ตรวนใบจาก บทที่ 3 : ผู้ชายคนใดชื่อใบจาก

ตรวนใบจาก บทที่ 3 : ผู้ชายคนใดชื่อใบจาก

โดย : ฉาย แสงเพชร

Loading

ตรวนใบจาก รางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 5 โดย ฉาย แสงเพชร เกษตรกรจาก จ.ตราด ผู้ฝันอยากเป็นนักเขียนแนวท้องถิ่นที่ได้พลิกบทบาทจากงานเขียนเชิงวิชาการมาสู่การเขียนนวนิยายแนวแฟมิลี่ดราม่ากับเรื่องราวของอาชีพลอกใบจากและชีวิตที่เป็นปริศนาของคุณยายคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอา

“พอทีจักร ยายแกเหนื่อยแล้ว เอ็งอย่ายั่ว ไปกินข้าวในครัวก่อนเถอะ”

เพราะคุณยายอาละวาดมากกว่าเดิม ทั้งสีหน้าท่าทาง ทั้งเสียงที่เอ็ดตะโรบ่งบอกว่าเกลียดคนที่ชื่อใบจากชนิดเข้ากระดูกดำ ป้ากิมเหมยจึงเข้ามาขวาง บอกให้ผู้ชายคนนั้นออกไปเสีย เขาคนนั้นหันหลังกลับ ยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ แล้วเดินไปเข้าครัวทางหลังบ้าน พอผู้ชายคนนั้นจากไป ท่าทีของคุณยายค่อยสงบลงบ้าง แต่ยังไม่วายหันมาย้ำกับป้ากิมเหมยและเธอ

“กิมเหมย อย่าให้ใบจากมันมาบ้านอีกนะ ไล่มันไป กิมบ๊วย หนูเชื่อแมะนะ ไอ้ใบจากมันคนหลอกลวง มันไม่จริงใจกับหนูหรอก เชื่อแมะนะ ตัดใจซะ ก่อนน้ำตาจะเช็ดหัวเข่า”

เพื่อให้คุณยายสงบลงและยอมนอนพักผ่อน ทั้งป้าทั้งหลานเลยยอมเออออไปตามที่แกพูด แกยังพูดวนด้วยใจความประมาณนี้อีกสองสามรอบ ก่อนจะหลับไป เมื่อยายหลับแล้ว ทั้งคู่ถอยออกมา โบตั๋นที่มีแต่ความสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น รีบเอ่ยถามทันที

“ผู้ชายคนเมื่อกี้เป็นใครหรือคะ เขาชื่อใบจากหรือคะ”

“ไม่ใช่หรอก คนเมื่อกี้เป็นลูกของน้องชายลุงเทียน ก็เป็นหลานป้าคนหนึ่งเหมือนกันแหละ แต่เป็นหลานทางลุงเทียนเขา ไม่ได้เป็นหลานยายหรอก แต่เขาไม่ได้ชื่อใบจาก เขาชื่อจักรวาล ชื่อเล่นชื่อจักร อ้อ จักรเคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเหมือนหนูด้วยนะ แต่เขาลาออกมาสองปีละ ไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไร แต่เพราะจักรลาออกมาช่วยทำสวนนี่แหละ ป้าถึงไปรับยายมาดูแลได้ ไม่ต้องออกไปช่วยลุงทำสวน”

“แล้วลูกๆ ของป้าล่ะคะ ไปไหนกันหมด”

“ป้ามันคนอาภัพลูกน่ะหนู มีลูกสี่คน เลี้ยงรอดแค่สอง แล้วตอนท้องคนที่ห้า ไปกรีดยางแล้วหกล้มในสวนยางแล้วแท้ง แต่นั้นก็ไม่ท้องอีกเลย พอน้องชายลุงเขาตายยกครัว เหลือลูกชายรอดคนเดียว ลุงเขาเลยเอาหลานมาเลี้ยง ก็ได้เจ้าจักรนี่แหละมาช่วยทำสวน ลูกยายอีกสองคนไม่เอาเลย ไปทำงานกรุงเทพกันหมด”

เมื่อเห็นท่าว่าป้ากิมเหมยจะสาธยายเรื่องลูกอีกยาว ไม่เข้าเรื่องที่เธออยากรู้เสียที เธอจึงขัดขึ้น

