สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 1 : หลงในเวลา

สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 1 : หลงในเวลา

โดย : แก้ว การะบุหนิง

Loading

สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4  มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”

ความวุ่นวายอึกทึกของโรงพยาบาลรัฐบาลเป็นเรื่องปกติ…ไม่มีวันไหนที่ตึกผู้ป่วยจะเงียบสงบ  ในเมื่อยังมีการเกิด แก่ เจ็บ และการตายเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน คนที่มาโรงพยาบาลทุกคนต่างมาด้วยอาการเจ็บป่วยไม่สุขสบายทั้งกายและใจ บางคนก็หายจากการเจ็บป่วยกลับไปใช้ชีวิตได้เช่นเดิม บางคนก็ต้องเทียวเข้าเทียวออกโรงพยาบาลด้วยโรคเรื้อรัง ต้องพึ่งหมอพึ่งยาตลอดทั้งชีวิต…และบางคนเมื่อโรคร้ายรุกรานเกินเยียวยา…เมื่อนั้นพวกเขาได้ทิ้งร่างไร้วิญญาณไว้ที่นี่

“เคสนี้ใส่เครื่องช่วยหายใจมาหลายวันแล้วคนไข้ยังไม่ดีขึ้นเลย ไม่รู้สึกตัวแต่ความดันกลับไม่ต่ำเลย พี่คีย์คิดว่าไงคะ”พยาบาลสาวเวรดึกนั่งเขียนเอกสารอยู่ที่เคาน์เตอร์ตั้งคำถามก่อนจะเงยหน้ามาคุยกับเพื่อนพยาบาลคู่เวรอีกคนที่ยืนผสมยาฉีดให้กับคนไข้อยู่เงียบๆ

“อืม น่าแปลก” พยาบาลสาวร่างผอมหันมาสบตาเพื่อนร่วมทีมแวบหนึ่งก่อนจะหันกลับไปสนใจการเตรียมยาฉีดต่อ

ภายในหอผู้ป่วยรวม ผู้ป่วยส่วนใหญ่กำลังนอนหลับพักผ่อนเพราะเวลาล่วงเลยเกือบตีสาม แต่ก็มีบางคนที่ต้องทนอยู่กับความคิด ความเจ็บปวดอย่างยากที่จะหลับใหลยามราตรี…นี่คือสัจธรรมของการเกิด แก่ เจ็บ และตายของมนุษย์ที่ไม่มีสถานที่ใดสื่อสารความหมายได้มากและดีเท่าโรงพยาบาล

“พี่คีย์นี่นะไม่รู้ ไม่เชื่อหรอก นักเรียนเกียรตินิยมนี่นะ” อีกฝ่ายยังทำหน้าเป็นทั้งๆ ที่เวลาล่วงเลยมาจนใกล้สว่าง ชีวิตการทำงานของพยาบาลก็แบบนี้กินนอนไม่เป็นเวลาเหมือนคนทำอาชีพอื่นแต่เวลาทำงานก็ต้องตื่นตัวเสมอ แม้ว่านาฬิกาชีวิตกำลังแผลงฤทธิ์บังคับร่างกายให้ต้องพักผ่อน

“แหม ใครจะไปรู้ทุกเรื่องล่ะจ๊ะ” อีกฝ่ายค้อนปะหลับปะเหลือกก่อนจะดันรถเข็นใส่ยาฉีดที่เตรียมเสร็จแล้วออกไปยังเตียงผู้ป่วย ทิ้งให้เพื่อนพยาบาลคู่เวรนั่งค้อนกับกองเอกสารคนเดียว

 

“ลุงวินัย ทำไมลุงไม่ฟื้นสักทีนะ” พยาบาลสาวพูดกับคนไข้ที่นอนหายใจตามแรงบีบของเครื่องช่วยหายใจด้วยความแปลกใจ

ผู้ชายคนนี้มานอนรักษาตัวด้วยอาการระบบหายใจล้มเหลวไม่สามารถหายใจเองได้มาร่วมเดือน    เขาเหมือนคนหลับใหลที่หัวใจยังทำงานตามปกติ ไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นขึ้นมาหรือว่าอาการแย่ลงไปกว่านี้ ท่าทางเหมือนคนนอนหลับนั้นทำให้แพทย์เจ้าของไข้ทอดถอนหายใจทุกครั้งที่มาเยี่ยมอาการคนไข้

“ผลเอกซเรย์สมองก็ไม่เจออะไร เกลือแร่ในร่างกายก็ปกติ ตรวจหัวใจก็ปกติ ผมล่ะงงกับเคสนี้จริงๆ” แพทย์เจ้าของไข้บ่นแทบทุกครั้งที่มาตรวจคนไข้ เพราะไม่ว่าจะตรวจวินิจฉัยด้วยเครื่องมือสมัยใหม่แค่ไหน…ผลที่ออกมาก็เหมือนเดิมคือไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ

