั่งรอเพื่อนสนิทตอนแรก แล้วหญิงสาวก็สารภาพทุกอย่างกับรุจิดาจนหมดเปลือก นับตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในร่างใหม่
“จะบอกว่าคุณ…แก…คนที่คุยกับฉันตอนนี้คือกลีบบัวเหรอ” รุจิดาที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดถือแก้วชาไทยเย็นที่ดูดไปครึ่งหนึ่งค้าง
“ถ้าแกไม่เชื่อละก็ ให้ฉันเล่าวีรกรรมตอนแกไปสารภาพรักกับรุ่นพี่ชมรมถ่ายรูป สมัยเรียนมหาลัยปีหนึ่งยังได้” กลีบบัวอ้าปากจะเล่า
รุจิดาลุกพรวดจากเก้าอี้ สีหน้าโกรธจัด “เล่นพอรึยัง คุณพิสชา”
กลีบบัวชะงัก
“ถ้าเล่นพอแล้วก็เลิกมาวุ่นวายกับฉันซะที” พูดจบ รุจิดาก็คว้ากระเป๋าถือสีเขียวที่กลีบบัวเก็บเงินราวครึ่งปี เพื่อซื้อให้รุจิดาเป็นของขวัญวันเกิด
“เดี๋ยวสิรุ้ง” กลีบบัวเรียกอีกฝ่าย “ฉันคือกลีบบัวจริงๆ นะ”
รุจิดาหันมามองเธอ แววตาหรี่ซึมจนหญิงสาวพูดไม่ออก “ระดับคุณหนูพิสชา จะสืบอดีตของใครน่ะง่ายอย่างกับปอกกล้วยเข้าปาก กะอีแค่สืบเรื่องฉัน แล้วมาทำเป็นพูดนั่นพูดนี่ว่าตัวเองคือกลีบบัว ทำไมจะทำไม่ได้”
“แล้วฉันจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไรล่ะ” กลีบบัวสับสน
“จะไปรู้เหรอ ทำให้เพื่อนสนิทฉันตาย ก็ทำมาแล้วนี่”
ความรู้สึกโดนเกลียด ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย ชวนให้รู้สึกถึงตะกอนหนักหน่วงในใจที่ทำอย่างไรก็สลัดไม่หลุด ยิ่งคนที่เกลียดคือคนที่เราชอบมากๆ อย่างเช่นเพื่อนสนิทของเราด้วยแล้ว…กลีบบัวรู้สึกเหมือนตัวเองเดินวนในเขาวงกตไร้ทางออก ก้าวเท้าไปบนเศษแก้วแหลมๆ ที่สร้างบาดแผลให้เธอในทุกย่างก้าว
“ถอนหายใจอีกแล้วนะ”
กลีบบัวสะดุ้งเมื่อแดนไททักมาจากปลายสาย เธอและแดนไทโทร.หรือไม่ก็วิดีโอคอลคุยกันบ่อย เริ่มจากกลีบบัวถามสูตรอาหารจากย่าฤดี แดนไทขอความเห็นเรื่องเมนูใหม่ของร้านอาหาร กลีบบัวคิดธีมการจัดร้านสำหรับช่วงเทศกาลไห้ แดนไทโทร.มาชวนไปชมนิทรรศการภาพวาด จนกลายเป็นคุยกันสัพเพเหระ บ่อยยิ่งกว่าคุยกับธีรดนย์ที่เป็นคู่หมั้นเสียอีก
“พิสชาเป็นคนยังไงเหรอ” หญิงสาวโพล่งถาม
แดนไทหรี่ตามอง “ถามทำไมเหรอ”
