
ห้วงนทีกาล : บทนำ
โดย : สิปัณฑ์
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
สิ้นแสงสุดท้ายเมื่อยามดวงตะวันลาลับที่สุดขอบปลายฟ้า แสงสีทองสายหนึ่งลากผ่านท้องนภาเป็นเส้นยาวคล้ายดวงดาราที่ร่วงหล่นสิ้นอายุขัย
คิ้วคมของหญิงสาวที่บัดนี้ขมวดเข้าหากันเป็นปมเท้าคางรออยู่ที่ศาลาแก้วในอุทยานกว้าง ดวงตาที่ปิดสนิทบัดนี้กะพริบถี่ก่อนริมฝีปากจะแย้มยิ้มออกมายามเมื่อร่างของใครผู้หนึ่งปรากฏขึ้นต่อหน้า
แสงสีทองที่เมื่อครู่นั้น…ทาบผ่านบนท้องฟ้าค่อยๆ ร่อนลงที่พื้นอย่างช้าๆ
แสงสว่างเจิดจ้าสีทองอร่ามแผ่รัศมีออกเป็นวงกว้างคล้ายปีกใหญ่กำลังสยายออก เสียงไพเราะขับขานราวปักษานับพันจึงดังก้องกังวานขึ้นก่อนจะปรากฏเป็นสตรีร่างบางอรชร
อาภรณ์สีเงินเลื่อมมุกแขนกระบอกยาวถึงข้อมือรัดกุมทะมัดทะแมงหากแต่พาดด้วยผ้าสไบที่ไหล่เป็นสีทองดั่งปีกที่สยายออกเมื่อครู่…ปักด้วยลวดลายเรียบง่ายหากแต่ละเอียดลออ มวยผมเกล้าต่ำประดับด้วยปิ่นเล็กๆ สีเงิน…บนเนื้อตัวไร้เครื่องประดับมีค่าใดด้วยนางหาได้ชมชอบของพวกนั้นแต่ไหนแต่ไร มีเพียงกำไลลักษณะคล้ายขนนกสีเขียวสลับแดงที่ข้อมือซ้ายเท่านั้น…
“ข้ายังคิดว่าครั้งนี้จะมาเสียเที่ยวฤๅไม่หากไม่ได้พบองค์พี่สุวรรณนเรศ”
น้ำเสียงสดใสของผู้เป็นน้องกล่าวทักทำให้คนเป็นพี่ที่พึ่งมาถึงหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะทรุดตัวนั่งลงเช่นกัน ใบหน้างดงามที่เปื้อนยิ้มไม่ต่างกับผู้เป็นน้องสาวที่เฝ้ารอนางอยู่นานที่อุทยานบริเวณหน้าตำหนัก
“ไหนเลยข้าจะกล้าพลาดพิธีสำคัญของเจ้ากัน…แก้วสุวรรณ ถึงข้าจะเที่ยวเล่นอย่างไรก็ยังนับเป็นพี่สาวคนโตของเจ้าอยู่จริงหรือไม่…”
สุวรรณนเรศพูดขึ้นอย่างนึกเอ็นดูก่อนจะยิ้มกว้างเมื่อเห็นท่าทีเขินอายของผู้เป็นน้อง ใบหน้างดงามยิ้มตามไม่หยุดด้วยรู้ดีว่าแก้วสุวรรณมีความสุขมากเพียงใด
“ข้าไหนเลยจะกล้าต่อว่าพวกท่าน ทั้งองค์พี่สัมปาตี องค์พี่สดายุ และองค์พี่สุวรรณนเรศ ล้วนแล้วแต่เติบโตมาอย่างห้าวหาญ แม้สงครามครุฑกับนาคจะสิ้นสุดไปนานถึงกระนั้นข้าที่เกิดไม่ทันได้กลิ่นของสงครามด้วยซ้ำไปก็ทราบดีว่าพวกท่านลำบากและต่อสู้เพื่อพวกเราอย่างไร…”
ความหมายนั้นราวกับว่านางจะกล่าวว่าต่อให้ผู้เป็นพี่เที่ยวเล่นจนลืมงานสำคัญของนางก็จะไม่น้อยใจหรือกล่าวโทษแม้เพียงนิด แก้วสุวรรณพูดพลางเอื้อมมือไปจับมือบางของผู้เป็นพี่เอาไว้ด้วยนางนั้นเทิดทูลและนับถือผู้เป็นพี่สาวเป็นอย่างมากจนไม่อาจพรรณนา
มือบางของสุวรรณนเรศหากในยามไร้สงครามคงเหมือนกับหญิงสาวทั่วไป หากไม่ร้อยมาลัยจัดดอกไม้ก็คงเย็บปักผ้าอย่างสบายใจ
แก้วสุวรรณยามจับมือของผู้เป็นพี่…ไม่ว่าครั้งใดมักเกิดคำถามในใจ มือนางบอบบางเพียงนั้นหากแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อนยังต้องจับอาวุธเป็นเวลาอย่างยาวนานไม่อาจนับ
แก้วสุวรรณที่ไม่กล้าแม้แต่จินตนาการว่าจะเป็นภาระที่หนักถึงเพียงไหนสำหรับหญิงสาวผู้หนึ่ง
“เรื่องเก่าพูดไปก็ไม่รื่นรมย์ เจ้าจะแต่งงานอยู่แล้วควรมองแต่สิ่งดีๆ มองไปเบื้องหน้า…”