“ฉีดยานะลุง” มาคี พยาบาลเวรดึกบอกกับคนที่นอนนิ่งราวกับกำลังหลับใหล หญิงสาวจ้องมอง คนตรงหน้า ก่อนจะหยิบสายน้ำเกลือขึ้นมาเพื่อฉีดยาให้คนไข้ตามเวลาที่กำหนด

โดยไม่ทันตั้งตัว ชายสูงวัยที่นอนแน่นิ่งราวกับหลับใหลลืมตามามอง จ้องที่มาคีเขม็ง หญิงสาวผงะอย่างตกใจ เพราะไม่คิดว่าคนที่นอนไม่ได้สติจะลืมตาขึ้นมาแถมยังจ้องมาที่เธอเขม็ง จนมาคีเซเสียหลักไป

“ว้าย” มาคีเผลออุทานก่อนจะเอามือปิดปากแน่น รู้สึกแขนขาอ่อนแรงจนแทบเป็นลม เธอหายใจหอบถี่อย่างตื่นตกใจ “ละ ลุงวินัย ลุงฟื้นแล้ว” มาคีคล้ายเปรยกับตัวเอง สายตาของคนที่นอนนิ่งจ้องมองมาที่มาคีไม่กะพริบ หญิงสาวหันกลับไปที่เคาน์เตอร์เห็นเพื่อนร่วมงานยังก้มหน้าก้มตาอยู่ที่กองเอกสาร ไม่มีวี่แววจะเงยหน้ามามอง ส่วนผู้ช่วยเหลือคนไข้ก็เก็บของอยู่ที่ห้องเก็บเครื่องมือด้านหลังยังไม่กลับออกมา คนไข้เตียงข้างก็อยู่ในภาวะโคม่า…มีเพียงเธอกับชายสูงวัยเท่านั้นที่สบตากันอยู่ในความสลัวของเวลาตีสามกว่า

“ละ ลุงเป็นไงบ้างคะ” มาคีถาม ทำไมเธอถึงสัมผัสไออุ่นชีวิตของคนที่นอนอยู่ตรงนั้นไม่ได้ สายตานั้นจ้องเขม็ง ร่างที่นอนนิ่งแข็งทื่อไร้ชีวิตชีวา แสงไฟสีส้มที่ใช้ยามค่ำคืนในหอผู้ป่วยเพื่อให้คนไข้ได้พักผ่อนตามสมควรในสภาพแวดล้อมที่เจ้าหน้าสามารถทำงานดูแลผู้ป่วยได้ไม่ช่วยให้เห็นใบหน้านั้นชัดเจนนัก

มาคีสูดลมหายใจก่อนจะค่อยๆ ตั้งสติให้กลับมา…เช่นทุกครั้ง มันไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอเจอเหตุการณ์แบบนี้ แต่เธอก็ไม่เคยชินสักครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้าแบบกะทันหัน

 

เจ็ดปีก่อน…ตอนที่มาคียังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า เธอและพ่อประสบอุบัติเหตุรถยนต์คว่ำ พ่อของมาคีเสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันที มาคีได้รับการกระทบกระเทือนที่ศีรษะ มีเลือดออกในสมองต้องอยู่ในสภาวะครึ่งเป็นครึ่งตายร่วมเดือน ระหว่างที่เธอต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมาคีรับรู้ว่าพ่อนั่งกุมมือเธอไว้ทุกครั้งที่เธอมีสติ พ่อคุยกับมาคีทุกวัน แต่เธอจำไม่ได้ว่าพ่อพูดอะไรบ้าง จนในที่สุดก็ฟื้นมาจากสภาวะครึ่งเป็นครึ่งตายเพื่อจะพบว่าพ่อเธอเสียชีวิตไปแล้ว หลังจากฟื้นมาครั้งนั้นมาคีกลับมีชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม

“กรี๊ด” ภาพของหญิงสาวที่ยืนข้างๆ ทำให้คนที่มีใบหน้าซีดเผือดทรุดลงกับที่ หญิงสาวหันมามองคนที่ทรุดอยู่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตา ใบหน้าคนที่มองมาเผือดซีดกว่าอีกคนดวงตาแห้งผากทั้งๆ ที่มีน้ำตาไหลริน…เธอเป็นคนเดียวกับคนที่นอนนิ่งบนเตียงที่แพทย์และพยาบาลกำลังทำการช่วยฟื้นคืนชีพ…

“ช่วยด้วย” เสียงแผ่วเบานั้นลอดออกมาจากริมฝีปากบางของหญิงสาว “ช่วยด้วย” คำพูดเดิมยังย้ำออกมา เสียงแผ่วเบานั้นสั่นไหวหวาดกลัว

มาคีส่ายหน้าอย่างเสียขวัญ “ไม่” เธอครางเสียงสั่นด้วยความหวาดกลัว “ไม่ ไม่ใช่” มาคีส่ายหัวไปมาราวกับคนเสียสติก่อนจะกรีดร้องออกมา “ไม่นะ กรี๊ด…”