เพราะเธออยากรู้ว่าเขาชอบพิสชาในอัตลักษณ์ไหน “ก็แค่อยากรู้ว่าคนใกล้ตัวมองเรายังไงน่ะ”
คนปลายสายครุ่นคิด “ตอนเด็กๆ พิสชาร่าเริงมากๆ ไม่รู้ตั้งแต่ตอนไหนที่เริ่มเก็บตัว จากนั้นก็ดูรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้ดี ใจเย็นและวางแผนเก่งจนบางทีเหมือนเป็นคนเย็นชา ไม่สนใจอะไรนอกจากตัวเองเลยละ” เขามองเธอ “บางทีก็เข้ากับคนง่าย ขี้เหงา ชอบปาร์ตี้ บางทีก็มีมุมแบบเด็กๆ”
กลีบบัวรู้สึกเหมือนได้ทำความรู้จักพิสชา รัดเกล้า ไปรยา และเด็กหญิงยาหยีไปด้วย
“แต่เราชอบตอนนี้นะ…”
ผีเสื้อในท้องกระพือปีก “ตอนนี้ทำไมเหรอ”
“ก็…อ่อนโยน…”
กลีบบัวส่ายหน้า “แดนต่างหากที่อ่อนโยน” แม้จะมองผ่านสายตาของรัดเกล้าที่คิดวิเคราะห์ คำนวณผลได้เสียทุกอย่าง ในไดอารี่ก็ยังมองแดนไทในแง่นั้น เป็นคนที่คอยอยู่เคียงข้าง ใจดี และทำให้รู้สึกปลอดภัย
แดนไทดูจะจับสังเกตอัตลักษณ์ต่างๆ ของพิสชาได้ดี เขาน่าจะเคยเจอทั้งรัดเกล้า ไปรยา และยาหยี รวมทั้งบุคลิกเดิมอย่างพิสชาเองด้วย กลีบบัวรู้สึกอิจฉาพิสชา เหมือนมีงูร้ายพันรอบหัวใจของเธอ เป็นงูขี้อิจฉาเสียจนหญิงสาวรู้สึกละอาย
“ว่าแต่ตอนเด็กๆ พิสชาเท่มากเลยนะ” แดนไทเสริม “เราอยู่กับย่าและพี่ เลยโดนเพื่อนในห้องล้อเรื่องพ่อแม่ ทำนองว่าพ่อแม่หย่ากันแล้วทิ้งพวกเราสองพี่น้องไป แต่พิสชาก็ยังชวนอธินมาเล่นกับเรา”
พิสชาเท่เสียขนาดนี้ กลีบบัวคงสู้ไม่ได้
“จะว่าไป เราเองก็ไม่ต่างหรอก เราก็อยู่กับย่าและพี่เหมือนกัน เข้าใจเลยเวลาโดนเพื่อนล้อ” เธอพูด ในกรณีของกลีบบัวต่างไปเล็กน้อย พ่อแม่ของแดนไทจากเป็น แต่พ่อแม่ของเธอจากตาย แม่ป่วยด้วยโรคร้าย ส่วนพ่อตรอมใจตามแม่ไป เด็กเกเรบางคนในโรงเรียนเอาเรื่องนี้มาล้อกลีบบัว แต่รุจิดาก็ช่วยโต้กลับไปทุกครั้งจนไม่มีใครกล้ามาว่าอะไรกลีบบัวอีก
“ดีจังที่แดนมีพิสชา” เธอรำพึง ถึงฮีโร่ในวัยเด็กของอีกฝ่ายจะไม่ใช่เธอ แต่กลีบบัวก็ดีใจที่เด็กชายแดนไทไม่ต้องเจ็บปวดเพียงลำพัง
ยังไม่ทันคุยกันต่อ ก็มีสายโทรศัพท์เข้า แม้ไม่ได้บันทึกเบอร์โทรไว้ กลีบบัวก็จำเบอร์รุจิดาได้ ตอนเจอกันเธอให้เบอร์เพื่อนสนิทไป แต่ไม่ได้คาดหวังว่ารุจิดาจะโทร.หา
กลีบบัวรีบวางสายจากแดนไท