“ป้าคะ แล้วคนที่ชื่อใบจากล่ะคะ เป็นอะไรกับยาย”

“ไม่ได้เป็นญาติกันหรอกหนู ก็แค่คนแถวบ้าน ที่คุ้นหน้ากับครอบครัวป้าดี แต่ไม่สนิทกันมากหรอกนะ พอป้าเริ่มเป็นสาวก็หายหน้าไป มาได้ข่าวอีกทีก็ตายไปแล้ว”

“แล้วทำไมยายถึงจำเขาได้แม่นขนาดนี้ล่ะคะ แม่ของหนูเป็นลูกสาวยายแท้ๆ ยายยังไม่พูดถึงเลย พูดถึงแต่ใบจากกับป้าบ๊วย เอ๊ะ เดี๋ยว ป้าบ๊วยกับป้าห่างกันกี่ปีหรือคะ แล้วตอนป้าบ๊วยตาย คนชื่อใบจากยังอยู่หรือเปล่า ทำไมยายพูดเหมือนสองคนนี้รู้จักกัน”

คราวนี้ ป้ากิมเหมยกลับอึ้งไป พร้อมกับทำสีหน้าเหมือนไม่อยากเล่าขึ้นมาแล้ว “ป้ากับเจ๊บ๊วยน่ะ ก็เกิดไล่ๆ กันมาแหละ จำไม่ได้หรอก ตอนเด็กก็จำได้แค่โตทันกัน วิ่งเล่นด้วยกันมา ส่วนคนชื่อใบจากหายหน้าไปตอนไหน ป้าก็จำไม่ได้ถนัดแล้วแหละ บอกแล้วว่าป้าไม่สนิทกับเขา เออ แน่ะ เสียงลุงเทียนกลับมาจากสวนแล้ว ไปไหว้ลุงเขากันเถอะ”

 

แสงแดดยามบ่ายช่วงปลายเดือนมีนาคมยังร้อนแรงไม่ต่างจากยามเที่ยงวัน คุณยายยังหลับอยู่ โบตั๋นออกมายืนพิงกรอบประตูมองเหม่อออกไปนอกบ้าน ใจยังคิดทบทวนเรื่องของคนชื่อกิมบ๊วยกับใบจากอยู่ในใจ เสียงคนเดินมาใกล้ เธอหันไปดู คนที่ยายเรียกว่าใบจากนั่นแหละ มาก้มๆ เงยๆ หยิบของอยู่ข้างบ้าน คงเตรียมตัวจะเข้าสวน แต่เพราะสายตาเธอสะดุดกับการแต่งกายที่แปลกตา แดดเปรี้ยงอย่างนี้ ไม่มีเค้าฝนแม้สักนิด เขากลับแต่งตัวด้วยเสื้อคลุมพลาสติกราวกับจะไปเดินฝ่าพายุฝนฟ้าคะนอง แทนที่เธอจะเหลือบตามองแล้วหันกลับมา กลายเป็นว่าเธอเอาแต่จ้องมองจนคนถูกมองรู้ตัว เงยหน้าขึ้นมามอง พอเขาเห็นหน้าเธอ แววเหยียดหยามฉายชัดในดวงตา พร้อมกับวาจาที่เหลือรับประทาน

“มองทำไม แม่อาจารย์มหาลัย ไม่รู้หรือไงว่าหน้านี้เขาต้องรดน้ำต้นไม้กัน และน้ำคลองก็ไม่ใช่น้ำจากสระว่ายน้ำ ไม่มีใครเขาอยากให้โดนตัวกันหรอก อ้อๆๆ ได้ยินว่าจบตั้งดอกเตอร์ด้วยไม่ใช่เหรอ ทำไม้ ทำไม…”

“นี่ ฉันจบดอกเตอร์ทางเคมี ไม่ใช่เกษตร แล้วคนไม่เคยทำสวน จะรู้ได้ไงว่าเขาต้องทำไรกันมั่ง”

“ใช่ซี่ เฉิดฉายเป็นสาวกรุงเทพหัวสูง นึกถึงสวนก็นึกถึงแบบในละคร แต่งตัวโก้ๆ ขี่ม้าพกปืนไปเที่ยวสวน พอเจอคลองก็ลงจากม้าไปดำผุดดำว่าย…”