“คุณ คุณคะ คุณ ใครช่วยทางนี้หน่อย” เสียงหนึ่งแว่วมาพร้อมกับมืออุ่นๆ ที่จับแขนของมาคีเขย่าอย่างแรงเพื่อเรียกสติ คงเป็นเจ้าหน้าที่ “ใครปล่อยคนไข้ออกมาเดินที่นี่นะ” เสียงของผู้หญิงคนเดิมบ่นเบาๆ …แน่ละเธอเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาล…เป็นคนที่มีชีวิตของที่นี่…มาคีรู้สึกสติสุดท้ายขาดไปพร้อมกับมืออุ่นๆ ของใครบางคนที่เข้ามาประคองเธอไว้

ในห้วงที่สติล่องลอยหมุนวนไปรอบด้าน มาคีรู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยไปอย่างไม่รู้ทิศทาง หวาดกลัวและสับสนกับสถานที่ไม่คุ้นเคย เธอมองเห็นหลายแห่งเป็นจุดดำมืด หลายแห่งกลับสว่างจนปวดแสบตา  ไม่รู้ต้องไปทางไหนดีนอกจากหมุนวนไปมาเพราะสับสน

“คีย์” เสียงเรียกอย่างปรานีดังมาจากสักที่หนึ่งในสถานที่กว้างใหญ่นี้ “คีย์ ลูก” มาคีตามหาต้นเสียงนั้น เสียงของพ่อเธอนั่นเอง

“พ่อคะ พ่ออยู่ไหน คีย์กลัว” มาคีหันซ้ายหันขวาอย่างหวาดกลัว เธอกำลังเผชิญกับเรื่องอะไรอยู่กันแน่ สถานที่นี้เป็นเรื่องจริงหรือความฝันของเธอ แต่จะเป็นฝันร้ายหรือฝันดีกันแน่

“พ่อคะ พ่ออยู่ไหน มาหาคีย์หน่อย มาพาคีย์ไปกับพ่อหน่อยค่ะ” มาคีเริ่มร้องไห้เพราะความหวาดกลัว

“มาคีฟังพ่อนะ…” คำพูดที่หลุดจากปากพ่อเหมือนกับกำลังดูโทรทัศน์ไร้เสียง ก่อนที่พ่อจะค่อยๆ ห่างไกลออกไปทุกที

“พ่อคะ คีย์กลัว อย่าทิ้งคีย์ไป คีย์กลัว” มาคีย์กรีดร้องอยู่คนเดียวในสถานที่แปลกตา แต่เสียงที่เธอตะโกนออกมาช่างแผ่วเบาราวกับมันกลืนหายไปกับหลุมมืดๆ ที่กระจายอยู่ทั่วไป “คีย์กลัว” มาคีร้องไห้อยู่พักใหญ่ ไม่มีเสียงคุ้นเคยของพ่อให้ได้ยินอีก เสียงนั้นกลืนหายเข้าไปกับพื้นที่โล่งๆ นั้นแล้ว รอบด้านกำลังหมุนเหวี่ยงไปมาจนมาคีรู้สึกคลื่นไส้ เด็กสาวรับรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ไหวแล้วเพราะรอบด้านหมุนเหวี่ยงจนเธอกลัวว่าร่างทั้งร่างจะหลุดออกจากกัน

เด็กสาวยันตัวออกเดินไปตามพื้นที่ว่างเปล่าแต่กลับเคลื่อนไหวเหวี่ยงไปมา…แต่น่าแปลกที่เธอกลับไม่ล้มลงแต่ยังเดินไปได้

“เลือกสักทาง” เสียงของพ่อเมื่อสักครู่ยังดังก้องในความรู้สึก

“ต้องเลือกสักทางสินะ” ไม่รู้ว่ามาคีเลือกเอง หรือว่าทางเดินนั่นเลือกเธอกันแน่ เพราะราวกับเธอถูกนำพาให้เดินไปด้วยแรงดึงดูดที่เธอเองมองไม่เห็น แรงดึงดูดนั้นมีอำนาจเกินกว่าที่ร่างกายเธอจะดื้อดึงขึงตัวเองไว้ มาคีทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้แรงที่มองไม่เห็นตัวตนนั้นฉุดดึงเธอให้ก้าวผ่านไป

“ไม่นะ ไม่นะ” หญิงสาวกรีดร้องออกมาอีกครั้ง ครั้งนี้รู้สึกว่าเสียงมันก้องสะท้อนดังมาก

“มาคี ลูก มาคีเป็นไงบ้าง แม่อยู่นี่” คราวนี้มืออุ่นๆ ที่กุมเธอไว้มีเสียงเรียกของผู้หญิงที่คุ้นเคย มาคีค่อยๆ ลืมตามองผู้หญิงตรงหน้าที่มองเธอกลับมาอย่างห่วงใย

“แม่” มาคีคราง ภาพผู้หญิงตรงหน้าผอมซูบกว่าที่มาคีคุ้นตา ใบหน้านั้นก็มีริ้วรอยมากขึ้น “แม่” มาคียังพูดซ้ำคำเดิมๆ เพื่อใช้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวไว้ว่าคนที่เธอเห็นคือมารดาของเธอจริงๆ  “แม่จริงๆ ใช่ไหมคะ แม่”