ทันทีที่รับสาย รุจิดาก็พูดเสียงสั่น “ช่วยฉันด้วย”
สวนสาธารณะยามค่ำคืนเปิดไฟสลัวพอให้มองเห็นทางเดิน รอบสนามฟุตบอลเป็นลู่วิ่งความยาวต่อรอบประมาณห้าร้อยเมตร มุมสนามเด็กเล่นที่อยู่ถัดออกไปมีเครื่องเล่นหลากหลาย ข้างๆ เป็นลานบาสเกตบอลและมุมสำหรับเล่นสเกตบอร์ด มีอัฒจันทร์ไม้สี่ขั้นบันไดล้อมรอบ
กลีบบัวจอดรถด้วยมือสั่นเทา ใจจริงเธอยังแอบกลัวการขับรถ แต่ความเป็นห่วงรุจิดามีมากกว่า เพื่อนรักโทร.มาขอให้ช่วย และบอกว่าตอนนี้หลบอยู่ที่สวนสาธารณะแถวบ้าน ฟังแค่นั้น หญิงสาวก็รีบคว้ากุญแจแล้วบึ่งรถออกมาทันที
หญิงสาวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปมุมสนามเด็กเล่น มีอุโมงค์เด็กเล่นชิ้นหนึ่งที่สองสาวใช้เป็นที่ซ่อนตัวบ่อยๆ เวลาเล่นซ่อนแอบสมัยประถม
รุจิดาหลบอยู่ที่นั่นจริงๆ เพื่อนรักของกลีบบัวสวมชุดนอนขาสั้นสีเขียวราวเตรียมจะเข้านอน สีหน้ากังวล ผมดำยาวกระเซิงราวเพิ่งวิ่งหนีใครมา
“รุ้ง เกิดอะไรขึ้น”
“พี่ทัตแอบเข้าห้องนอนฉัน” รุจิดาละล่ำละลักพูด น้ำตานองหน้า “วันนี้พ่อแม่ไม่อยู่ ไปงานแต่งหลานเพื่อนสนิท เลยมีแค่ฉันในบ้านคนเดียว ฉันแอบหนีออกมา ฉันกลัว ฉัน…”
กลีบบัวจับไหล่เพื่อน “ใจเย็นก่อนรุ้ง เล่ามาให้ละเอียดอีกที ยังไงนะ”
ยังไม่ทันซักไซ้ มือแข็งแกร่งราวคีมหนีบก็ดึงแขนกลีบบัวลากไปด้านหลังจนเธอปวดแปลบ
“เสนอหน้ามาทำไมวะ ไปรยา กูบอกว่าอย่ามายุ่งกับรุ้งไง!” ทัตพลพูดเสียงลอดไรฟัน ใบหน้าถมึงทึง
“นี่มันเรื่องอะไร” กลีบบัวไม่เข้าใจ
ทัตพลดูโกรธจัด กลีบบัวได้กลิ่นแอลกอฮอล์โชยมาจากร่างของอีกฝ่าย “มึงเอาเรื่องที่เรานอนกันไปบอกรุ้งใช่ไหม รุ้งถึงขอเลิกกับกู ไหนตอนเจอกัน มึงบอกว่าพวกเราจะเล่นๆ กันไงวะ!”
พูดไม่พูดเปล่า ทัตพลที่เดือดจัดถลันมาหาเธอ หมัดลุ่นๆ ต่อยเข้าที่ท้องจนกลีบบัวกลิ้งโค่โล่ลงไปบนพื้น ตามมาด้วยลูกเตะ หญิงสาวตกใจ พยายามขดตัวเป็นลูกบอลเพื่อให้ร่างกายเจ็บปวดน้อยที่สุด ได้ยินเสียงกรีดร้องของรุจิดาที่บอกให้ทัตพลหยุด
“พี่ทัต อย่าทำร้ายคนอื่นนะ รุ้งขอเลิกกับพี่เพราะเราเข้ากันไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับใครเลย หยุดนะ รุ้งบอกให้หยุดไง!”
