
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 8 : วันวิกฤต
โดย : เอมอักษร
ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง นวนิยายรางวัลรองชนะเลิศกับนิยายดราม่าคอเมดี้จากโครงการอ่านเอาก้าวแรก ปี 5 โดย เอมอักษร เรื่องราววุ่นๆ ของหญิงสาวที่คิดว่าตัวเองโชคร้ายทุกด้านจนขอฆ่าตัวตายเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ไหงแค่นอนหลับไปวิญญาณก็ออกจากร่าง เธอจึงต้องลุกขึ้นมาหาวิธีกลับเข้าร่าง หาฆาตกรให้ทันเวลาที่เหลือน้อยลงทุกที
เจิดจันทร์นอนลืมตาโพลงท่ามกลางความมืด ดวงตะวันลับแสงไปนานแล้ว แต่เธอไม่มีกะจิตกะใจแม้แต่จะลุกขึ้นมาเปิดไฟในห้อง พี่สาวและแม่บ้านวนเวียนมาเคาะประตูห้องอยู่สี่ห้ารอบ ก็ได้รับคำตอบคือความเงียบ
แม้น้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว แต่ความเจ็บร้าวในอกกลับทวียิ่งขึ้น ทุกครั้งที่คิดถึงคำพูด น้ำเสียง และสายตาของคนรอบข้าง ความรู้สึกเสียใจ อับอาย และหดหู่สิ้นหวัง ก็ราวกับกลายร่างเป็นอาวุธปลายแหลม สามารถทิ่มแทงให้เกิดความเจ็บทางกายได้จริงๆ
แต่ที่ร้ายไปกว่านั้น คือทั้งที่รู้ว่าคิดแล้วเจ็บ แต่เจิดจันทร์ก็ห้ามความคิดในหัวของตัวเองไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว และยิ่งคิด จินตนาการก็ยิ่งโลดโผนและเลวร้ายสุดพรรณนา
มีบางขณะ ที่เสียงในหัวโน้มเอียงให้เธอเชื่อว่า ความตายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เจิดจันทร์ซุกหน้าลงกับตุ๊กตาน้อยใหญ่บนเตียง ไม่ว่าจะตายวิธีไหน มันคงเจ็บน่าดู และที่สำคัญ เธอยังไม่เคยได้ลิ้มรสความสุขที่แท้จริงเลยตั้งแต่เกิดมา ยังไม่เคยมีแฟน ไม่เคยได้รับการชื่นชม ยังไม่ได้ไปคอนเสิร์ตศิลปินคนโปรด มีอะไรอีกมากมายเหลือเกินที่ยังไม่ได้ทำ
แต่ถ้าจะฝืนมีชีวิตอยู่ต่อ เธอก็ไม่รู้จะผ่านพ้นความรู้สึกเลวร้ายนี้ไปได้อย่างไร
เจิดจันทร์คว้ามือถือ กดเสิร์ชในช่องค้นหา “วิธีฆ่าตัวตาย” คิดนิดหน่อย แล้วเพิ่มคำว่า “แบบไม่ทรมาน” ลงไปด้วย
โอ เยอะแฮะ เพิ่งรู้ว่าคนไทยฆ่าตัวตายเก่งติดอันดับ 3 ของโลก วิธีฮิตที่สุดคือผูกคอตาย คงเพราะหาวัสดุง่ายและประหยัดดีละมัง รองลงมาคือการกินยาฆ่าแมลง น้ำยาล้างห้องน้ำ หรือน้ำยาที่มีสารพิษอื่นๆ อันนี้เริ่มยากและมีต้นทุนขึ้นมาอีกหน่อย ส่วนวิธีที่หวังผลได้แน่นอนน่าจะเป็นการใช้อาวุธปืนหรือมีด อันนี้ต้องใจเด็ด เพราะเจ็บและบาดแผลชวนสยอง ส่วนอีกวิธีที่น่าสนใจคือกระโดดน้ำตาย แต่สำหรับคนที่ว่ายน้ำเป็นคงไม่สำเร็จ
โอย เจิดจันทร์โยนมือถือไปอีกทาง ยิ่งอ่านก็ยิ่งเครียด การตัดสินใจจบชีวิตว่ายากแล้ว แต่ถ้าจับพลัดจับผลูไม่ตายจริงแต่พิการขึ้นมา คราวนี้ละไม่ได้ผุดได้เกิดของจริง แค่คิดภาพต้องติดแหง็กอยู่บนเตียง โดยมีเสียงบิดาด่ากรอกหูเช้าเย็นโดยที่ขยับหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ก็เหมือนตกนรกดีๆ นี่เอง
