สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 3 : หลงในเวลา…เที่ยงคืน

สะพานข้ามรุ้ง บทที่ 3 : หลงในเวลา…เที่ยงคืน

โดย : แก้ว การะบุหนิง

Loading

สะพานข้ามรุ้ง โดย แก้ว การะบุหนิง กับนวนิยายแนวสืบสวนฆาตกรรมจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4  มีเต็มไปด้วยรายละเอียดของการสืบสวนสุดเข้มข้นและแตกต่าง มาร่วมกันเอาใจช่วย “มาคี” ผู้ที่ตั้งใจจะส่งวิญญาณทุกดวงสู่ทางสว่างและสดใส โดยใช้ตัวเองเป็นกุญแจไขประตูสู่สะพานข้ามรุ้งเหมือนชื่อเล่นของเธอ “คีย์”

“ตึ่ก ตึ่ก” เสียงย่ำเท้าเป็นจังหวะแม้ไม่ใช่เสียงย่ำกระทบพื้นที่ดังมากแต่ก็ไม่เบาเลยในเวลาเที่ยงคืนกว่า ยิ่งบวกกับเสียงหอบหายใจของคนที่กำลังวิ่งหนีอย่างสุดชีวิตมันดังจนเจ้าตัวอยากจะกลั้นหายใจเสียรู้แล้วรู้รอด ทั้งที่เป็นรองเท้ายางไม่มีส้นแต่ยามวิกาลทุกการย่ำกระทบพื้นซีเมนต์ก็ส่งเสียงดังก้องสะท้อนไปมาระหว่างตึกที่ปลูกสร้างไว้ติดๆ กัน

“จุ๊” แม้จะพยายามทำเสียงให้เงียบที่สุด แต่ก็อดใจไม่ให้ส่งเสียงจิ๊จ๊ะเพราะขัดใจไม่ได้

ตอนนี้ขาสองข้างเริ่มหมดแรงก้าวไม่ออก อาจเพราะวิ่งมาสักพักใหญ่ หรืออาจเพราะตั้งแต่บ่ายไม่มีอาหารใดๆ ตกถึงท้องไว้เป็นพลังงาน

“ไม่ไหวแล้ว” คนที่วิ่งมาพึมพำคอแห้งผาก รู้สึกเหมือนภาพรอบตัวหมุนวนจับจุดที่แท้จริงไม่ได้

‘ไม่ได้ ฉันจะถูกจับกลับไปไม่ได้’ ในความเหนื่อยและการยอมแพ้ เสียงหนึ่งดังแทรกประท้วง…แต่จะทำอย่างไรล่ะ ถัดไปอีกไม่เกินสองบล็อกผู้คุกคามวิ่งตามมาติดๆ ถ้าหยุดตอนนี้ต้องถูกจับได้แน่ๆ แต่ให้วิ่งต่อไปก็รู้สึกราวจะขาดใจจากความเหนื่อยเสียให้ได้

กลิ่นธูปฉุนจัดทำให้คนที่กำลังหอบหายใจแทบสำลัก จากกลิ่นน้ำเน่าและขยะจากสิ่งแวดล้อมรอบตัวกลับมีกลิ่นธูปแทรกมาปะทะจมูกฉุนจนแทบไอออกมา พลันสายตาของคนที่กำลังสิ้นหวังเหลือบไปเห็นร่างของใครบางคนยืนกวักมืออยู่ที่มุมหนึ่ง ทันทีที่สายตาเหลือบไปเห็นร่างทั้งร่างก็ผงะชะงักงันไปชั่วครู่…ร่างนั้นขาวซีด ผอมบาง ดูเหมือนควันจางๆ…เมื่อเพ่งที่ใบหน้า ดวงตา…ดวงตานั้นดำมืดเกินจริง

 

“คีย์ คีย์” เสียงคุ้นเคยกระตุ้นให้สติที่หมุนวนกลับมา “คีย์ ตื่น คีย์”

มาคีลืมตาอย่างยากเย็น ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือหญิงสาวร่างบางที่มาคีคุ้นเคยและสนิทด้วย “พี่ฝัน คีย์ปวดหัว”

“คีย์ อย่าเสียงดัง” เหมือนฝันกระซิบ พยายามใช้ไหล่ดันมาคีให้ทรงตัวขึ้น

“ทำไมคะ” เด็กสาวสะบัดศีรษะไล่ความมึนงงก่อนจะรู้สึกว่ามือทั้งสองข้างถูกมัดไพล่ไปข้างหลัง เหมือนฝันก็ไม่ต่างกัน

“พี่ว่า…นี่คือเรื่องที่วิญญาณผู้หญิงในตรอกนั่นอยากบอกเรา” แม้จะไม่มีสัมผัสพิเศษเช่นมาคีแต่การประมวลเหตุการณ์ของเหมือนฝันเป็นระบบและมีสติมากกว่า

“คราวนี้ก็รู้แล้วว่าเธอมาเข้าฝันพี่ทำไม”

“คะ” มาคียังมึนจากฤทธิ์ยาสลบ

“คราวต่อไปมาคิดว่าจะหนียังไง แม่วิญญาณสาวนั่นจะช่วยเราไหมคีย์”

มาคีมองไปรอบห้อง หน้าต่างปิดมุ้งลวดสีทึบด้านนอก ด้านในมีเหล็กดัดใส่ไว้ ประตูปิดสนิท ที่มุมห้องไม่ต่างกันเด็กสาวอีกสองสามคนถูกมัดไว้ บ้างนอนหลับ บ้างนั่งร้องไห้…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอและเหมือนฝันโดนจับขังอยู่ในนี้

“คีย์มึนหัวมากเลยพี่ฝัน” มาคีบอก โลกทั้งโลกหมุนวนไปมาจนคลื่นไส้

“งั้นก็หลับต่ออีกสักพักนะคีย์ ให้คิดอะไรทำอะไรตอนนี้คงไม่ไหว” คนที่นั่งอยู่ข้างๆ บอก มาคีขยับมาอิงเหมือนฝันอย่างหมดแรง แม้ในห้วงคิดจะวิตกกับเหตุการณ์ผิดที่ผิดทางนี้มาก แต่ก็ไม่อาจฝืนความมึนงงได้

 

“อย่านะ ปล่อยฉัน ฉันไม่ไป ไป” เสียงกรีดร้องระงมมาจากหญิงสาวสามคนที่โดนลากออกมาจากมุมห้อง

“นี่พวกมึงจะไปดีๆ หรืออยากเจ็บตัว ฮะ” ชายร่างกำยำขู่พร้อมกับกระชากร่างผอมบางทั้งสามให้ตามตัวเองออกไปนอกห้อง