ใครๆ ต่างพูดกันว่าวันเวลาผ่านไปรวดเร็วราวติดปีก พอรู้ตัวอีกทีก็หมดวัน ทั้งที่ยังไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง
เด็กหนุ่มวัยสิบเก้าปีอย่างนลรู้สึกอย่างนั้นเป็นที่สุด
เช้านี้อากาศดี นลสวมเสื้อยืดตัวโคร่งกับกางเกงวอร์ม ออกไปวิ่งที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน เด็กหนุ่มเบ้หน้าตอนเปิดตู้เสื้อผ้าแล้วเห็นชุดกระโปรงของผู้หญิงเต็มไปหมด ตอนแรกนลคิดว่าพวกคนรับใช้แกล้งเขา ทั้งจัดห้องสีหวานแหวว วางเตียงสี่เสาแบบเตียงเจ้าหญิงไว้ในห้อง แต่พ่อแม่กลับร่วมด้วย ตอนเดินห้างสรรพสินค้า แม่ซื้อชุดกระโปรงให้ พอนลโวยวาย พ่อก็ฟาดเขาที่บ้านไม่ยั้งโทษฐานทำตัวหลุดโลกในที่สาธารณะ นลเคยเอาโปสเตอร์วงดนตรีร็อกที่ตัวเองชอบมาแปะผนังห้องเพื่อไม่ให้ดูสาวเกินไปนัก แต่พอตื่นมาอีกวัน โปสเตอร์ที่นลอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบเพื่อซื้อกลับอันตรธานอย่างไร้ร่องรอย พวกสาวใช้ปฏิเสธไม่รู้เรื่องถ่ายเดียว
เขาชอบการวิ่ง ชอบเรียนมวยด้วย นลอยากแข็งแกร่ง เขารู้สึกว่าตัวเองต้องแข็งแกร่งเพื่อปกป้องใครบางคน อีกอย่าง การออกกำลังกายช่วยให้นลเลิกคิดเรื่องพ่อแม่ที่พยายามยัดเยียดให้เขาเป็นเด็กผู้หญิงไปได้แม้ชั่วขณะ เขารู้จักลุงคนหนึ่งที่โรงยิม ต่อยมวยด้วยกันบ่อยจนสนิทกัน เป็นหนึ่งในช่วงเวลาดีๆ แทบนับนิ้วได้
ดูเหมือนโลกที่เด็กหนุ่มหายใจได้สะดวกมีแค่ตอนต่อยมวย และต่อหน้าคนรักของเขา
นลเร่งฝีเท้าขึ้นจนสุดแรง รู้สึกถึงพลังที่พลุ่งพล่านพอๆ กับความโกรธ พ่อแม่คงอยากมีลูกสาวเสียจนอย่างน้อยให้นลแต่งตัวเป็นผู้หญิงก็ยังดีกระมัง
เขาวิ่งเร็วขึ้น เขาจะต้องแข็งแกร่ง และสักวันนลจะไปจากคฤหาสน์หลังโตโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอีก
เด็กหนุ่มหายใจหอบ หยุดพักเหนื่อย หลับตา เขาชอบเวลาที่ตัวเองจดจ่อกับเสียงหัวใจเต้น สายลมเย็นที่พัดโชย จนไม่สนใจเรื่องอื่นๆ อีก
พอลืมตาขึ้นมา เขากลับนอนงอตัวอยู่บนพื้น นลมักไปโผล่ตามที่ต่างๆ โดยไม่มีความทรงจำระหว่างนั้นเสมอ คนรักของนลเคยพูดถึงระบบออโต้ไพล็อตให้ฟัง เป็นระบบที่สมองทำงานโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้ความคิด เรียกว่าทำงานโดยไม่รู้ตัว มักเกิดกับพฤติกรรมที่ทำซ้ำๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิจดจ่อ คนรักของนลชอบพูดว่าบางทีเวลาขับรถ ตัวเองเอาแต่คิดเรื่องอื่น พอรู้ตัวอีกทีก็ถึงที่หมายแล้ว