“จ้ะ ลูก แม่จริงๆ แม่อยู่ตรงนี้แหละ แม่เอง” หญิงสูงวัยกว่าน้ำตาคลอเข้าไปกอดร่างบางของลูกสาว ร่างของคนในอ้อมกอดนั้นสั่นไหว

“พ่อ หนูเจอพ่อ พ่อไม่กลับมา…” มาคีบอกได้แค่นั้นก็สะอื้นฮัก

“จ้ะ ไม่เป็นไรลูก พ่อไปสวรรค์แล้ว พ่อไม่กลับมาแล้ว แต่แม่ยังอยู่กับหนูนะ” อีกฝ่ายบอก “หนูเจอพ่อหรือลูก” อีกฝ่ายอดปล่อยสะอื้นไม่ได้ หลังจากเกิดอุบัติเหตุสามีนางเสียชีวิต ลูกสาวก็นอนเป็นเจ้าหญิงนิทราใส่เครื่องช่วยหายใจร่วมเดือน แล้ววันนี้อยู่ๆ ทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์ไปแจ้งว่าลูกสาวถอดเครื่องช่วยหายใจได้และเริ่มรู้สึกตัว นางจึงรีบมาโรงพยาบาลและพบว่าลูกสาวนอนดิ้นไปมาอย่างคนเสียขวัญอยู่บนเตียงก่อนจะตื่นมาและพูดว่าพ่อจะไม่กลับมาแล้ว

“พ่อ อะไรนะคะ” น้ำเสียงนั้นตื่นตระหนก “เสียแล้วเหรอคะแม่” มาคีถามมารดาแผ่วเบาราวกับกลัวคำตอบที่ได้ยิน

“ไม่เป็นไรนะลูก พ่อไม่อยู่แล้วหนูก็ยังมีแม่อยู่ แต่เชื่อเถอะนะ พ่อรักและเป็นห่วงลูกมากเสมอ” คนเป็นแม่กอดร่างสั่นไหวนั้นไว้แน่น หญิงสาวร่างผอมบางกอดยึดมารดาไว้เช่นกัน

“พ่อบอกให้หนูกลับมา” มาคีถอนตัวออกจากอ้อมกอดของมารดาพร้อมกับสบตานั้นนิ่ง

“พ่อคงอยากให้ลูกกลับมาใช้ชีวิตต่อไป” มารดาเช็ดน้ำตาตัวเองพร้อมกับยิ้มให้ลูกสาว

“พ่อบอก” มาคีนิ่งไปครู่ใหญ่ใช้ความคิดจนคิ้วขมวดมุ่น “พ่อบอกว่า” มาคีพยายามนึกถึงข้อความที่พ่อพูด “ทำไมหนูจำไม่ได้ ไม่สิ หนู หนู…” มาคีสะบัดหัวไปมา

“ไม่เป็นไรลูกๆ ” คนพูดกอดลูกสาวแน่นเพื่อปลอบขวัญ วันหน้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเธอจะอยู่เคียงข้างลูกเสมอ ไม่ว่าข้อความจากสามีคืออะไรตอนนี้เธอไม่อยากคิด เพราะเรื่องที่ดีที่สุดของวันนี้คือลูกสาวเธอไม่ได้นอนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทราอีกแล้ว…

 

“ดีใจด้วยนะคะน้องคีย์ พรุ่งนี้จะได้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว” พยาบาลประจำตึกที่มาคีรักษาตัวยิ้มแสดงความยินดีในวันที่เด็กสาวจะได้ออกจากโรงพยาบาล

“คีย์ขอบคุณพี่ๆ นะคะที่ดูแลคีย์มาตลอด” มาคียกมือไหว้ขอบคุณ พยาบาลในตึกนี้รู้จักมาคีทุกคนและเด็กสาวเองก็เช่นกันเพราะมีอยู่เพียงไม่กี่คนที่ผลัดเปลี่ยนเวรกันมาทำงาน

“คิดถึงน้องคีย์แย่เลย ถ้าผ่านมาทางนี้ก็แวะมาหาพี่บ้างนะ พี่ๆ จะได้เห็นว่าสาวน้อยคนนี้อ้วนขึ้นบ้างไหม” พยาบาลอีกคนจับข้อมือเล็กบางหมุนไปมา เพราะต้องนอนเป็นเจ้าหญิงนิทราร่วมเดือนทำให้เด็กสาวที่ผอมอยู่แล้วยิ่งดูผอมบอบบางไปใหญ่

“ตั้งใจเรียนนะคะน้องคีย์ มอห้าแล้ว ป่วยซะนานแบบนี้ สู้ๆ นะ” มาคีหันไปยิ้มให้คนที่แสดงความห่วงใยเรื่องเรียนของเธอ แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหญิงสาวใบหน้าซีดเผือดนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ กับหัวหน้าพยาบาลคนที่เพิ่งแสดงห่วงใยเรื่องเรียนของมาคี หญิงสาวร่างผอมซีดที่นั่งข้างๆ กำลังมองมาที่มาคี สายตาไร้แววนั้นมองมาที่มาคีแน่นิ่ง มาคียผงะถอยหลัง

