
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 2 : คนแรกของหัวใจ
โดย : เอมอักษร
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที
เจิดจันทร์กลับถึงบ้านเกือบหกโมงเย็น เพราะวันนี้พ่อไปงานสังสรรค์ของฝ่าย เธอต้องนั่งรถรับส่งของหน่วยงานที่อ้อมโลกไปไกลกว่าจะถึงบ้าน อากาศเดือนเมษายนร้อนอบอ้าวจนแอร์ในรถตู้ที่มีคนนั่งกว่าสิบชีวิตเอาไม่อยู่ หญิงสาวเพลียทั้งกายและใจจนอยากกระโจนขึ้นเตียงนอนในห้องที่เปิดแอร์เย็นฉ่ำเสียเดี๋ยวนั้น
หญิงสาวผลักบานประตูหน้าบ้าน ฉับพลันก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริงดังแว่วมาจากห้องรับแขก
หัวใจกระตุกนิดหนึ่งโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเจิดจันทร์จะข่มใจตัวเองขนาดไหนก็ไม่เคยสำเร็จ มันเป็นเช่นนี้ทุกครั้ง…นานนับปีมาแล้ว นับตั้งแต่วันที่เธอได้รู้จักเจ้าของเสียงหัวเราะแจ่มใสนั้น
“ปรีเมธ” เป็นหนึ่งในเพื่อนชายคนสนิทของเจณิสตา แม้จะเข้านอกออกในบ้านมาเกือบปี แต่ทั้งคู่ก็ไม่เคยวางตัวไปถึงระดับแฟน ตอนแรกเจิดจันทร์ไม่ได้สนใจเขานัก เหมือนที่เพื่อนชายทุกคนของพี่สาวน้องสาวไม่เคยสนใจเธอเลยเช่นกัน บางคนยังดีที่คุยทักตามมารยาทเวลาเจอ แต่บางคนนี่สิ มองข้ามหัวเธอไปยังกับเห็นเด็กรับใช้ก็ไม่ปาน
มีเพียงปรีเมธที่ไม่เหมือนคนอื่น นอกจากความเป็นหนุ่มหน้าตาดี หุ่นสูงเพรียวแข็งแรงแบบนักกีฬาตามสเป็กของเจณิสตาแล้ว เขาไม่มีอะไรเหมือนผู้ชาย “ตื้นๆ” พวกนั้น ปรีเมธทำความรู้จักกับเจิดจันทร์และ เจนนินทร์ด้วยความเต็มใจ แต่ก็ไม่มีทีท่าจะหลีหรือเจ๊าะแจ๊ะด้วยเกินงาม หากแต่การทักทายพูดคุยของเขา ที่เจิดจันทร์รู้สึกว่าชายหนุ่มสนใจคนที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ เพราะเขาจำรายละเอียดเรื่องที่คุยกันได้เสมอ และมักจับสังเกตความรู้สึกของคู่สนทนาได้ฉับไว
เพียงพบกันไม่กี่ครั้ง ปรีเมธก็จับความรู้สึกน้อยใจชีวิตของเจิดจันทร์ได้ ในขณะที่คนในบ้านไม่เคยรู้สึกแม้จะอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เกิดก็ตาม
เจิดจันทร์ถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้ช้าๆ ใช้เวลาอ้อยอิ่งแต่ละวินาทีพยายามห้ามหัวใจและสีหน้าไม่ให้เก้อเขินหรือลิงโลดออกมามากนัก อีกเดี๋ยวเธอต้องเดินผ่านห้องรับแขกไปยังบันไดเพื่อขึ้นไปยังห้องนอนบนชั้นสอง ไม่มีทางที่จะหลบเลี่ยงสายตาคู่นั้นได้
เอ หรือว่าจะหลบได้ เพราะเขาอาจไม่ได้สนใจหันมาสังเกตเธอด้วยซ้ำ
“อ้าว เจิดกลับมาแล้วครับแม่”