นลคิดว่าเขาคงทำกิจกรรมต่างๆ ประจำวันแบบออโต้ไพล็อตกระมัง ความทรงจำต่างๆ จึงไม่ค่อยปะติดปะต่อ กระทั่งคนรักยังชอบบอกว่านลเอาแต่นั่งเหม่อ
ความปวดแปลบที่สีข้างดึงเด็กหนุ่มกลับมายังปัจจุบัน เขานึกไม่ออกเลยว่าตัวเองอยู่ไหน เขามองลอดแขนที่บังใบหน้าไว้ ผู้ชายร่างกำยำ อายุราวยี่สิบกลางๆ กำลังเตะเขาด้วยใบหน้าราวจะกินเลือดกินเนื้อ
นลกัดฟัน อาศัยจังหวะที่อีกฝ่ายซัดปลายเท้าลงมาที่หลังของเขาจนดังแอ้ก เกร็งแล้วหมุนตัวออกมา ผู้ชายแปลกหน้ากำลังเสียการทรงตัวเพราะจุดศูนย์ถ่วงร่างกายเสียสมดุลจากการใช้แรงเตะนล ตอนนี้จึงเซนิดๆ
นลรีบลุกขึ้นยืน เตะตัดขาไม่มั่นคงของฝ่ายตรงข้ามพลางกวาดตามองรอบตัวเพื่อประเมินสถานการณ์ รอบตัวเขาคือสวนสาธารณะยามค่ำ หญิงสาวร่างเล็ก วัยยี่สิบกลาง ผมกระเซิง ใบหน้าหวาดกลัวกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
นลมองผู้ชายที่ล้มลงไปบนพื้นด้วยความโมโห เขาเกลียดพวกที่ชอบรังแกผู้หญิงเป็นที่สุด คู่ต่อสู้ของนลคงทำร้ายผู้หญิงตัวเล็ก แล้วนลเข้ามาช่วยจนเกิดการต่อสู้กัน
นลใช้จังหวะที่ชายหนุ่มบนพื้นยังตกใจอยู่ ขึ้นคร่อมร่างอีกฝ่าย รัวหมัดใส่ไม่ยั้ง แม้เขาจะตัวเล็กกว่า แต่นลออกกำลังกายบ่อย แถมยังเรียนมวย เขารวมกำลังไว้ที่หมัด ต่อยไปยังจุดที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่คู่ต่อสู้ที่สุด
“หยุดนะ หยุด อย่าทำพี่ทัต คุณพิสชา! กลีบบัว! หยุดเดี๋ยวนี้” คราวนี้ผู้หญิงร่างเล็กเปลี่ยนเป็นร้องห้าม พยายามดึงตัวเขาออกมา
แขนแข็งแรงของผู้ชายอีกคนดึงนลออกจากร่างคู่ต่อสู้ ที่บัดนี้เลือดเลอะเต็มหน้า นลหันขวับไปยังผู้ชายร่างสูง คิ้วเข้ม พอเห็นหน้าอีกฝ่ายชัดๆ เขารู้สึกโกรธจัด
“ลุงเป็นพวกของไอ้เวรนี่เหรอ!”
“หยุดเถอะ” ผู้ชายคิ้วเข้มพูดกับเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “หยุดได้แล้ว ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะนล”
พอรู้สึกตัว กลีบบัวพบตัวเองนั่งอยู่บนรถของแดนไท
“รุ้งล่ะ!” กลีบบัวพูดเสียงตระหนก เธอรีบสำรวจสถานการณ์รอบตัว ทัตพลที่ซ้อมเธอหายไปแล้ว หญิงสาวไม่ได้อยู่ที่สวนสาธารณะอีกต่อไป
“ฉันอยู่นี่” เสียงรุจิดาดังมาจากที่นั่งด้านหลัง
หญิงสาวหันไปมองเพื่อนรัก ถอนหายใจโล่งอก เธอยื่นมือให้รุจิดาจับ รู้ว่าอีกฝ่ายคงทั้งกลัวทั้งตกใจ รุจิดาจับมือกลีบบัว มือของเพื่อนสนิทสั่นเทา
“แกเจ็บตรงไหนไหม”
“แกนั่นแหละที่เจ็บ” รุจิดากล่าวเสียงเครือ ราวพยายามกลั้นน้ำตา
“พิสชายังเจ็บตรงไหนไหม” แดนไทถาม