“ช่วยด้วย” เธอขยับปาก แต่เสียงที่ลอดไรฟันออกมาช่างเบาหวิว “ช่วยด้วย” เธอยังพูดด้วยคำเดิมๆ  มาคีมองพยาบาลทั้งสามคนที่ไม่ได้มีปฏิกิริยากับคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“พี่ฝันคะ” มาคีกระซิบเสียงเบา

“อะไรจ๊ะ” พยาบาลที่จับมือมาคีถามกลับยังยิ้มอย่างอารมณ์ดีเพราะสาวน้อยที่เธอดูแลอยู่ทุกวันตื่นจากหลับใหลมาพูดคุยกับเธอได้

“ใครเหรอคะ” มาคีกระซิบให้ได้ยินกันแค่สองคน อีกฝ่ายหันขวับไปดูทำหน้าเหลอหลา

“ก็พี่แอนไง เอ๊ะ ยังไงนี่เรา อยู่ด้วยกันมาตั้งนานไม่รู้จักพี่แอน” อีกฝ่ายค้อนขวับให้

“ไม่ใช่พี่แอนค่ะ ที่อยู่ข้างๆ พี่แอน พี่ฝันไม่เห็นเหรอคะ” มาคียังถามต่อ รู้สึกว่าหัวใจของเธอยังเต้นไม่เป็นจังหวะ รอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ

“ใครล่ะคีย์ ก็มีพี่ พี่วรรณ พี่แอนสามคน” ตอนนี้พยาบาลที่มาคีเรียกชื่อว่า ‘ฝัน’ เริ่มทำหน้าเสีย มาคีจับสายตาที่มองไปรอบๆ…พยาบาลตรงหน้ามองไม่เห็นผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้น…จริงๆ ไม่มีใครเห็นเธอเลย

“ก็พี่…ไงคะ” มาคีทำหน้าทะเล้น พยายามทำเสียงล้อเลียนใส่ภาพดาราที่อยู่บนหน้าปฏิทินตั้งโต๊ะ

“คีย์นี่ น่าตีจริง มาอำอะไรกันตอนดึกแบบนี้” อีกฝ่ายตีเพียะเข้าที่แขนไม่จริงจังนัก “ไปนอนได้แล้ว” คนพูดยังค้อนขวับๆ ใส่

“พี่ฝันคะ พี่ฝัน”

“อะไรอีกล่ะ แม่หนูจำไมนี่” พยาบาลที่ชื่อฝันหัวเราะอย่างยอมแพ้ “จะถามอะไรอีกจ๊ะ”

“คนเมื่อวันก่อนที่พวกพี่ช่วยกันปั๊มหัวใจ แล้วคีย์เป็นลมน่ะ เขาเป็นไงมั่งคะ” มาคีย์ถาม

“อ้อ วันที่เรามาก่อเรื่อง” อีกฝ่ายหัวเราะที่ได้ค่อนคนตรงหน้า ในวันนั้นที่เจ้าหน้าที่ทุกคนในหอผู้ป่วยวุ่นวายยื้อชีวิตหญิงสาวคนหนึ่งไว้ มาคีก็มาเป็นลมล้มพับเสียอย่างนั้น “ยังนอนใส่เครื่องช่วยหายใจอยู่ตรงนั้นเลยจ้ะ”

“แล้วเขาจะดีขึ้นไหมคะ” มาคีถาม พร้อมกับมองไปทางคนป่วยที่นอนใส่เครื่องช่วยหายใจ พร้อมกับสายน้ำเกลือและสายยางให้ยาอีกหลายสาย

“ต้องรักษากันต่อไปจ้ะ” พยาบาลที่ชื่อฝันยิ้มให้ เธอไม่ได้ตอบคำถามอะไรมากนัก มันเป็นจรรยาบรรณของผู้รักษาที่จะไม่เปิดเผยความลับของคนไข้ “ปะ ไปนอน ดึกแล้ว” เจ้าหน้าที่พยาบาลจับข้อมือผอมอีกฝ่ายพร้อมกับพาเดินกลับไปที่เตียง มาคีหันกลับไปที่เก้าอี้ที่ก่อนหน้าเธอเห็นหญิงสาวหน้าซีดเซียวนั่งอยู่…เธอหายไปแล้ว

“ช่วยด้วย…” เสียงแผ่วเบาสั่นเครือเสียงเดิมลอยมา มาคีเดินตามเจ้าหน้าที่นิ่งไม่หันไปตามเสียงเรียกร้องนั้น

“ได้โปรด” เสียงนั้นขอร้องอย่างน่าเวทนา “ได้โปรดช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย”

มาคีหลับตานิ่งสูดหายใจเรียกสติ…ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ไม่มีอะไรแค่ภาพหลอน…เด็กสาวพยายามบอกตัวเอง