เจิดจันทร์ถอนหายใจเฮือก ยิ้มกว้างโดยไม่รู้ตัว เพราะเขายังสังเกตและทักเธอก่อนเหมือนเคย เมื่อหันไปมอง ก็พบใบหน้าคมมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้มแจ่มใส ปรีเมธนั่งอยู่ตรงข้ามกับแม่ของเธอ ท่าทางเหมือนกำลังคุยกันอย่างออกรส
“สวัสดีค่ะ ปรีมานานแล้วเหรอ”
“สักครู่ฮะ แวะมาส่งเจ พอดีมีของมาฝากคุณแม่ด้วย ของเจิดก็มีนะ”
“กระท้อนแช่อิ่ม” แม่พูดอย่างปลาบปลื้ม “ไม่เคยลืมเลยว่าแม่ชอบ ส่วนของเจิดก็มะดันกะปิหวาน ร้านนี้รอคิวนานจะตาย อยู่ก็ไกล๊ไกล เกรงใจปรีต้องไปเสียเวลา ต่อไปไม่ต้องแล้วนะ”
ปรีเมธแอบหลิ่วตาให้เจิดจันทร์นิดหนึ่ง เป็นที่รู้กันว่าถึงแม่ออกปากห้าม แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธของฝากที่เป็นของโปรดเลยสักครั้ง
เจิดจันทร์ขยับไปที่เก้าอี้รับแขก คงไม่เป็นไรถ้าเธอจะนั่งคุยกับแขกเป็นมารยาทอีกสองสามประโยค เขาอุตส่าห์ซื้อของมาฝาก จะเดินหนีขึ้นห้องเลยก็กระไรอยู่
“เออ เจิดนั่งคุยเป็นเพื่อนปรีไปก่อน เดี๋ยวแม่ไปเตรียมสลัดให้หนูเจนแป๊บ” แม่รวบถุงของฝากแล้วเดินอย่างกระฉับกระเฉงไปที่ห้องครัว
“แม่ยังคุยสนุกเหมือนเดิม เมื่อกี้เล่าเรื่องไปออกกองถ่ายกับหนูเจนให้ปรีฟังด้วย”
“แม่เขากิจกรรมเยอะ ส่วนใหญ่ก็เรื่องพี่เจกับหนูเจนแหละ” เจิดจันทร์ยิ้มเนือยๆ ก็ว่าจะไม่น้อยใจแล้วเชียวนะ แต่ก็อดไม่ได้ เมื่อครู่แม่รีบร้อนเดินออกไปก็เพราะต้องไปเตรียมสลัดสูตรสุขภาพให้เจนนินทร์เพื่อเอาติดตัวไปกองถ่ายเย็นนี้ ส่วนเธอยังไม่รู้เลยว่าจะมีอะไรกิน ดีไม่ดีอาจต้องพึ่งมะดันกะปิหวานของชายหนุ่มตรงหน้านี่ละมัง
“แม่เขารู้ว่าเจิดไว้ใจได้เสมอไงฮะ ดูแลตัวเองก็ดี ส่วนสองสาวนั่นน่ะ ยังไม่โตพ้นอกแม่เท่าไหร่หรอก” ปรีเมธพูดยิ้มๆ แล้วมองหญิงสาวอย่างพิจารณา
“ว่าแต่เจิดเป็นไงบ้าง วันนี้กลับเย็นเลย งานเยอะเหรอไงฮะ หน้าตาดูเหนื่อยๆ”
เจิดจันทร์ยกมือแตะใบหน้า ตายๆ นี่ฉันคงโทรมดูไม่ได้อีกแล้ว ก็น่าอยู่หรอก นั่งเบียดอยู่ในรถตู้แอร์ไม่เย็นมาตั้งสองชั่วโมง แถมถึงบ้านก็ยังไม่ได้ส่องกระจกล้างหน้าล้างตาเลยด้วยซ้ำ
“ก็นิดหน่อยค่ะ ช่วงนี้เจิดงานเยอะ หัวหน้าเรียกใช้ไม่หยุดเลย” แต่เมื่อตอบ มันก็ต้องไว้เชิงกันหน่อย อันที่จริงงานรับส่งสารบรรณมันไม่ยุ่งเท่าไรหรอก เธอแวบออกมารอขึ้นรถตู้รับส่งก่อนเวลาเลิกงานตั้งครึ่งชั่วโมงด้วยซ้ำ วันนี้หัวหน้าไปอบรมนอกสถานที่ ใครๆ ก็เผ่นกลับบ้านกันตั้งแต่หัววันทั้งนั้น “แปลกนะคะ พนักงานก็อยู่เต็มออฟฟิศเลย บางคนจบปริญญาโทด้วยซ้ำ แต่พอมีงานด่วนงานสำคัญทีไร เจิดโดนเรียกตัวทุกที”