กลีบบัวมองสีหน้ากังวลของแดนไท พยายามทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าให้เดา ตอนโดนทำร้าย บุคลิกของยาหยีอาจจะออกมาเพื่อทำหน้าที่ผู้รับความเจ็บปวด พอคิดว่าตัวเองปล่อยให้เด็กผู้หญิงวัยสิบสามต้องเผชิญกับการโดนทำร้าย กลีบบัวก็หน้าชาด้วยความละอาย
กลีบบัวสำรวจตัวเอง เธอสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น คนละชุดกับที่ตัวเองสวมตอนเร่งออกมาหารุจิดา
“ตอนแวะทำแผลที่คลินิก ชุดที่พิสชาใส่เลอะเลือดเยอะเกิน เลยซื้อเสื้อผ้าใหม่มาให้เปลี่ยนน่ะ”แดนไทอธิบาย
“แดนตามมาที่สวนสาธารณะได้ยังไง” กลีบบัวถาม
“ตอนโทรคุยกัน จริงๆ เราอยู่หน้าบ้านพิสชาน่ะ” ชายหนุ่มสารภาพ
“หน้าบ้านเหรอ” กลีบบัวเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ”
“ก็…ก่อนหน้านี้ พิสชาถามย่าฤดีเรื่องหนังสือแมนูอาหารที่คุณย่าเคยเขียน เราเลยบอกว่าถ้าหาเจอจะเอามาให้อ่าน” แดนไทก้มหน้าเหมือนจะเขิน “วันนี้เราค้นเจอ อารามดีใจเลยอยากรีบเอามาให้น่ะ…แต่ดันเห็นพิสชาขับรถออกไป ท่าทางร้อนใจแปลกๆ เลยขับตามมา แต่ดันคลาดกันก่อนถึงสวนสาธารณะนิดเดียว”
แดนไทมีสีหน้าเจ็บใจ “ขอโทษที่มาช้านะ” เขามองเธอด้วยแววตาเศร้าสร้อย “ยังเจ็บมากไหม”
กลีบบัวมองสำรวจตัวเองอีกครั้ง เธอรู้สึกร้าวตรงซี่โครงที่โดนเตะ จุกตรงท้อง ปวดหลัง แต่นอกนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ขอบคุณนะแดนที่มาช่วย”
“เราไม่ได้ช่วยอะไรเลย” เขายิ้มเศร้า
แดนไทขับรถมาจอดหน้าบ้านชั้นเดียวขนาดกะทัดรัดของรุจิดา ตอนจอดรถหน้าบ้าน ชายหนุ่มหันไปถามรุจิดาย้ำ “แน่ใจนะครับว่าจะนอนที่บ้านคืนนี้ ถึงนายทัตพลจะโดนตำรวจจับไปแล้วก็จริง แต่คุณโอเคใช่ไหมครับ…คุณบอกว่าเขาแอบตามคุณมาในห้องนอนด้วยนี่นา”
รุจิดาพยักหน้าหนักแน่น “ฉันนอนที่บ้านได้ค่ะ อีกอย่าง ยัยบัว…หมายถึงคุณพิสชาสภาพแบบนี้คงกลับบ้านไม่ได้ ไม่งั้นต้องตอบคำถามที่บ้านยาวแน่ๆ”
“ผมว่าไปนอนบ้านผม”
“เราจะนอนบ้านรุ้งนี่แหละแดน” กลีบบัวตัดบท “มันดึกแล้ว ถ้านอนบ้านแดนก็ต้องกวนคุณย่าฤดี”
แดนไทถอนหายใจ ชูมือขึ้นสองข้างเป็นเชิงยอมแพ้ “งั้นก็ได้ แต่เราขอค้างด้วยได้ไหม…”
กลีบบัวเบิกตาโพลง “จะค้างด้วยเหรอ”
“อืม เราเป็นห่วง เดี๋ยวเรานอนเฝ้าที่โซฟา”
“แต่…” กลีบบัวทำท่าจะแย้ง
“ดีเลยค่ะ เฝ้าเลยค่ะ” น้ำเสียงของรุจิดาสดใสเหมือนเวลาจะจับคู่ให้กลีบบัวสมัยมัธยม “ผู้หญิงสองคนอยู่ในบ้าน น่ากลัวออกค่ะ ถ้าคุณแดนมานอนเฝ้า พวกเราจะได้อุ่นใจ จริงไหมคะ คุณพิสชา”