“ฉันกลัวแล้ว อย่าพาฉันออกไปเลย ฉันกลัวแล้ว” หนึ่งในสามนั่งลงไหว้ปลกๆ ตัวสั่น

“ถ้ากลัวก็ออกไปทำงานให้เสร็จๆ  อย่าให้กูออกแรง”

“ไม่เอา ฉันกลัวแล้ว ให้ฉันไปทำไร่ไถนา แบกหามที่ไหนก็ได้ อย่าให้ฉันรับแขกอีกเลย” คนพูดนั่งไหว้ตัวสั่นงันงกอย่างน่าเวทนา

“ไปทำไร่ไถนา เฮอะ” น้ำเสียงนั้นดูแคลนอย่างชัดเจน “แล้วเมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด” คนพูดเบะปาก “รู้ไหมว่าพวกมึงติดหนี้นายเท่าไหร่ ไปได้แล้ว หลับหูหลับตาทำไปไม่กี่ปีก็ใช้หนี้หมด”

“ไม่เอา ฉันกลัวแล้ว ไม่ไป” คนพูดยังนั่งนิ่ง ไม่ยอมขยับ

“เอ๊ะ อีนี่” อีกฝ่ายเงื้อมือใส่

“นี่ๆ นาย เค้าเป็นหนี้นายเท่าไหร่” เสียงคุ้นเคยข้างตัวทำให้มาคีเหลือบมองด้วยความรู้สึกทึ่งจัด ไม่คิดว่าเหมือนฝันพยาบาลสาวผู้เรียบร้อยจะเป็นคนถามวายร้ายหน้าตาดุดัน น้ำเสียงอ่อนโยนของเหมือนฝันกลับเปลี่ยนเป็นดุดันแปลกหู

“เกี่ยวอะไรกับมึง” อีกฝ่ายกระชากเสียง

“อ้าว ติดเท่าไหร่ก็บอกมาสิ” เหมือนฝันยังถามต่อ ไม่เกรงกลัวท่าทางคุกคามนั่นสักนิด

“อย่าเสือกเรื่องของคนอื่น เอาตัวให้รอดก่อนเถอะ” คนพูดชี้นิ้วใส่สำทับ

“ไม่บอกราคาแล้วจะจ่ายหนี้ได้ยังไงล่ะ” เหมือนฝันลุกยืนเผชิญหน้า มาคีมองอย่างแปลกใจ

“มึงเอาตัวให้รอด หาเงินมาจ่ายให้นายกูก่อนแล้วค่อยเสือกเรื่องของคนอื่น” คนพูดมองหน้าอีกฝ่าย เหมือนฝันในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากางเกงยีนส์สีเข้มดูสะอาดตากว่าคนอื่นๆ แม้เธอจะสูงกว่าผู้หญิงทุกคนในห้อง แต่ถ้าเทียบขนาดตัวกับกลุ่มผู้คุกคามเหมือนฝันก็ยังตัวเล็กกว่าชายฉกรรจ์นั่นมาก

“เท่าไหร่ ฉันถามว่าค่าตัวเท่าไหร่” คนพูดขึ้นเสียงคล้ายลืมตัวจนมาคีต้องดึงข้อมืออีกฝ่ายให้ระงับอารมณ์ไว้

“เออ พูดดี ปากดี หรือจะเอาอีนี่ไปให้แขกก่อน ก๋ากั่นแบบนี้ แขกน่าจะชอบ”

“ก็ลองดูสิ พวกแกจับใครมาแกรู้ไหม” เหมือนฝันขู่ฟ่อ

“จับใคร ใครจับใคร มึงมากับไอ้ถนอม ไอ้ถนอมเอามึงมาขาย มึงจะมาจากไหนก็เรื่องของมึง”

“ขาย ใครเอามาขาย ขายอะไร” คราวนี้มาคีเป็นฝ่ายเดือดร้อนบ้าง เด็กสาวระลึกถึงครั้งสุดท้ายก่อนที่ภาพจะตัดมาตื่นที่นี่ “แท็กซี่คนนั้น”

“อย่าบอกนะว่าไอ้แท็กซี่นั่นเอาฉันสองคนมาขายที่นี่” เหมือนฝันโพล่งใส่ชายร่างกำยำ อีกฝ่ายไม่ตอบแต่เลิกคิ้วพร้อมกับยิ้มกวน

“ปล่อยพวกฉันออกไปเลยนะ” เหมือนฝันเดินดุ่มๆ ไปที่ประตู แต่ไม่ทันไปถึงไหนมือแข็งแรงของชายฉกรรจ์ก็จับข้อมือนั้นกระชากกลับมา แรงกระชากทำให้เหมือนฝันล้มลงอย่างแรง

“พี่ฝัน พี่ฝัน” มาคีรีบวิ่งไปดูหญิงสาว

“โอ๊ย เจ็บนะ นี่แกทำร้ายร่างกายฉันนะ” เหมือนฝันไม่โอดครวญนานแต่เปลี่ยนเป็นหันมาขึ้นเสียงใส่

“แล้วไง กูต้องเกรงใจมึงไหม ในเมื่อนายกูซื้อมึงมาเป็นกะหรี่” อีกฝ่ายพูดต่อ “พยศแบบนี้คงต้องผ่านกูก่อน”

“เฮ้ย อย่านะ นี่แกไม่รู้จริงๆ หรือว่าจับใครมา” เหมือนฝันถลึงตาใส่ “ ฉันลูกสาวนายพลพิทักษ์ แกเดือดร้อนแน่” เหมือนฝันบอกชื่อนายพลทหารที่กำลังมีบทบาททางการเมืองพร้อมกวาดตามองชายทั้งกลุ่มที่ยืนฟังอยู่ “ทั้งแกทั้งนายแกได้ขนของไปอยู่คุกยาวแน่ๆ งานนี้ แต่ถ้าฉันมีรอยแม้แต่นิดเดียวแกคงได้เป็นผีเฝ้าคุกแบบไม่มีใครทำบุญไปให้” เสียงแหลมใสยังขึ้นเสียงไม่หยุด

“เฮ้ย ไอ้ไหว ไอ้ถนอมมันไปจับใครมาวะ ไม่ใช่พวกต่างด้าวรึไง” ชายร่างกำยำถอยออกห้องไปกระซิบกับผู้ชายอีกสองคนที่ยืนคุมอยู่หน้าห้อง

“ไม่รู้สิพี่” อีกสองคนขมวดคิ้วสงสัย

“ไอ้พวกโง่ ต่างด้าวอะไร พวกแกดูหน้าฉัน แกไม่เคยเห็นฉันตามหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสารหรือเฟซบุ๊กรึไง พวกแกอ่านหนังสือ ติดตามสื่อออนไลน์บ้างหรือเปล่า” เหมือนฝันยังโวยวายไม่หยุด

“ถ้าฉันไม่กลับบ้านภายในเช้าพรุ่งนี้ พ่อฉันให้ตำรวจปิดเมืองค้นหาฉันแน่ ปล่อยฉันไปนะ” คนพูดทำท่าจะเดินดุ่มไปที่ประตูอีกครั้ง