“ตื๊ด ตื๊ด ตื๊ด” เสียงอุปกรณ์การแพทย์ดังแทรกความเงียบจนมาคีสะดุ้ง

“อ้าว” เจ้าหน้าที่พยาบาลที่เดินมากับมาคีอุทานอย่างแปลกใจก่อนจะหันไปสนใจเครื่องมือที่ส่งเสียงครางแทรกความเงียบยามราตรี “เอ๊ะ ทำไมยาหมดแล้ว” พยาบาลสาวกดปิดเสียงเครื่องมือก่อนจะตรวจหาต้นเหตุที่ทำให้เกิดเสียงดัง

“คีย์กลับเตียงก่อนนะ พี่ไปผสมยากระตุ้นความดันก่อน” คนพูดผละไปอย่างเร่งรีบเพราะเครื่องตรวจวัดความดันเร่งเร้าบอกว่าคนไข้กำลังความดันตก

“พี่ฝันคะ” มาคีพูดได้แค่นั้นคนที่ผละไปก็เข้าไปถึงเคาน์เตอร์เสียแล้ว เด็กสาวก้มหน้าจะเดินกลับเตียง

“ได้โปรด ช่วยด้วย ขอร้อง” เสียงนั้นยังคร่ำครวญอย่างน่าเวทนา มาคีสูดหายใจลึกก่อนจะหันไปมอง หญิงใบหน้าซีดคนเดิมนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงของร่างตัวเองและจ้องมองมาด้วยสายตาว่างเปล่า

“พี่เป็นอะไรคะ ผี คน หรืออะไร” มาคีถาม ความกลัวประเดประดังเข้ามาแต่เด็กสาวรู้ดีว่าเธอไม่อาจหลีกหนีผู้หญิงคนนี้ไปได้

“ไม่รู้ ฉันไม่รู้ ช่วยด้วย” นอกจากการขอร้องให้ช่วยร่างซีดเซียวนั้นก็ไม่ได้บอกอะไรพิเศษ

“อ้าว คีย์ ไปนอนได้แล้ว” พยาบาลคนเดิมทำเสียงเข้มใส่ที่ยังเห็นเด็กสาวยืนมองร่างที่นอนนิ่งนั้น “ไปสิ” เธอสำทับ

“ค่ะ” มาคีบอกเสียงเบา เธอหันไปมองร่างซีดเซียวร่างนั้นตัวสั่นเทาและกำลังร้องไห้อย่างอ้อนวอน มาคีกลืนน้ำลายลงคออย่างฝืดเหนียว

 

มาคีเดินย่ำมาบนถนนในช่วงค่ำ หลังออกมาพักที่บ้านสองวัน เด็กสาวก็กลับไปเรียนหนังสือ วันนี้วันที่สามที่กลับมาเรียนแม้ร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่มาก แต่มาคีก็อยู่เรียนพิเศษกับครูเพราะอยากเรียนให้ทันเพื่อนเนื่องจากเธอหยุดไปร่วมเดือน

“จะสองทุ่มแล้วเหรอเนี่ย” นาฬิกาข้อมือสะท้อนตัวเลขชัดเจน เด็กสาวเดินผ่านตลาดที่คนพลุกพล่านแต่ตอนนี้เริ่มบางตาเพราะคนส่วนใหญ่เร่งกลับบ้านพักผ่อน วันนี้แม่ติดงานเลยไม่ได้ไปรับแต่ก็ไม่เป็นไรเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ที่พรุ่งนี้มาคีตื่นสายได้ สองข้างทางผู้คนเริ่มน้อยลง แสงไฟเริ่มห่างจนเหลือแต่แสงสีส้มไกลๆ

“ฮือ ฮือ…” เสียงแผ่วเบาสะท้อนมา มาคีชะงักแต่ก็เพียงนิดเดียวเด็กสาวรีบย่ำเท้าเร็วขึ้น

“ช่วยด้วย ช่วยด้วยเถอะนะ” เสียงคร่ำครวญนั้นทำให้มาคีสะดุ้ง…เด็กสาวหลับตาสูดหายใจ…อาการประสาทหลอนกลับมาอีกแล้วหรือ

“ช่วยด้วย” เสียงนั้นคร่ำครวญ

“ไป ไปให้พ้น” มาคีตะโกนไล่ทั้งหวาดกลัวทั้งโกรธขึ้ง

“ฮือ ฮือ…” เสียงคร่ำครวญนั้นราวกับจับเสียงโกรธขึ้งของมาคีได้ เสียงร้องไห้ยิ่งเพิ่มความโศกเศร้าน่าเวทนา มาคีเพ่งเข้าไปในตรอกเก่าที่เป็นซอยเปลี่ยวร้างไม่มีใครใช้สัญจร เด็กสาวสะบัดศีรษะก่อนจะสาวเท้าจากไปอย่างรีบๆ

“ช่วยด้วย” เสียงนั้นยังลอยตามลมมาอย่างน่าเวทนา…มาคีหยุดเดินอย่างชั่งใจ ทั้งกลัวทั้งโกรธ…ในซอยร้างเปลี่ยว ไม่มีคน ไม่มีแม้แสงไฟ อากาศนิ่งสนิทราวกับสายลมไม่เคยพัดผ่านซอยร้างนั้น…แต่อากาศที่นิ่งสนิทกลับมีลมปะทะวูบหนาวเยือกชวนเวียนหัว…