เกือบเที่ยงคืน หญิงสาวยังคิดไม่ตกว่าจะฆ่าตัวตายจริงๆ หรือจะ “ทำที” ทำร้ายตัวเองเพื่อเรียกร้องความเห็นใจด้วยวิธีใดดี ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียดทุรนทุราย แต่ร่างกายที่ทั้งหิวทั้งอ่อนเพลียกลับไม่ยอมให้เธอได้พักผ่อนแม้แต่งีบเดียว
ฉันต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่ ถ้ายังลืมตาคิดวนเวียนอยู่แบบนี้ เจิดจันทร์ฝืนลากตัวเองไปค้นลิ้นชักหัวเตียง ตัดสินใจส่งวิตามินเมลาโทนินกำเล็กเข้าปากแล้วดื่มน้ำตาม แม้ไม่ใช่ยานอนหลับโดยตรง แต่ปริมาณที่กินมากกว่าปกติอาจช่วยให้สมองเธอผ่อนคลายได้เร็วขึ้น
หญิงสาวคิดถูก อาจเพราะร่างกายอ่อนล้าเป็นทุนเดิม ในชั่วเวลาไม่ถึงสิบห้านาที เจิดจันทร์ก็ล่องลอยสู่ภวังค์ ในความรู้สึกเคลิบเคลิ้ม กึ่งตื่นกึ่งฝันนั้น คลับคล้ายจะได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย “ยัยเจิด” แผ่วๆ มาจากที่ใดที่หนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ทบทวนว่าเป็นเสียงใคร หญิงสาวก็ดำดิ่งสู่ความมืด ไม่รับรู้ และไม่รู้สึกตัวใดๆ อีกเลย
เช้าตรู่วันนี้ เป็นอีกหนึ่งวันรีบเร่งของเรืองรุจี
เธอตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง แล้วรีบเคาะประตูห้องเรียกลูกสาวคนเล็ก ที่คงตื่นยากเป็นพิเศษเพราะเมื่อคืนกองถ่ายเลิกเกือบเที่ยงคืน แต่วันนี้ก็บิดพลิ้วไม่ได้ เพราะผู้กำกับโยกฉากพระนางตัวรองที่เจนนินทร์รับบทบาทมาอยู่ช่วงเช้า เพื่อให้เหล่าตัวเอกมีเวลาพักผ่อน และเข้าฉากช่วงบ่ายแทน เล่นเอาเจนนินทร์หัวเสีย แต่ก็ต้องอดทน เพราะอาชีพขายภาพลักษณ์เช่นนี้จะแสดงอารมณ์ตามใจไม่ได้เลย
กว่าจะฉุดทึ้งดึงตัวลูกสาวให้อยู่สภาพพร้อมไปทำงานได้ก็เกือบตีห้าครึ่ง เรืองรุจีทั้งร้อนรนทั้งหงุดหงิด แต่เมื่อเดินผ่านห้องลูกสาวคนกลาง ก็นึกได้ว่ายังไม่มีใครบอกเล่าเก้าสิบ ว่าเจิดจันทร์ออกมาจากห้องกินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง
จะเรียกเจณิสตามาถามก็เกรงใจ เลยตัดสินใจเคาะประตูห้องเจิดจันทร์เบาๆ
“ยัยเจิด เป็นยังไงบ้างลูก ไม่สบายหรือเปล่า ส่งเสียงตอบแม่หน่อย” เรืองรุจีเคาะห้องพลางพูดซ้ำๆ จนลูกสาวคนโตเปิดประตูออกมาจากห้อง
“เมื่อคืนยัยเจิดไม่ยอมออกมาจากห้องเลยค่ะ” เจณิสตารายงานด้วยสีหน้ากังวล “เจหลับไปสักห้าทุ่มได้ แต่ไม่รู้หลังจากนั้น ยัยเจิดออกมาหาอะไรกินหรือเปล่า”
“อ้าว” ผู้เป็นมารดาชักตกใจ ทุบประตูแรงขึ้น “เจิด เปิดประตูให้แม่หน่อย มีอะไรออกมาพูดกันดีๆ อย่าทำอย่างนี้นะเจิด”
ภาคภูมิเปิดประตูออกมาสมทบ ใบหน้ายู่ยี่เพราะอดนอน เขาปราดไปทุบประตูด้วยอีกคน คราวนี้เสียงสนั่นลั่นบ้าน
“ยัยเจิด มาเปิดประตูให้พ่อเดี๋ยวนี้” เขาหันมาทางภรรยา “คุณไปเอากุญแจมา ไขเข้าไปเลยละกัน”
เรืองรุจีหน้าเสีย “ไม่รู้กุญแจหายไปไหนค่ะ ฉันยังไม่มีเวลาไปปั๊ม ก็เลย…”
“โอ๊ย ให้มันได้อย่างนี้สิ พอกันทั้งแม่ทั้งลูก” ภาคภูมิคำราม หันไปทุบประตูหนักขึ้น จนกิ่งแก้วและเจนนินทร์พลอยมาออหน้าตาตื่นอยู่หน้าประตูด้วย