ชายคนเดิมเข้ามายืนขวางหน้า เมื่อเผชิญหน้ากันเหมือนฝันสูงเพียงระดับไหล่ของผู้ชายที่กำลังจัดแจงให้ผู้หญิงคนนั้นคนนี้ออกไปทำงาน

 

“คนนั้นก็น่าจะทำงานได้แล้วนะคืนนี้” ชายที่วางตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มชี้มาทางมาคี

“ทำงานอะไร จะให้ไปขายตัวนี่นะ นั่นเด็กนะ” เหมือนฝันยังขึ้นเสียงไม่หยุด

“เอ๊ะ อีนี่ โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ หรือมึงอยากไปทำงานเอง” อีกฝ่ายเริ่มรำคาญเหมือนฝันเช่นกัน

“เอาสิ เอาฉันออกไปฉันจะไปโพนทะนาทั้งซ่องแกเลย ใครเอาข่าวฉันไปบอกพ่อ จะให้พ่อจ่ายรางวัลให้หนัก ตอนนี้ประเทศนี้ใครคุมความเรียบร้อย ฮะ” เหมือนฝันพูดไม่มีท่าทางกลัวเลยสักนิด

“มึงนี่” อีกฝ่ายชี้นิ้วใส่ “กูจะเอาอีนั่นไป พวกมึง ลากเด็กนั่นไป เด็กๆ แบบนี้ราคาดี” คนพูดท้าทาย

“อย่านะ” เหมือนฝันกระโดดเข้าขวางแต่ก็ถูกลูกน้องของคนที่ออกคำสั่งผลักไปอีกทาง

“ไม่นะ อย่าทำแบบนี้ ฉันไม่ใช่คนติดหนี้พวกนายนะ อย่านะ” มาคีร้องเสียงดังอย่างตระหนก ความหวาดกลัวแล่นเข้ามาจับจิต นี่เธอรอดตายเพื่อมาเผชิญชะตากรรมแบบนี้หรือ

“ไม่นะ ไม่ไป ช่วยด้วย ช่วยด้วย” มาคีตะโกนขอความช่วยเหลือทั้งๆ ที่รู้ดีว่าไม่มีใครในสถานที่แห่งนี้ช่วยเธอได้

“ฉันไม่น่ามาเลย ไม่น่าเลย” เด็กสาวพึมพำ นึกถึงร่างขาวซีดที่คอยตามติดเหมือนฝัน วิญญาณหญิงสาวคนนั้นที่หลอกลวงเธอกับเหมือนฝันมาที่นี่ ทำไมต้องหลอกให้มาตกนรกแบบนี้ด้วย

บึ้ม!

“ว้าย…”

เสียงระเบิดดังลั่น หลังสิ้นเสียงระเบิดไฟในห้องโถงดับ ห้องทั้งห้องมืดสนิท ถึงแม้อาคารนี้จะอยู่ไม่ไกลจากถนนที่มีไฟฟ้าส่องทาง แต่เพราะในอาคารใช้กระจกทึบแสงและผ้าม่านหนาทำให้ไฟส่องถนนไม่สามารถส่องเข้ามาได้

“อะไรวะ” เสียงขุ่นของชายที่วางอำนาจบอกถึงความหงุดหงิด “หม้อแปลงระเบิดหรือเปล่า โทรถามคนอื่นทีสิ”

กลุ่มชายผู้ดูแลสถานที่กดโทรศัพท์เพื่อสอบถามสถานการณ์ตามคำสั่ง แสงไฟจากโทรศัพท์สว่างวาบเป็นพักๆ  ที่ข้างๆ ชายที่วางตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มแสงจากโทรศัพท์ค่อยๆ สว่าง จากที่เลือนรางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นปรากฏร่างหนึ่งข้างๆ ชายคนนั้น นัยน์ตาแดงก่ำจ้องมองไม่วางตา ดวงหน้าขาวซีดแจ่มชัดท่ามกลางความมืดมิด…

 

“พวกพี่เป็นคนไทยหรือคะ แล้วทำไมคนไทยถึงถูกจับมาขายที่นี่” สำเนียงการพูดไทยแปร่งๆ ถามแทรกความเงียบ หนึ่งในเด็กสาวที่อยู่ในห้องตั้งคำถาม

เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนเกิดเหตุการณ์หม้อแปลงไฟระเบิดทำให้อาคารทั้งอาการตกอยู่ในความมืด การเคลื่อนไหววุ่นวายในห้องหยุดไป รวมถึงกิจกรรมยามราตรีที่เกิดขึ้นในอาคารนี้ก็ต้องหยุดด้วยเช่นกัน

“เอาอย่างนี้ดีกว่า พวกน้องมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” เหมือนฝันตั้งคำถาม น่าแปลกที่พยาบาลสาวผู้เรียบร้อยในสายตามาคีจะกลายเป็นคนหัวร้อนเมื่อมาอยู่ในสถานการณ์คับขันแบบนี้

“หนูมาจากหมู่บ้านชายแดนพื้นที่ปกครองพิเศษ เป็นพื้นที่พิพาทของชนกลุ่มน้อย” เสียงเดิมเล่าผ่านความมืด เพราะสายตาทุกคนเริ่มชินจึงมองเห็นอีกฝ่ายแม้ไม่ชัดแต่ก็รู้ว่าคนพูดนั่งอยู่ตรงไหน

“พวกเราที่นี่ส่วนใหญ่หนีมาจากบริเวณพื้นที่ข้อพิพาท มีนายหน้ามารับที่ชายแดน พาเรามาทำงานที่ประเทศไทย” เสียงคนพูดเศร้าจนสัมผัสได้

“หนีมาทำงานที่ไทยหรือ แล้วพวกหนูเชื่อนายหน้าพวกนั้นได้ยังไงกัน” เหมือนฝันถามอย่างไม่เห็นด้วย

“พวกหนูคิดว่าอย่างน้อยประเทศไทยก็คงปลอดภัยกว่าที่บ้าน” คนพูดถอนหายใจ

“แล้วที่นี่มันคืออะไร” เหมือนฝันถามต่อ ยังคงไม่เชื่อว่าตัวเองถูกจับมาไว้ในสถานบริการทางเพศ แน่นอนว่าเป็นใครก็ต้องงุนงง หญิงสาวที่มีพื้นฐานทางครอบครัวดี จบปริญญา มีงานทำมั่นคง จะถูกจับมาขายซ่อง ใน พ.ศ.นี้ประเทศเรายังมีสถานที่ขายบริการจากการค้ามนุษย์อีกหรือ