กลีบบัวมองค้อนเพื่อนสนิท แต่ก็ไม่อาจแย้งแดนไทและรุจิดาที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยได้
“นลเหรอ” กลีบบัวทวนคำเมื่อฟังเหตุการณ์ที่สวนสาธารณะอย่างละเอียดจากรุจิดาในวันรุ่งขึ้น เพราะเมื่อคืนพวกเธอเพลียทั้งคู่จนผล็อยหลับไปตั้งแต่หัวถึงหมอนเลยยังไม่ได้คุยกัน…บุคลิกนลปรากฏตัวเพื่อช่วยให้ร่างของพิสชารอดพ้นจากอันตราย ที่กลีบบัวติดใจคือเท่าที่รุจิดาเล่า แดนไทดูไม่ตกใจที่จู่ๆ กลีบบัวต่อยตีเก่ง แถมยังเรียกเธอว่านล
ราวกับเขารู้เรื่องโรคหลายบุคลิก
กลีบบัวกัดริมฝีปากด้วยความกังวล ถ้าแดนไทกลัวเธอล่ะ ถ้าเขาเว้นระยะห่างกับเธอล่ะ…
“หน้าเครียดจัง คิดอะไรอยู่เหรอ” รุจิดาถาม
เธอและรุจิดานั่งตรงข้ามกันในร้านกาแฟข้างอาคารที่รุจิดาทำงาน ที่เดียวกับตอนกลีบบัวมาดักรอเพื่อนสนิทเพื่อถามเรื่องทัตพล แต่ตอนนี้ทุกอย่างต่างออกไป รุจิดาเชื่อเรื่องที่กลีบบัวบอก
“ว่าไงยัยบัว” เพื่อนรักย้ำ
“แกเชื่อว่าฉันคือกลีบบัวตอนไหนเหรอ” กลีบบัวเบี่ยงประเด็น
“จริงๆ ฉันก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง” เพื่อนสนิทยอมรับ “แต่พอบอกแกว่าอยู่สวนสาธารณะ แกก็มาถูก แถมยังรู้ที่ซ่อนลับของพวกเรา…ฉันก็เลยรู้ว่าเป็นแกแน่ๆ”
รุจิดาเล่าว่าเธอระหองระแหงกับทัตพลตั้งแต่เตรียมงานแต่ง ทำให้รู้สึกเข้ากันไม่ได้ และลังเลที่จะใช้ชีวิตด้วยกัน แถมยังมีเรื่องที่กลีบบัวเสียชีวิต ทำให้รุจิดาอยากมีเวลาให้ตัวเองใคร่ครวญ แต่ทัตพลกลับเร่งรัดเรื่องแต่งงาน ความเหนื่อยล้า ความไม่เข้าใจกัน ทำให้รุจิดาบอกเลิกกับทัตพล โดยช่วงเวลาดังกล่าวเกิดหลังจากกลีบบัวได้เจอทัตพลที่คอนโดฯ และเขาเรียกเธอว่าไปรยาไม่นานนัก
ทัตพลไม่ยอมรับเรื่องที่รุจิดาขอเลิก แอบสะกดรอยตาม จนถึงจุดที่รุจิดาทนไม่ไหวเมื่อพบว่าอดีตคนรักแอบงัดแงะเข้ามาในบ้านเพื่อนั่งจ้องตอนเธอหลับ!
“ถึงว่า พี่ทัตเลยเข้าใจว่าไปรยาบอกแกเรื่องที่เขานอกใจ” กลีบบัวเปรย
“ไปรยา” รุจิดาขมวดคิ้ว “คนที่เป็นอีกอัตลักษณ์ของคุณพิสชาใช่ไหม”
“คนที่เซ็กซี่ๆ” กลีบบัวเสริม แล้วเธอก็หน้าเจื่อนลง “ฉันขอโทษนะเรื่องพี่ทัต ฉันไม่รู้ว่าเขากับไปรยาจะ…”
“ทำไมแกต้องทำเหมือนเป็นความผิดตัวเองล่ะ” เพื่อนสนิทถาม “เรื่องที่เกิดขึ้น เกิดจากบุคลิกอื่น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแกเลย แกไม่ต้องรับผิดชอบอะไรกับสิ่งที่แต่ละบุคลิกทำด้วยซ้ำ แกไม่ใช่คุณพิสชาเสียหน่อย”
“แล้วถ้า…” กลีบบัวเผยความกังวลลึกๆ ของตัวเองออกมา “ถ้าเกิดจริงๆ แล้วฉันก็เป็นอีกแค่บุคลิกหนึ่งล่ะ…”