กิ่งแก้วพูดเสียงสั่น “พังประตูเข้าไปเลยค่ะคุณภูมิ เผื่อคุณเจิดเป็นอะไร…”
ภาคภูมิถลึงตาใส่แม่บ้าน “โอ๊ย ใครจะพังประตูได้เหมือนในหนัง แก้ว เธอโทรหานิติ โทรหาป้อมยาม หรือใครก็ได้ ให้มาช่วยกันหน่อย เร็วๆ นะ”
กิ่งแก้วลนลานไปทำตามคำสั่ง ในขณะที่ภาคภูมิหันไปทุบประตูต่ออย่างไม่ย่อท้อ เรืองรุจีหน้าซีด นึกโกรธตัวเองที่ละเลยลูกสาวคนกลางตั้งแต่เมื่อวาน ไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าหากเจิดจันทร์น้อยใจ จนทำอะไรบ้าๆ อย่างที่พูดทิ้งท้ายก่อนหนีเข้าห้องขึ้นมา…จะเกิดอะไรขึ้น
กิ่งแก้วหายไปเกือบยี่สิบนาที ก่อนจะพา รปภ.ของหมู่บ้านเข้ามา เขาไม่ได้เตะถีบประตูอย่างที่ภาคภูมิคิด แต่ใช้ลวดเส้นเล็กแหย่รูลูกบิด หมุนซ้ายขวาไปมาอยู่ชั่วครู่ เสียงคลิกก็ดังขึ้นท่ามกลางเสียงถอนหายใจแรงของกลุ่มคนที่ล้อมรอบหน้าห้อง
ภาคภูมิผลักบานประตูพรวดเข้าไปทันที แต่แล้วก็สะดุดสิ่งที่ขวางอยู่จนหน้าคะมำ เรืองรุจีที่ตามไปติดๆ ก็พลอยเซล้มลงไปด้วย
ทั้งคู่หันไปมองบานประตูตามสัญชาตญาณ แล้วก็ใจหายวาบ
ที่ตรงนั้น…เจิดจันทร์ ลูกสาวคนกลางนั่งพิงบานประตูด้านใน คอตกห้อยราวกับตุ๊กตาเก่าๆ ไร้นุ่น สิ่งที่รั้งไม่ให้ร่างเธอพังพาบไปกับพื้น คือสายชาร์จโทรศัพท์มือถือที่ผูกโยงจากลูกบิดประตู ไปสู่ลำคอเรียวบาง…ซึ่งเขียวซีดราวกับไม่มีสัญญาณชีพ
ภาคภูมิและเรืองรุจีแทบไม่รู้ตัวเลยว่า ได้พูด ทำ หรือตะโกนอะไรออกไปบ้าง
ช่วงเวลานั้นคือความโกลาหลและวิกฤตที่สุดในชีวิต รปภ.หนุ่มเป็นคนค้นเจอคัตเตอร์บนโต๊ะทำงาน และนำมาตัดสายชาร์จที่รั้งรอบคอเจิดจันทร์จนสำเร็จ
ภาคภูมิอุ้มร่างลูกสาวคนกลางวิ่งถลาไปที่รถ เรืองรุจีและสองสาวพี่น้องกระโดดขึ้นรถตาม ทั้งสามผลัดกันเขย่าและเรียกเจิดจันทร์ไปตลอดทาง ร่างกายหญิงสาวยังอ่อนนุ่ม แต่ริมฝีปากและดวงตาปิดสนิท ไม่มีวี่แววได้สติ
รถตู้เหาะมาถึงหน้าโรงพยาบาลในสิบนาที ภาคภูมิเปิดกระจกรถตะโกนนำไปก่อน เจ้าหน้าที่รถเข็นและบุรุษพยาบาลกรูกันออกมารับตัวเจิดจันทร์ทันทีที่รถจอด
เจ้าหน้าที่เคลื่อนรถเข็นนอนไปยังห้องฉุกเฉินแทบจะวิ่ง
“เฮ้ย เร็ว” บุรุษพยาบาลเร่ง “ไม่มีชีพจรแล้ว”
เรืองรุจีที่วิ่งตามมาติดๆ เข่าอ่อนลงทันใด เช่นเดียวกับภาคภูมิที่ชะงักกึก
ทันใดนั้นเอง ผู้เป็นแม่ก็ทรุดตัวลงกับพื้น กรีดร้องโหยหวนลั่นโรงพยาบาล
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 8 : วันวิกฤต
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 7 : คำอำลา
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 6 : เราสองสามคน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 5 : เซอร์ไพรส์
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 4 : ฟางเส้นสุดท้าย
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 3 : ความกดดัน
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 2 : คนแรกของหัวใจ
- READ ฆาตกรรมอลหม่าน วิญญาณอลเวง บทที่ 1 : เจิดจันทร์