“ก็ที่ผู้ชายมาเที่ยวไงพี่” คนพูดบอกไม่เต็มปาก น้ำเสียงเจือความสะเทือนใจ

“ซ่องหรือ” เหมือนฝันเน้นคำ อยากให้ตัวเองหูฝาด หรืออีกฝ่ายปฏิเสธบอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะน้ำเสียงยอมรับพึมพำในลำคอนั้นชัดเจนเกินกว่าเสียงตะโกนแล้ว

“หา อะไรนะ เราถูกเอามาขายซ่อง บ้าไปแล้ว” มาคีอุทานเสียงดัง มึนงงไม่แพ้เหมือนฝัน “นี่มันยุคไหนกัน เดินอยู่ข้างถนนดีๆ ถูกเอามาขายเป็นสิ่งของเลยนี่นะ”

“ไอ้แท็กซี่บ้านั่นวางยาเรา” เหมือนฝันระลึกย้อนเหตุการณ์ก่อนที่จะมาอยู่ที่นี่ “เราต้องถูกวางยานอนหลับแน่ๆ”

“โฮะ” มาคีทำเสียงไม่อยากเชื่อในลำคอ เคยอ่านผ่านๆ ว่ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือหน้าอินเทอร์เน็ต ไม่นึกว่าวันนี้จะเกิดเรื่องกับตัวเอง

“เนี่ย เขาถึงบอกผีหลอกไม่น่ากลัว คนหลอกน่ากลัวกว่าเยอะ” คนพูดถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อนึกถึงฝันร้ายของเธอทุกคืนก่อนจะพาทั้งสองคนมาที่นี่

“แล้วพวกเธอมาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว” มาคีถาม จากรูปลักษณ์ที่ปรากฏก่อนหน้า เด็กสาวในห้องคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกับมาคี อาจมีอายุมากกว่าแต่ไม่น่าเกินสามปี

“เราสามคนมาอยู่เกือบเดือนแล้ว แต่มิโมมาอยู่เกือบสองเดือน” คนพูดพยักพเยิดไปหาเด็กสาวอีกคนที่นั่งอยู่ริมห้อง

“แล้วพวกเธอได้…เอ่อ…ทำงานหรือยัง” มาคีกลืนน้ำลายลงคอหลังจบคำถาม เด็กสาวไม่อยากตั้งคำถามนี้ รู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อคิดถึงเพื่อนวัยใกล้เคียงต้องทำงานที่นี่ คำถามนี้ไม่ได้รับคำตอบ แต่การไม่ตอบคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

“ฉันจะช่วยพวกเธอออกไปเอง พวกเธอมีไม่กี่คน ฉันน่าจะหาเงินได้” เหมือนฝันพูดหนักแน่น

“จริงหรือจ๊ะ พี่พาพวกฉันออกไปได้จริงๆ หรือ” เด็กสาวสามคนจับมือกันอย่างตื่นเต้น

“ฉันคิดถึงพ่อกับแม่เหลือเกิน” ทั้งสามแทบจะพูดประโยคเดียวกัน

การที่ต้องมาทำงานต่างบ้านต่างเมืองห่างพ่อแม่ก็เป็นเรื่องทุกข์พอแล้ว แต่นี่เด็กสาวทั้งสี่ยังถูกหลอกให้มาขายบริการจะยิ่งทุกข์ใจสักเท่าไร

“แล้วพ่อแม่พวกเธอไม่ตามหาบ้างหรือ” มาคีอดแปลกใจไม่ได้ ลูกสาวหายออกจากบ้านไปเลยพ่อแม่จะเป็นห่วงขนาดไหน

“พวกเรามาจากพื้นที่พิเศษ เป็นพื้นที่พิพาท พ่อแม่เราติดต่อพวกเราไม่ได้ พวกท่านคงได้แต่ภาวนาให้พวกเราปลอดภัยอยู่ในประเทศไทย ไม่ต้องไปเสี่ยงกับการสู้รบที่บ้านเกิด” แม้น้ำเสียงจะเจือเศร้าแต่คนพูดก็ยังมีความหวัง

“เราหวังว่าสักวันเราจะหาทางใช้หนี้หมด ออกไปทำงานและรับพ่อแม่มาอยู่ด้วย ถ้าอยู่ไทยไม่ได้ ก็ให้ไปอยู่พื้นที่ปลอดภัยในประเทศที่สาม”

“พวกเธอยัง เอ่อ…คิดว่าจะทำงานที่นี่ต่อหรือ” มาคีถาม

“ก็คงต้องทำ ไม่อย่างนั้นจะหาเงินได้ที่ไหน” อีกฝ่ายตอบ แม้จะสะท้อนใจกับคำพูดแต่เมื่อคิดถึงครอบครัวที่รออยู่ที่บ้านเกิด ความหวาดกลัว หม่นหมองก็เปลี่ยนเป็นยอมจำนน

“แต่ถ้าได้งานที่ดีกว่าเราก็อยากไปทำนะ แล้วค่อยหาเงินมาใช้หนี้เขา” หนึ่งในสามคนพูด จริงๆ ก็ไม่มีใครอยากถูกบังคับให้ทำงานแบบนี้ ยิ่งเด็กสาวที่ยังมีอนาคตรออยู่ข้างหน้าใครจะอยากจมปลักอยู่กับสถานที่แย่ๆ นี้

 

“อะ ทำไงต่อ จอมวางแผน” เหมือนฝันกระซิบคู่หูหลังจากเวลาล่วงผ่านเที่ยงคืน ไม่มีวี่แววว่าจะซ่อมหม้อแปลงไฟเสร็จ อีกฝ่ายส่ายหน้าไปมา

“อ้าว” คนที่ตั้งคำถามอุทานได้แค่นั้นก็ทำคิ้วขมวด

“พี่ฝันบอกว่า ถ้าพี่ฝันไม่กลับบ้านคืนนี้คุณพ่อพี่ฝันจะปิดเมืองตามหาไม่ใช่หรือคะ” มาคีถาม “ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่าพี่สาวเราเป็นลูกสาวนายพลชื่อดัง” คนพูดรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้างแม้จะอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน

“เฮอะ พี่ก็พูดมั่วไปสิ ไม่อย่างนั้นเราจะรอดมาหรือ” คนพูดถอนหายใจชุดใหญ่ “พวกนั้นก็คงตกใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงไม่คิดว่าไอ้ลุงแท็กซี่นั่นจะจับคนไทยมา คงคิดว่าแถวนี้มีแต่คนต่างด้าวมาเดิน พอบอกว่าเป็นลูกนายพลพิทักษ์คนดังพวกมันก็เลยยิ่งตกใจ”

พอนึกย้อนไปเมื่อหัวค่ำก็เป็นเหมือนที่เหมือนฝันสันนิษฐาน ตอนที่แก๊งค้าผู้หญิงรู้ว่าทั้งสองคนเป็นคนไทยก็ชะงัก ออกไปปรึกษากันอยู่พักหนึ่ง ยิ่งพอเหมือนฝันโกหกว่าเป็นลูกสาวนายพลคนดังคงไม่ทันคิดว่าคนที่ถูกจับมาจะคิดเรื่องโกหกได้ทัน