เพื่อนสนิทจับมือกลีบบัว ส่งยิ้มให้ “แกจะเป็นอีกบุคลิกได้ไง คุณพิสชาจะมารู้จักฉันขนาดนี้ได้ไง ฟุ้งซ่านใหญ่แล้วยัยบัว”
คำพูดหนักแน่นของรุจิดาทำให้กลีบบัวยิ้มออก “นั่นสิ ฉันมันบื้อจริงๆ”
“พวกเราเจอแต่เรื่องอะไรกันเนี่ย” รุจิดาแกล้งบ่น “ไปเดตกันดีกว่า…ดูหนัง กินไอติม ช็อปเสื้อผ้า ดูช็อปน้ำหอม แล้วก็ทำทุกอย่างที่แกอยากทำเลย”
กลีบบัวหลุดขำ “ใช่ที่ฉันอยากทำแน่เหรอ” แต่ละรายการเป็นเรื่องที่เพื่อนรักของกลีบบัวชอบทั้งนั้น
กระนั้น สองสาวก็จูงมือกันเข้าร้านเสริมสวย ทำผมดัดลอนแบบเดียวกัน สลับเสื้อผ้ากันสวม กลีบบัวอยู่ในชุดกระโปรงลายสกอตสีเขียวของรุจิดา ส่วนอีกฝ่ายสวมเดรสสีขาวขาตุ๊กตาของกลีบบัว
“นึกถึงแต่ก่อนตอนพวกเราชอบสลับชุดกันใส่เนอะ” รุจิดายิ้มขำ ระหว่างเดินเลือกเสื้อผ้าในห้างสรรพสินค้ากับกลีบบัว
“อืม พวกเพื่อนๆ ล้อว่าพวกเราเหมือนกันอย่างกับฝาแฝด ถึงหุ่นพวกเราจะต่างกันก็เถอะ” กลีบบัวตอบ รุจิดาร่างเล็กบอบบาง ส่วนกลีบบัวก็เป็นสาวร่างท้วมมาแต่ไหนแต่ไร
เพื่อนสนิทมองสำรวจกลีบบัว ก่อนกล่าว “แต่ตอนนี้ดูเป็นแฝดกันอยู่นะ” รุจิดาตัวเล็กกว่าพิสชาที่มีร่างสูงระหงก็จริง แต่เพื่อนรักของกลีบบัวใส่ส้นสูงจนมีส่วนสูงไล่เลี่ยกัน
สองสาวหัวเราะ ควงแขนกัน กลีบบัวอมยิ้ม ดีใจที่ตัวเองได้เพื่อนสนิทกลับมา เธอไม่ได้สูญเสียทั้งหมดในฐานะกลีบบัวไปอย่างที่ตัวเองคิดตอนแรก
“ว่าแต่ ยังไงน่ะเรา” รุจิดากระเซ้า มีรอยยิ้มพราวในดวงตา
“ยังไง เรื่องอะไรเหรอ” กลีบบัวงง
“ก็คุณแดนไทไง” รุจิดายื่นหน้ามาใกล้ ราวจะคาดคั้น “ตอนแกเล่าเรื่องสลับร่างไปเป็นคุณพิสชาให้ฟัง ฉันได้ยินแต่ชื่อคุณแดนไทจนขี้เกียจนับแล้วนะ”
กลีบบัวหน้าร้อนผ่าว เธอไม่รู้ตัวเลยว่าพูดชื่อแดนไทบ่อยขนาดนั้น
“เวลาเรารักใคร ชื่อที่เพราะที่สุดสำหรับเราก็คือชื่อของคนคนนั้นสินะ…” รุจิดาแกล้งเปรย
“พอเลยยัยรุ้ง”
รุจิดาหัวเราะคิก เพื่อนรักของกลีบบัวยังคงหัวเราะ ตอนที่มีผู้ชายร่างสูง สวมเสื้อฮูดสีดำปกปิดหน้าตา สวมหน้ากากอนามัยเพื่อบดบังใบหน้า เดินตรงเข้ามา แล้วเอามีดปลายแหลมแทงรุจิดาจากทางด้านหลังจนมิดด้าม!
- READ อาคันตุกะ บทที่ 8 : ไอหมอก
- READ อาคันตุกะ บทที่ 7 : ผนึกกำลัง
- READ อาคันตุกะ บทที่ 6 : นล
- READ อาคันตุกะ บทที่ 5 : อาคันตุกะ
- READ อาคันตุกะ บทที่ 4 : มีคนจะฆ่าพวกเรา
- READ อาคันตุกะ บทที่ 3 : นกน้อยในกรง
- READ อาคันตุกะ บทที่ 2 : ในภาพฝัน
- READ อาคันตุกะ บทที่ 1 : แม่หนูล่ะ อยากเปลี่ยนอะไรไหม
- READ อาคันตุกะ : บทนำ