“บ้าสิ ใครจะไปคิดอย่างนั้น”

“แล้วจะคิดอย่างไหน อ้อๆ รู้แล้ว พอได้ข่าวว่ามีคุณยาย ก็นึกว่าเจ้าคุณยายคงมีปราสาทหลังมโหฬาร มีทรัพย์สมบัติมหาศาล หวังจะมาเอาสมบัติไปซื้อเปเปอร์ (1) ซื้อตำแหน่งใช่ไหมล่ะ หรือจะมาเอาเงินไปหมุนเพราะยังปิดทุนไม่ได้”

เชื่อแล้วละว่าอีตานี่เคยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยจริงๆ ไม่ใช่เพราะป้ากิมเหมยคุยโม้โอ้อวดสรรพคุณหลานชาย แล้วทำไมต้องลาออกมาทำสวน ก็คงเพราะปากอย่างนี้กระมัง เป็นแค่พนักงานมหาวิทยาลัยแล้วปากดีไปเจอตอเข้า เขาไม่ต่อสัญญาเลยกระเด็นออกมา พอคิดได้แบบนี้ เธอก็พ่นวาจาไปทันทีตามประสาคนที่ไม่เคยยอมแพ้ใครง่ายๆ

“ฉันจะมีเปเปอร์หรือไม่มี ขอตำแหน่งหรือยังไม่ได้ขอ ปิดทุนได้หรือไม่ได้ แต่ฉันก็ยังเป็นอาจารย์อยู่ได้ ไม่ต้องมาง้อสมบัติบ้าอะไรอย่างที่นายว่าหรอก คนที่รอสมบัติยาย ควรเป็นคนที่กระเด็นออกมาอย่างนายมากกว่านะ”

“คนที่กระเด็นออกมาจากบ่อโสโครก ยังไงก็ยังดีกว่าคนที่ยังกระเสือกกระสนอยู่แน่ๆ คงไม่ต้องสาธยายละมั้งว่าโสโครกยังไง มีแต่คนหน้าเงินเท่านั้นที่อยู่ได้ และก็เพราะหน้าเงินนี่ไง ถึงได้วิ่งโร่มาหาสมบัติคุณยาย”

“ยี้ ปากอย่างนี้นี่เอง ยายถึงไล่ส่ง ไม่นับว่าเป็นหลาน แถมยังเอาชื่อคนที่แกเกลียดมายัดเยียดให้”

“แล้วนึกว่ายายสีไพลน่ะเป็นคนดีนักหรือไง” จักรวาลสวนคำให้บ้างอย่างไม่ยอมลดราวาศอก “ชื่อเสียงเหม็นคลุ้งไปปากซอยท้ายซอย เลี้ยงผี เล่นของจนของเข้าตัว มีผัวก็ฆ่าผัว มีลูกก็ฆ่าลูก พอจะตาย กรรมตามทัน เอาแต่นอนคลุมโปงกลัวตำรวจมาจับ โมรากากีชัดๆ”

“ไม่จริง!” ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด เธอตะโกนสวนคำไปทันที ทั้งที่จริงๆ แล้วเธอไม่รู้จักยายของเธอแม้แต่น้อย “ยายไม่มีวันเป็นอย่างนั้น ไม่ได้ยินหรือไง ยายห่วงลูกจะตาย กลัวถูกผู้ชายหลอก แม่แบบนี้จะฆ่าลูกได้ยังไง”

“ไม่เชื่อก็ตามใจ แต่รับรอง ไม่ว่าไปถามใคร เขาก็จะพูดแบบนี้ทั้งนั้น” จักรวาลทำเสียงเยาะ “ลองดูได้เลย ไปถามใครก็ได้ ถ้าไม่เชื่อ ไปถามเดี๋ยวนี้เลย”

 

เชิงอรรถ :

(1) ในแวดวงอาจารย์มหาวิทยาลัย เปเปอร์เป็นภาษาปากหมายถึงผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร ซึ่งมีความสำคัญในการขอตำแหน่งทางวิชาการและการปิดทุนวิจัย

 



Don`t copy text!