“เราต้องหาทางหนีออกไป ทำไงดี” เหมือนฝันพยายามคิด ต้องมีสติเท่านั้นในเวลาคับขัน

“ก็ให้เขาช่วยสิ” มาคีพยักพเยิด

“ใคร” อีกฝ่ายถาม

“ตรงนั้นไง ผลุบๆ โผล่ๆ แล้วหลอกมาเราขายที่นี่” เด็กสาวพยักหน้าไปที่มุมห้องที่มิโมนั่งอยู่ ร่างโปร่งบางของผู้หญิงเห็นไม่ชัดนักนั่งอยู่ข้างเด็กสาวที่ชื่อมิโม ที่เอาแต่นั่งเงียบซุกตัวอยู่ที่มุมห้อง

 

“ได้โปรด ปล่อยฉันไปนะ อย่าทำร้ายฉันเลย” ความรู้สึกเจ็บปวดที่ใบหน้าซีกซ้ายมากมายจนทำให้คนที่ขอร้อง ร้องไห้ออกมา

“ไม่อยากโดนซ้อมก็ไปทำงาน อย่าเรื่องมาก” คนพูกยังกระชากแขนอีกฝ่ายไปมาไม่หยุด

“แต่ฉันไม่สบายนะพี่ ฉันขอหยุดสักวัน ขอร้องเถอะ” คนพูดพนมมือไหว้ปลกๆ

“ได้ ถ้ามึงไม่ไหวก็ให้น้องมึงไปทำละกัน” คนพูดปล่อยแขนอีกฝ่ายก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กสาวที่นั่งขดอยู่มุมห้อง

“อย่านะ น้องฉันยังเด็ก อย่าเพิ่งบังคับมันเลย พรุ่งนี้นะ พรุ่งนี้ ฉันจะรับงานเป็นสองเท่า” อีกฝ่ายขอร้องตัวสั่นงันงก อาการสั่นไปทั้งตัวไม่ได้เกิดจากความกลัวเท่านั้น อาการนั้นยังเกิดจากไข้สูงจนหญิงสาวบังคับร่างกายไม่ได้

“ไม่ได้โว้ย ข้าวต้องกินทุกวัน มึงไม่ทำงานจะเอาเงินที่ไหนแลกข้าว” อีกฝ่ายเข้าฉุดกระชาก

“ขอร้องละ ขอร้อง” คนพูดร่ำไห้ลงไปนอนกับพื้นอย่างน่าเวทนา

“พวกพี่หยุดเถอะ อย่าทรมานเขาแบบนั้นเลย” หญิงวัยเดียวกับคนที่โดนยื้อยุดเข้ามาขวางพร้อมกับยกมือไหว้ “มาลาป่วยจริงๆ”

“โอ๊ย พวกมึงนี่เรื่องมาก งั้นมึงก็ไปทำงานแทนละกัน” คนพูดตัดรำคาญ

“ไม่นะพี่ วันนี้ฉันทำงานครบรอบแล้ว ฉันแค่เวทนาคนป่วย” คนที่ขอร้องแทนยังยกมือไหว้ค้างอยู่

“โน่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ เอ้า พวกมึง จัดสักหน่อย”

พอสิ้นคำสั่งหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์อีกสองคนก็เข้าทำร้ายผู้หญิงที่นั่งไหว้กับพื้นอย่างหนัก ไม่เว้นให้แม้ว่าเด็กสาวจะเข้าห้ามและกราบกราน

“อย่า ขอร้องละ อย่าทำร้ายพี่มาลาพี่จันทร์เลย ขอร้องเถอะ”

“โอ๊ย พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว เจ็บเหลือเกิน” เสียงขอร้องอย่างเจ็บปวดดังไม่ขาดปากจากผู้หญิงทั้งสอง

ในค่ำคืนของประเทศที่เด็กสาวจากเขตสู้รบชายแดนหวังว่าจะได้อยู่อย่างปลอดภัย อาศัยหลบหนีมากับนายหน้าหวังทำงานเลี้ยงชีพและกลับไปรับพ่อแม่ไปอยู่ที่ปลอดภัย แต่สถานที่นั้นไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เสียงร้องขอจากทั้งสามกลืนหายไปกับความวุ่นวายในแหล่งคับคั่งของกรุงเทพมหานคร

 

“พอแล้ว ไม่นะ เจ็บเหลือเกิน ไม่นะ”

“พี่ฝัน พี่ฝันเป็นอะไรไป” มาคีเขย่าหญิงสาวที่นอนละเมอมาครู่ใหญ่ และตอนนี้เหมือนกับจะเสียงดังมากขึ้น พยาบาลสาวลืมตาในห้องมืด เหงื่อผุดพราวจนเสื้อชื้นแฉะ

“พี่รู้แล้วคีย์ พี่รู้แล้ว พี่รู้แล้ว” เหมือนฝันพร่ำพูดคำเดิม นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างคนที่ตกใจสุดขีด “ฉันรู้แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว”

 

“ตึ่ก ตึ่ก” มาคีวิ่งย่ำมาบนทางเดินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ พยายามอย่างยิ่งไม่ให้รอยย่ำเท้าเกิดเสียง แม้แต่การหอบหายใจมาคียังค่อยๆ ผ่อนลมออกจากปาก เสียงวิ่งตามมาไม่ไกลกระตุ้นเตือนว่า ‘พวกมัน’ กำลังตามมาไม่หยุดเช่นกัน แน่นอน…ทั้งมาคีและพวกมันกำลังเล่นเกมชีวิตอยู่ ใครแพ้ คนนั้นเกม

“ตอนที่พวกมันให้ฉันออกไปทำงาน คีย์กับพี่ฝันก็เดินตามไปเหมือนสมยอมนะ พอไปถึงชั้นสอง แขกจะเยอะมาก ทั้งสองคนก็ทำเป็นเข้าไปคุยกับแขก หาทางออกไปที่ระเบียงด้านหลัง” เด็กสาวหนึ่งในสามคนที่จำยอมทำงานบอกแผนการให้มาคีและเหมือนฝันฟัง

“ที่ระเบียงชั้นสองมันไม่สูงมาก ข้างล่างจะมีกองผ้าเต็นท์สุมกันอยู่ ตรงนี้ก็ต้องวัดใจ…”

“วัดใจ?” เหมือนฝันทำเสียงสูงเป็นคำถามท้ายประโยค

“ต้องโดดลงไป” คนพูดบอก

“โดดหรือ” เหมือนฝันผ่อนลมหายใจยาว อาทิตย์ก่อนเป็นพยาบาลอยู่ดีๆ วันนี้มาเล่นบทนักสืบเสียแล้ว แถมไม่ใช่นักสืบนั่งโต๊ะไขปริศนา แต่ต้องเป็นสายบู๊อีก