 

“อ้าว คีย์ มาทำอะไรดึกดื่น” เจ้าหน้าที่พยาบาลที่มาคีเรียกว่าฝันทำหน้าแปลกใจเมื่อมาคีโผล่เข้าไปที่ห้องทำงานพยาบาลในตอนเกือบๆ สามทุ่มในชุดนักเรียน

“พี่ฝันคะพี่ฝัน ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ไหมคะ” มาคีถามพร้อมกับมองไปที่เตียงผู้ป่วยที่เคยมีหญิงสาวนอนนิ่งใส่เครื่องช่วยหายใจ “เธอไปไหนแล้วคะ” มาคีถาม

“อะไรคีย์ ใครเป็นอะไรจ๊ะ” หน้าตาแตกตื่นของมาคีทำให้อีกฝ่ายตกใจ “แล้วมาได้ยังไงดึกดื่นป่านนี้ เด็กผู้หญิงไปไหนมาไหนคนเดียวเวลานี้มันอันตรายนะ นี่แม่รู้ไหม” คนพูดทำหน้าดุ

“พี่ฝันบอกคีย์ก่อน ผู้หญิงคนนั้นไปไหนแล้ว” มาคีเขย่ามือพยาบาลสาว

“เอ่อ เอ่อ ขยับเข้าไปเตียงข้างใน พอดีมีคนไข้วิกฤติกว่าต้องดูอาการใกล้ชิด” อีกฝ่ายมองคนที่ยืนปากซีดตัวสั่น

“ผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรมาคะพี่ฝัน ทำไมเธอเป็นแบบนั้น” มาคีเร่งเร้าถามต่อ อีกฝ่ายถอนหายใจอย่างหนักใจ

“คีย์ พี่ก็อยากบอกแต่มันเป็นความลับของผู้ป่วย คีย์ก็รู้นี่” คนพูดยังพูดไม่ทันจบมาคีก็สวนกลับมาเสียงสั่น

“เธอถูกทำร้ายร่างกาย ถูกทารุณทางเพศมาใช่ไหมคะ”

“คีย์ เอ่อ…” พยาบาลสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายตาหนักใจที่สุด มาคีเซถอยหลังไปพิงผนังห้องก่อนจะยกมือขึ้นร้องไห้สะอึกสะอื้น

“คีย์ เป็นอะไรจ๊ะ คีย์” คนพูดตกใจกับท่าทางของเด็กสาวที่สะอื้นจนตัวโยน “พี่โทรให้แม่มารับนะคีย์นะ”

“พี่ฝันคะ เธอมาโรงพยาบาลได้ยังไง คีย์ไม่เห็นมีญาติพี่น้องสักคน” มาคีเงยหน้าถามทั้งที่มีน้ำตานอง

“พี่ก็ไม่รู้ เจ้าหน้าที่ห้องฉุกเฉินบอกเธอมาเองแล้วก็เป็นลมล้มพับลงตรงนั้น เนื้อตัวมีแต่ร่องรอยฟกช้ำ” คนพูดหยุดพูดเพียงแค่นั้นเพราะรู้สึกว่าจะบอกความลับคนไข้มากไป

“พี่ฝันคะ ผู้หญิงคนนั้นมาหาคีย์ มาขอให้คีย์ช่วย” มาคีบอกอีกฝ่ายที่จ้องหน้าเด็กสาวด้วยแววตาหลากหลาย…แน่ละ เธอกำลังคิดว่ามาคีมีอาการประสาทหลอน

“คีย์ใจเย็นๆ ใจเย็นนะจ๊ะ มันคงไม่มีอะไรขนาดนั้น” คนพูดพยายามปลุกปลอบ

“พี่ฝันคะ เธอยังอยู่ทั้งๆ ที่ร่างกายไม่ไหวแล้ว เธอยังอยู่เพราะมีห่วงนะคะ” มาคีเขย่ามือพยาบาลสาวที่ตอนนี้ทำหน้าหวาดกลัวขึ้นมา

“อะไรนะคีย์”

“พี่ฝันคะ เธออยากให้คีย์ช่วย ไม่ใช่ช่วยเธอ แต่อยากให้ช่วยใครอีกคน พี่ฝันคะช่วยคีย์ด้วย” มาคีบีบมือคนตรงหน้าแน่น พยาบาลสาวมองหน้าอดีตคนไข้ของเธออย่างชั่งใจ ท่าทางแบบนี้ของมาคีมันคืออาการประสาทหลอนหรืออะไร

“พี่ฝันคะ” มาคีบีบมืออีกฝ่ายแน่นอย่างอ้อนวอน

 