ปรีเมธยิ้ม เจิดจันทร์แอบรู้สึกว่าเป็นยิ้มแบบ “เอ็นดู”
“เจิดเป็นคนเก่งนะฮะ ปรีว่าเปิดสอบครั้งหน้า เจิดต้องสอบได้แน่นอน” ชายหนุ่มหลิ่วตา “เอ้า ไม่เชื่อหรือไง เอางี้ พนันกันไหน ถ้าเจิดสอบได้ ปรีจะพาไปเลี้ยงชุดใหญ่เลย”
หญิงสาวรู้สึกหัวใจพองโต จนกล้าชม้ายสายตาวิบวับใส่ชายหนุ่ม “อ้าว แล้วถ้าไม่ได้ล่ะคะ”
“เจิดก็ต้องเลี้ยงปรีไง” ปรีเมธหัวเราะร่าเริง “แต่ปรีว่าเจิดไม่ได้เสียเงินแน่ๆ เชื่อไหม ว่างๆ ก็หาร้านที่อยากกินเตรียมไว้เลยนะฮะ”
เจิดจันทร์ขยับจะตอบ ไอ้ร้านที่อยากกินน่ะเหรอ มีเยอะนับไม่หวัดไม่ไหว แต่ไม่รู้จะไปกับใครต่างหาก ทว่ายังไม่ทันอ้าปาก เสียงใสๆ ก็ดังแทรกขึ้นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“คุยอะไรกันน่ะ จะไปไหนกันเหรอ”
“อ้าว พี่เจ” รายชื่อร้านที่อยากกินหายวับไปทันที เจิดจันทร์เผลอถอนใจเมื่อหันไปเห็นร่างเพรียวในชุดเดรสสีสวย เกาะเก้าอี้ของเธออยู่ข้างหลัง “ลงมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้ยินเสียงเลย”
“มัวแต่คุยกันเพลินมั้ง” เจณิสตาพูดด้วยสีหน้าเฉยๆ มองไปที่ชายหนุ่มหนึ่งเดียวที่รีบลุกจากโซฟา เพื่อขยับที่ให้เธอไปนั่งข้างๆ
เจณิสตาทรุดตัวลงนั่งข้างน้องสาว
“กำลังคุยกับเจิดว่า ถ้าเจิดสอบติดพนักงานรอบนี้ ต้องฉลองใหญ่แล้วละ” ปรีเมธพูดยิ้มๆ
“จะเปิดสอบอีกรอบแล้วเหรอ” พี่สาวหันมาถาม ซึ่งเป็นหัวข้อสนทนาที่เจิดจันทร์ไม่อยากคุยกับคนในบ้านที่สุด
“ก็คงเร็วๆ นี้” หญิงสาวตอบอย่างขอไปที แทบจะกลั้นความรู้สึกหงุดหงิดไว้ไม่ได้ ทำไมเจณิสตาต้องโผล่มาขัดจังหวะตอนนี้ด้วยนะ ปรีเมธกำลังจะนัดเธออยู่แล้วเชียว
“ถ้าสอบติด ฉันเป็นเจ้ามือเลี้ยงเธอเอง อยากกินอะไรล่ะ” เจณิสตาหันมาพูดจริงจัง พลางปรายตามองที่เพื่อนหนุ่ม “ฉันเป็นพี่สาวเธอนะ จะให้คนอื่นมาเลี้ยงได้ไง”
เจิดจันทร์หน้าคว่ำทันที เออ หวงก้างกันเข้าไป บอกใครต่อใครว่าไม่ได้เป็นแฟนกัน แต่ไม่ยอมให้ใครแตะต้อง
“ทำไมล่ะครับเจ” ปรีเมธท้วงด้วยเสียงอ่อน “ผมก็เป็นเพื่อนคนหนึ่งของเจิด ถ้ามีเรื่องยินดีก็ต้องฉลองกัน เท่านั้นเอง เราไปด้วยกันทั้งหมดยิ่งดี ชวนคุณพ่อคุณแม่กับหนูเจนไปด้วย”
เจิดจันทร์หน้าชื่นขึ้น มองชายหนุ่มด้วยสายตาขอบคุณ ไม่กี่ครั้งนักที่จะมีใครออกตัวเข้าข้างเธออย่างชัดเจนเช่นนี้
“เจไม่อยากรบกวนปรี” เจณิสตาหันขวับไปที่ชายหนุ่ม หัวเราะฝืนๆ แต่ดวงตาแฝงแววประหลาดรำไร “ฉลองมื้อแรก ให้เป็นเรื่องในครอบครัวก่อนดีกว่ามั้ง”
ปรีเมธอึ้งไป ขณะที่เจิดจันทร์ตัวร้อนวูบด้วยความโมโห