“แล้วหลังจากนั้นล่ะ” มาคีถาม ตอนนี้เธออยู่จุดไหนของกรุงเทพมหานครยังไม่รู้เลย

“เรื่องต่อจากนั้นฉันไม่รู้แล้วละ” คนพูดทอดสายตาเศร้ามองมาคี…แน่นอนว่าหลังออกจากพื้นที่พิพาท เด็กสาวจากจุดสู้รบก็ถูกพามาที่นี่ ไม่เคยรู้เคยเห็นว่าส่วนอื่นของกรุงเทพมหานครมีหน้าตาอย่างไร

“ถ้าฉันหนีได้” มาคีจับมืออีกฝ่ายมาบีบแน่น “ฉันจะกลับมารับพวกเธอ”

คนที่ต้องอยู่ต่อยิ้มแห้ง ไม่รู้ว่าสำหรับพวกเธอแล้วความหวังยังมีอยู่อีกหรือไม่ ภาพซ้อนของจันทร์เข้าทาแทรกในห้วงความคิด จันทร์กับมาลาก็วางแผนหลบหนีเช่นกัน…

เหมือนฝันมองสายตาเศร้าของอีกฝ่าย…ภาพฝันของมาลาและจันทร์ยังฝังจำในหัว เธอรู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร เหมือนฝันดึงเด็กสาวที่มาคีจับมือมากอด

“พวกพี่ไม่เหมือนมาลากับจันทร์” เธอกระซิบ อีกฝ่ายเบิกตากว้าง

“พี่รู้เรื่องมาลากับจันทร์ได้ยังไง” น้ำเสียงสั่นเครือไม่ต่างจากร่างทั้งร่างที่สั่นเทิ้มไปหมด

มาคีกับเหมือนฝันมองหน้ากัน มองเด็กสาวทั้งสามคน และเผลอมองขึ้นไปยังชั้นบนที่มิโมยังนั่งขดที่มุมห้องพร้อมทั้งนึกถึงความเศร้าหมองของเด็กสาวคนนั้น

“พี่จันทร์อยู่กับพวกเธอตลอด พี่จันทร์ไม่ได้ไปไหน เขาดูแลพวกเธออยู่เสมอ” มาคีเหลือบมองข้างๆ  เงาเลือนรางของใครอีกคนยืนวาบไหวตรงนั้น ในภาพเลือนรางร่างนั้นกำลังร้องไห้

“ฉันจะช่วยพวกเขาให้ได้ ฉันสัญญา” มาคีพูดกับใครบางคนที่คนอื่นมองไม่เห็น

“จันทร์อยู่ตรงนั้นหรือ” เหมือนฝันถามคู่หู อีกฝ่ายพยักหน้า

“จันทร์” เหมือนฝันพูด “ฉันสัญญาว่าจะช่วยน้องๆ เธอให้ได้ เรามาช่วยพาทุกคนออกจากนรกนี่นะ”

 

ตึก ตึก…เสียงย่ำเท้าดังมาจากซอยเปลี่ยว มาคีวิ่งมานานจนทำให้เรี่ยวแรงทั้งหมดแทบไม่เหลือ แต่ไม่ว่าจะหมดแรงลงตรงนี้มาคีก็ต้องวิ่งเพื่อช่วยทุกคน ไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีป้ายบอกทาง แม้จะเป็นคนกรุงเทพฯ แต่มาคีก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องไปทางไหน รู้แค่ไปไหนก็ได้ที่จะหาสถานีตำรวจให้เจอ เธอต้องจัดการเรื่องทุกอย่างให้จบคืนนี้ ไม่อย่างนั้นพวกมันต้องเคลื่อนย้ายพาทุกคนรวมทั้งเหมือนฝันไปที่อื่น

“หนีไปคีย์ หนีไป” มาคีหันกลับไปมองเหมือนฝันที่ถูกดึงไว้ที่ชั้นสอง เหมือนฝันกระโดดตามมาคีไม่ทัน พวกมันไหวตัวทันเข้ารวบตัวเสียก่อน

“ไปคีย์ ไม่ต้องห่วงพี่” เหมือนฝันทำเสียงเข้ม มาคีหันไปมองอีกครั้งก่อนจะลุกและวิ่งหนีไม่คิดชีวิต มันเป็นข้อตกลงก่อนหน้านั้นระหว่างมาคีกับเหมือนฝัน ถ้าเห็นท่าไม่ดีใครอีกคนถูกจับอีกคนต้องหนีไปไม่กลับมาช่วย

“พี่จันทร์ดูแลทุกคนด้วย” มาคีตะโกนเสียงดัง ชายร่างกำยำที่ยื้อเหมือนฝันไว้หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ที่ระเบียงร่างเลือนรางที่คุ้นเคยของจันทร์ยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าขาวเผือดเด่นชัด ไม่ร้องไห้ แต่กลับแสยะยิ้ม ชายทั้งกลุ่มพยายามมองหาผู้หญิงชื่อ ‘จันทร์’

“โอ๊ย” มาคีสะดุดใส่ก้อนอิฐล้มลงอย่างแรง รู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า

“ตึก ตึก” เสียงวิ่งตามอยู่ไม่ไกลนัก

“ทางนั้น กูเห็นหลังมันไวๆ” เสียงห้าวแว่วมาตามลม

มาคีพยายามลุกจากพื้นแต่ความเจ็บร้าวที่ข้อเท้าทำให้เธอเชื่องช้า ถ้าเป็นแบบนี้มาคีคงไม่รอด ไม่นะ…มาคีจะไม่ถูกจับกลับไป ถ้าถูกจับทุกอย่างที่วางแผนไว้ต้องจบ มาคีอาจไม่มีโอกาสแม้แต่จะช่วยตัวเอง

“บ้าเอ๊ย” เด็กสาวสบถใส่ข้อเท้าตัวเองหลังล้มพับลงอีกรอบ

“นั่นไง มันอยู่นั่น” เสียงไล่หลังดังขึ้น

“พ่อคะ พ่อ ช่วยคีย์ด้วย ช่วยคีย์ที” มาคีรู้สึกน้ำตารื้นจนดวงตาพร่ามัว นี่เธอพาเหมือนฝันมาตกนรกแท้ๆ

“จับมันๆ” น้ำเสียงย่ามใจ “อีบ้านี่ วันนี้มึงตายคาตีนกูแน่ ให้วิ่งตามจนหอบ” คนพูดข่มขู่

“อย่านะพวกแก ไอ้พวกชั่ว ช่วยด้วย” ในยามจนตรอกมาคีสบถด่าคนร้าย ปากร้องขอความช่วยเหลือถึงจะรู้ว่าไม่มีใครมาช่วยเธอได้ แถวนี้เป็นถิ่นของพวกมัน