เปลเข็นนอนของคนไข้มีร่างที่ถูกคลุมด้วยถุงห่อร่างและผ้าขาวอีกชั้นป้องกันไม่ให้ภาพที่ปรากฏเป็นที่สลดใจแก่ผู้พบเห็นเข็นผ่านมาคีและพยาบาลสาวที่ตอนนี้เธอลางานในช่วงเวรบ่ายมาเป็นเพื่อนเด็กสาว มาคีเซไปกับภาพตรงหน้าไม่ต่างกับคนที่มาเป็นเพื่อนที่ยืนมองหน้าซีดอยู่ข้างๆ กัน

“ผมจะขอให้คุณสองคนไปให้ปากคำที่สถานีตำรวจหน่อยครับว่ามาเจอ…เอ่อ…ศพได้อย่างไร” ตำรวจเจ้าของคดีเดินมาบอกทั้งสองคนที่ตอนนี้ยืนจับมือกันแน่น

“เอ่อ…” คนที่มาเป็นเพื่อนมาคีสบตาเด็กสาวอย่างขอความคิดเห็น มาคีมองกลับ สายตานั้นบอกว่าไม่รู้จะตอบอย่างไรเช่นกัน เรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องที่จะบอกใครให้เข้าใจได้

“ครับ…” ตำรวจคนเดิมถามเสียงสูง

“คือ” พยาบาลสาวเอ่ยกุกกัก “คือ ผู้หญิงที่รักษาตัวที่โรงพยาบาลเพ้อถึงที่นี่หลายครั้ง เราเลยแปลกใจ พอดี…เอ่อ” คนพูดตะกุกตะกัก อีกฝ่ายหลิ่วตาอย่างเข้าใจ…เรื่องบางเรื่องมันเป็นจรรยาบรรณที่พยาบาลพูดไม่ได้สินะ

“ครับ ผมเข้าใจ เอาเป็นว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนบอกละกัน” นายตำรวจเจ้าของคดีบอก เขาเข้าใจว่าพยาบาลสาวลำบากใจที่จะพูดเพราะวันนี้เธออยู่ในเวรแต่กลับลางานออกมาข้างนอกกะทันหัน

เหมือนฝันมองมาที่มาคี ท่าทางอ่อนล้านั้นราวกับจะถามเด็กสาวว่าเรื่องมันจบหรือยัง

“ถ้าคืนนี้ยังไม่สะดวกก็ขอเป็นพรุ่งนี้นะครับ” นายตำรวจมองนาฬิกาข้อมือที่เวลาบอกเกือบห้าทุ่ม “ตอนนี้น่าจะดึกไป เดี๋ยวผมให้ลูกน้องเรียกแท็กซี่ให้ครับจะได้กลับบ้านปลอดภัย” ชายหนุ่มบอกก่อนจะหันไปกวักมือเรียกลูกน้อง

 

“ขอบคุณพี่ฝันนะคะที่เชื่อคีย์” มาคีบอกเมื่อขึ้นมานั่งบนรถแท็กซี่ด้วยกันสองคน

“ก็เกือบไม่เชื่อแหละ” เหมือนฝันคราง ถ้าย้อนเวลากลับไปได้เธอเลือกไม่เชื่อมาคีตั้งแต่ทีแรกเสียดีกว่า ภาพของร่างไร้ชีวิตที่ถูกพันด้วยผ้าขาวยังติดตา

“คีย์บอกพี่ว่า ผู้หญิงคนนั้นเค้าไม่ยอมไปเพราะเค้ามีห่วง งั้นตอนนี้…” เหมือนฝันหันมาถามเด็กสาว ท่าทางหวาดกลัวกลับมาอีกครั้ง มาคีเองก็มองอีกฝ่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถามไม่ต่างกัน

“คีย์…” เหมือนฝันถามซ้ำ มาคีถอนหายใจอย่างหนักใจ เด็กสาวไม่รู้อะไรเลยไม่รู้สักอย่าง รู้แค่ว่าเธอกลับมาที่โลกนี้อีกครั้งเพื่ออะไรหรือ…มาคีฟื้นขึ้นมาจากอาการโคม่าเพื่อพบว่าเธอได้เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น ผู้หญิงคนนั้นมาขอร้องให้ช่วย มาร้องไห้คร่ำครวญแต่ไม่เคยบอกอะไรมาคีเลย…จนตอนนี้

มาคีส่ายหน้ายกมือขึ้นลูบใบหน้าตัวเองอย่างงุนงง…เธอต้องทำอย่างไรต่อไปหรือ…พ่อบอกอะไรกับมาคีหรือ เธอต้องทำอะไร มาคีรู้สึกว่ามือของเหมือนฝันบีบที่แขนอย่างให้กำลังใจ เด็กสาวเงยหน้ามามองคนข้างๆ ในลานสายตาที่เก้าอี้ข้างคนขับรถแท็กซี่มีใครบางคนนั่งอยู่ที่นั่น มาคีหันขวับไปมองอย่างตกใจ ผู้หญิงคนนั้นหันมามองเธอ ไม่มีเสียงร้องขอความช่วยเหลือ ไม่ร้องไห้คร่ำครวญ สายตาที่เคยว่างเปล่าตอนนี้เต็มไปด้วยความอาฆาต…

“กรี๊ด”…



Don`t copy text!