“มากไปแล้วพี่เจ” น้องสาวคนกลางของบ้านเสียงสั่น “แค่ปรีจะแสดงความยินดีกับเจิด ทำไมพี่ต้องกีดกันนักหนา หรือเจิดเป็นเพื่อนกับปรีไม่ได้” เจิดจันทร์ปาดน้ำตาที่เริ่มปริ่ม “ที่ผ่านมา ไม่มีเพื่อนพี่เจคนไหนเห็นเจิดในสายตาเลย ไม่เคยคุย ไม่เคยชวนไปเที่ยว เจิดคิดว่าพวกเขาหยิ่ง แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก เป็นพี่เจเองต่างหากที่ไม่ยอมให้เพื่อนพี่มาสนิทกับเจิด ทำไมล่ะคะ เจิดมันน่าเกลียดมากจนแม้แต่พี่สาวแท้ๆ ก็ยังรังเกียจเลยเหรอ”
“เจิด” เจณิสตาอุทาน “พูดอะไรน่ะ ไปกันใหญ่แล้ว ใครเขาคิดแบบนั้นกัน ฉันแค่…” หญิงสาวอึกอัก มองน้องสาวที่หน้าแดงก่ำอย่างทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่ปรีเมธขยับเข้ามาแตะบ่าเจิดจันทร์เบาๆ
“เจิด อย่าร้องไห้ครับ ปรีรับรองว่าไม่มีใครคิดแบบนั้นเด็ดขาด” ก่อนจะพูดด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่เห็นหรือ ทุกคนกำลังแย่งกันเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองให้เจิดนะ ทั้งปรี ทั้งเจ ไหนจะคุณพ่อคุณแม่อีก”
เจิดจันทร์สะบัดหน้า
“เจิดไม่อยากเป็นตัวปัญหา เท่านี้ก็เป็นหมาหัวเน่าของบ้านอยู่แล้ว” หญิงสาวลุกขึ้น “ช่างมันเถอะค่ะ ถ้าเจิดสอบติด เจิดไปหาอะไรกินฉลองให้ตัวเองก็ได้ เจิดขึ้นบ้านละ ขอบคุณสำหรับของฝากนะคะปรี”
เจิดจันทร์หันหลังวิ่งไปที่บันได ไม่สนใจเสียงเรียกของพี่สาวและเพื่อนชาย…ทำไมนะ เหตุการณ์ที่เริ่มต้นมาอย่างดี ถึงได้กลับกลายตาลปัตรไปอย่างนี้ นอกจากความเซ็งที่แผนเดตกับหนุ่มในฝันล่มกลางคันแล้ว สิ่งที่เจิดจันทร์เสียใจมากที่สุด คือท่าทีกีดกันอย่างชัดเจนของเจณิสตา มันเหมือนพี่สาวตะโกนใส่หน้าเธอว่า ยัยเจิด เธอมันไม่สวย ไม่ดี ไม่คู่ควรจะเสนอหน้ารวมกลุ่มกับคนระดับเดียวกับฉัน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 9 : และแล้ววิญญาณ...ก็อลเวง
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 8 : วันวิกฤต
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 7 : คำอำลา
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 6 : เราสองสามคน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 5 : เซอร์ไพรส์
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 4 : ฟางเส้นสุดท้าย
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 3 : ความกดดัน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 2 : คนแรกของหัวใจ
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 1 : เจิดจันทร์