ก่อนชายฉกรรจ์สี่คนจะถึงตัวเด็กสาวที่กำลังคลานหนีไปกับทางเท้า ร่างบอบบางของใครคนหนึ่งปรากฏตรงหน้า ร่างนั้นมาตอนไหน แล้วมายืนอยู่ตรงนั้นตอนไหนไม่มีใครรู้ เธอหันมามองมาคี ใบหน้าขาวซีดมองเด็กสาวอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากซีดขยับกล่าว

“ขอบคุณนะ”

“เฮ้ยพี่ อีมาลา” ใครบางคนร้องทัก

“พี่มาลา” มาคีนึกถึงหญิงสาวที่นอนโคม่าอยู่ที่ตึกอายุรกรรมที่เหมือนฝันทำงาน ทำไมพี่มาลาลุกมาที่นี่ได้ มาให้พวกมันจับกลับไปขายทำไม

ไม่รู้ว่ามาคีจะตั้งคำถามอีกเท่าไร แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือกลุ่มชายสี่คนรุมเข้าทำร้ายผู้หญิงร่างบาง แต่ไม่ว่าจะเหวี่ยงหมัดเตะต่อยอย่างไรก็ผ่านร่างนั้นไปจนเสียหลัก หลายหมัดโดนเข้ากับพวกเดียวกัน หญิงสาวที่ยืนเป็นเป้านิ่งหัวเราะก้องชอบใจ

“อะไรของมึง ทำไม” หลังปล่อยหมัดไปโดนเพื่อนอีกคนจนร่วงไปกองกับพื้น ชายร่างกำยำเริ่มสับสนและตั้งคำถาม มาลาหัวเราะไม่หยุดราวกับคนบ้า ตอนนี้จากใบหน้าขาวซีดมีเลือดไหลออกปากออกตา

“พวกมึงทำร้ายกู” เสียงกระซิบแผ่ว แต่ก็ดังจับจิตวายร้าย

“กูเจ็บ กูทรมานยังไง พวกมึงรู้ไหม” ร่างขาวซีดเริ่มเน่าเปื่อยส่งกลิ่นสาบฉุน

“เฮ้ย มึงเป็นอะไรอีมาลา” คนพูดเสียงสั่น การรับรู้กระตุ้นถึงครั้งสุดท้ายที่พวกมันซ้อมมาลาอย่างหนัก “มึง มึงเป็นคนหรือผี” คำถามนั้นไม่ต้องการคำตอบ ชายทั้งสี่ถอยร่นตัวสั่นงันงกพยายามวิ่งหนีจากร่างนั้น

“อย่าแย่งกู อย่าผลักกู” ทางแคบๆ ทำให้พวกมันแย่งหนีกันเอง

“ไอ้เหี้ย มึงผลักกู” อีกคนตะเบ็งเสียง ยังหันหลังมามองมาลาพร้อมเบิกตาโพลงตกใจสุดขีด “กูไม่ได้ทำ กูไม่ได้ฆ่ามึงมาลา พวกมันทำ กูจะฆ่ามันให้ มึงอย่าฆ่ากูนะ”

วายร้ายทั้งสี่คล้ายจิตหลอน บางคนก็หยิบมีดขึ้นมาแทงเพื่อน บางคนก็ปีนขึ้นชั้นสองชั้นสามของตึกข้างทางแล้วกระโดดลงมา

“กูไม่ได้ทำ กูไม่ได้ทำ” คนที่นอนจมกองเลือดของเพื่อนส่งเสียงโหยหวนหลังเห็นเพื่อนที่ตัวเองเพิ่งแทงตาย

“เอาสิ” มาลากระซิบเดินเข้าหา

“อย่า อย่าฆ่าฉัน ฉันกลัวแล้ว” มันพนมมือไหว้ร่างบางที่ตอนนี้มายืนจนชิดร่างสั่นงันงก ที่เท้าของมาลา มีดเล่มเดียวกับที่มันใช้แทงเพื่อนตกอยู่

“ทำสิ” มาลากระซิบ อีกฝ่ายเอื้อมมือหยิบมีด

ก่อนที่มาคีจะตั้งสติกับเหตุการณ์ตรงหน้าได้ ชายร่างกำยำก็หยิบมีดและปาดคอตัวเองอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงพุ่งกระฉูด มันตาค้าง กระตุกอย่างแรง ก่อนจะล้มลงกับพื้น เลือดสีแดงไหลริน

“กรี๊ด” มาคีกรีดร้อง ไม่เคยคิดว่าจะเจอเหตุการณ์น่าสยดสยองแบบนี้ เด็กสาวสติขาดผึงก่อนฟุบลงไปกองกับพื้น ค่ำคืนในย่านร้างไร้ผู้คนแหล่งรวมของความร้ายกาจต่างๆ นานา ยังมีอีกหลายชีวิตรอการช่วยเหลือ ห่างออกไปไม่กี่ร้อยเมตร ถนนใหญ่พลุกพล่านไปด้วยรถยนต์ที่แล่นไปมา แต่ในตรอกเล็กๆ มุมหนึ่งกลับเป็นสถานที่เปลี่ยวร้างและเป็นแหล่งรวมเหตุอาชญากรรม

 

“เอาละ น้องคีย์ พร้อมจะให้ปากคำหรือยัง” นายตำรวจหนุ่มถามพร้อมกับมองหน้าเด็กสาวกับพยาบาลเหมือนฝันคู่หู ทั้งสองคนนั่งเหม่อมองมือตัวเองไม่มีสมาธิในการฟัง

“น้องคีย์ คุณฝัน ใครจะเล่า” คนถามเสียงเข้ม

“คุณสองคนจะมานั่งเงียบไม่พูดไม่ได้นะครับ นี่มันคดีใหญ่ คดีค้ามนุษย์ข้ามชาติ มันเป็นคดีระหว่างประเทศเลยนะ มันเป็นยังไงครับ” คนพูดพยายามถามต่อ

หนึ่งสัปดาห์ก่อนเวลาเที่ยงคืนกว่า เขาได้รับแจ้งจากหญิงพลเมืองดีว่ามีเหตุวิวาทฆ่ากันตายในเขตรับผิดชอบของสถานีตำรวจของเขา ร้อยตำรวจเอกเอื้ออังกูรพร้อมลูกน้องอีกแปดนายไปถึงที่เกิดเหตุ ที่นั่นเขาพบมาคีนอนสลบท่ามกลางศพของชายฉกรรจ์สี่คนที่แทงกันตาย มาคีฟื้นขึ้นมาก็สติแตกพยายามวิ่งหนีตำรวจ ทั้งหมดวิ่งตามเด็กสาวไปจนถึงอาคารพาณิชย์สี่ชั้นที่ดูภายนอกเป็นเพียงตึกเก่าแต่จริงๆ แล้วเป็นสถานที่ลักลอบเปิดค้าประเวณี หญิงบริการทั้งหมดล้วนมาจากกระบวนการค้ามนุษย์

ที่นั่น…ตำรวจทั้งเก้านายต้องตกตะลึง เรียกกำลังเสริมทั้งจากท้องที่และนครบาล เพราะมันคือแหล่งค้ามนุษย์ข้ามชาติ เขาพบเด็กสาวจากรอยต่อชายแดนพื้นที่พิพาทสิบสี่คน และที่ต้องตกใจเขาเจอเหมือนฝัน พยาบาลสาวจากโรงพยาบาลใกล้สถานีตำรวจ…น่าแปลกที่เธอไม่ได้ตกใจหรือโวยวายอะไร เธอวิ่งไปกอดมาคีแน่น ทั้งสองคนไม่พูดกันสักคำได้แต่กอดกันอยู่เช่นนั้น

“คุณผู้หญิงครับ ได้โปรดพูดอะไรบ้าง”

“พวกมิโม จะเป็นยังไงต่อคะ เราส่งเขากลับบ้านไม่ได้นะ” มาคีโพล่งถามออกมา

“ถ้าเราจะช่วยน้องๆ พวกนั้นให้มาทำงาน เราต้องติดต่อใครคะ” เหมือนฝันกระตือรือร้นถามบ้าง

“อ้อ” นายตำรวจพูดได้แค่นั้น

“ว่าไงคะ ช่วยตอบเร็วๆ หน่อย” พยาบาลสาวเร่งรัดท่าทางร้อนใจขึ้นมา

“ตอนนี้ทุกคนอยู่ในที่ที่ปลอดภัยครับ เราจะทำตามขั้นตอน ทุกคนจะไม่ถูกส่งกลับพื้นที่พิพาทในตอนนี้ แต่ต้องดำเนินตามขั้นตอนก่อนจะแสดงตัวตน และมีบัตรผ่านมาทำงานที่ไทย” กลายเป็นว่าผู้ถามกลายมาเป็นผู้ถูกซักถาม และนายตำรวจต้องตอบคำถามให้สองสาวด้วย

“เฮ้อ ดีมากค่ะ” เหมือนฝันถอนหายใจ “ยังไงถ้ามีปัญหาติดขัดเรื่องอะไรเกี่ยวกับน้องๆ พวกนี้บอกฝันนะคะ ฝันยินดีช่วยเต็มที่”

มาคีกับเหมือนฝันนั่งจับมือกันอย่างมีความหวัง ทั้งสองคนเหมือนไม่สนใจฟังเรื่องการสอบสวนสักเท่าไรเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องของเด็กสาวที่ถูกหลอกมาขาย ทางด้านนายตำรวจเองแม้จะงงงันที่ทั้งสองไปโผล่ยังสถานที่ค้ามนุษย์ข้ามชาติแต่ในแวบหนึ่งเขารู้สึกว่าสองคนนี้ยังมีอะไรที่ไม่บอก บางเรื่องที่ผู้หญิงสองคนนี้เก็บไว้…แต่ก็นั่นแหละ คดีนี้เป็นคดีใหญ่ เอี่ยวกับผู้มีอิทธิพลหลายระดับ การทำคดีคงใช้เวลานาน เขาคงยังไม่บีบคั้นทั้งสองคนตอนนี้ นัดสืบความไปเรื่อยๆ สักวันคงเผลอพูดออกมาเอง

 

“ไปสู่สุคตินะพี่มาลา พี่จันทร์” มาคีกับเหมือนฝันกรวดน้ำใต้ต้นโพธิ์ใหญ่

หลังเหตุการณ์คืนโหด เมื่อเหมือนฝันกลับไปที่โรงพยาบาลก็พบว่ามาลาเสียชีวิตแล้ว ทั้งเหมือนฝันและมาคีรู้แล้วว่าทำไมมาลาไม่ยอมจากไปสักทีทั้งที่ร่างกายไม่ไหว ทั้งหมดเพราะความห่วงน้องสาวมิโมที่ยังติดอยู่ในซ่องนรกนั่น

“คีย์เห็นสองคนนั่นไหม หรือจะเรียกยังไง ตน หรืออะไร” เหมือนฝันถามหลังจากกรวดน้ำเสร็จ

“เห็น พี่เขากำลังจะไปแล้ว” มาคีบอกอีกฝ่าย “พี่เขาบอกขอบคุณพี่ฝัน” มาคีบอกพยาบาลสาว

“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย ไปสู่สุคตินะพวกเธอ” เหมือนฝันน้ำตารื้น รู้สึกทั้งอิ่มใจทั้งใจหาย โลกนี้มีคนขาดโอกาสอยู่มากมาย แค่ขาดโอกาสชีวิตก็ยากลำบากมากพอแล้ว คนที่มีโอกาสมากกว่าไม่ควรเบียดเบียนหรือแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ด้อยกว่าไม่ว่าทางไหนก็ตาม

“เสียดายที่เราเจอกันช้าไปนะ มาลา จันทร์ ไม่เป็นไรเลย ไม่ต้องห่วงอะไร ฉันจะพยายามช่วยมิโมทุกทาง ไม่ต้องห่วงแล้วนะ” เหมือนฝันพึมพำ ความรู้สึกประเดประดังหลากหลายทั้งเวทนา ทั้งรู้สึกว่าตัวเองโชคดีเหลือเกินที่เป็นตัวเองในทุกวันนี้

 

“ติ๊ด ติ๊ด” เสียงมอนิเตอร์ดังแทรกความเร่งรีบ

“คีย์ คีย์ หมอขอช็อกสองร้อยจูน” เสียงนายแพทย์หัวหน้าทีมบอกมาคี ที่ตอนนี้ยืนกดมอนิเตอร์หน้าจอ ชุดพยาบาลเสื้อกางเกงสีขาวเปื้อนละอองเลือดเล็กๆ ที่พุ่งมาตอนพยายามกดแผลห้ามเลือด

บนเตียงผู้ป่วย ชายสูงวัยใบหน้าซีดเผือด มีแผลเลือดซึมที่ขา หน้าจอเครื่องติดตามการเต้นของหัวใจบอกว่าหัวใจเต้นผิดจังหวะ

“สองร้อยจูน เคลียร์” นายแพทย์หัวหน้าทีมบอก ทุกคนรอบเตียงขยับถอย เครื่องช็อกไฟฟ้าถูกกดลงที่หน้าอก ชายใบหน้าเผือดซีดไร้สติ…ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆ ลืมตามามองมาคีทั้งๆ ที่ร่างทั้งร่างกระตุกจากไฟฟ้าสองร้อยจูน



Don`t copy text!