สุวรรณนเรศพูดพลางจับมือของผู้เป็นน้องไว้แน่นหากแต่ริมฝีปากที่ยิ้มกว้างนั้นกลับมีวูบหนึ่งของแววตาที่เก็บซ่อนบางสิ่ง…แม้เรื่องราวในอดีตที่ผันผ่านบางเรื่องจะจบสิ้นลงไปแสนนานเพียงใดหากแต่ยังคงทิ้งร่องรอยไว้ในความทรงจำเสมอ
แก้วสุวรรณที่มองแววตานั้นของผู้เป็นพี่ก็เข้าใจได้ในทันทีก่อนจะเข้าไปโอบกอดนางอย่างเช่นทุกครั้ง ยิ่งในเวลาเช่นนี้ที่นางอาจไม่ได้อยู่ที่ฉิมพลีจึงไม่สามารถโอบกอดพี่สาวของนางได้บ่อยเท่าที่ต้องการ
“แม้ข้าจะโอบกอดดวงใจของท่านได้ไม่หมด หากแต่จะโอบกอดเช่นนี้ตลอดไป…”
“เจ้าเด็กตัวน้อย เจ้าเพียงแต่งงานออกเรือนไหนเลยพูดราวกับจะไม่พบเจอกันอีก”
สุวรรณนเรศกล่าวพลางกอดน้องสาวแน่นขึ้นครู่หนึ่งก่อนจะผละออกช้าๆ
“ข้าดีใจที่เจ้าพบคนที่รักเจ้าและเจ้ารัก เพียงเท่านี้พวกพี่ก็วางภาระตัวน้อยนี้ลงได้เสียบ้าง…”
เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นในทันทีก่อนทั้งสองจะจูงมือกันออกไปกลางสวน สุวรรณนเรศที่เดินมาส่งแก้วสุวรรณได้เพียงเท่านั้นก่อนจะใช้สองมือของตนลูบศีรษะของผู้เป็นน้องอย่างเอ็นดูก่อนจะลูบไปที่ข้อมือของนางอย่างแผ่วเบาแล้วจึงปรากฏกำไลที่ทำจากขนปักษาสีสุวรรณสุกสกาว
“องค์พี่!” แก้วสุวรรณอุทานขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจก่อนดวงตาจะแดงก่ำขึ้นในทันทีแล้วจึงปล่อยให้น้ำตาแห่งความตื้นตันไหลออกมาไม่ขาดสาย
“ดั่งเดียวกับที่สัมปาตีและสดายุมอบให้แก่ข้า แลที่พวกเขาชอบพูดเป็นนักหนาว่าไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะเป็นน้องสาวของเราตลอดกาล เข้าใจฤๅไม่…”
ขณะที่ขบวนของแก้วสุวรรณกำลังจะกลับนั้นจู่ๆ สายฝนก็โปรยปรายลงมาจากฟากฟ้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทุกผู้ต่างวิ่งหลบเข้าไปยังที่ร่มเพื่อหาที่กำบังกันให้อลหม่านหากแต่มีเพียงผู้เดียวที่ยังคงรั้งรออยู่ท่ามกลางสายฝน
สุวรรณนเรศ…
ร่างบางยืนนิ่งราวกับไร้ซึ่งความรู้สึกถึงหยาดพิรุณที่ตกกระทบร่างจนเสื้อผ้าอาภรณ์เปียกชุ่มไปหมด
สายฝนโปรยปรายเป็นละอองมากมายไม่อาจนับได้ ด้วยสายตาที่เหม่อมองไปยังฝ่ามือที่ยื่นออกไปยังเบื้องหน้าของตนเพื่อรองรับสายฝนนั้นก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาบางๆ อย่างสุขใจ
แก้วสุวรรณมองภาพที่อยู่ตรงหน้าอย่างชินตาและไม่อาจตั้งคำถาม คงเพราะเมื่อใดที่สายฝนโปรยปรายดั่งความทุกข์ร้อนในดวงใจพี่สาวของนางมอดดับลงได้ชั่วขณะหนึ่ง…
เพียงชั่วขณะหนึ่งที่ดวงตาของสุวรรณนเรศสุดแสนเป็นประกาย!
ราวหยาดฝนไหลย้อนกลับคืนสู่แผ่นฟ้า…ราวดวงดาราและจันทราเคลื่อนคล้อยย้อนกลับ ณ ช่วงมหาสงครามระหว่างครุฑและนาคนั้นยากนักจะหาคำตอบว่าผู้ใดเป็นฝ่ายถูกผิด มีเพียงแรงอาฆาต เข่นฆ่ากันไปมาไม่รู้จบสิ้น
ยามราตรีที่บัดนี้ท้องฟ้าใสกระจ่างไร้ซึ่งเงาของเมฆฝน จู่ๆ สายฝนก็โปรยปรายลงมาอย่างบ้าคลั่งราวท้องนภากำลังจะถล่มลงมาเสียให้ได้
พลับพลาแก้วส่วนของเหล่าทหารแห่งฉิมพลีนครภายในห้องขนาดไม่ใหญ่มากนักที่แสงสว่างมีเพียงแสงจากเชิงเทียนเล็กๆ ส่องให้เห็น…ร่างบางของหญิงสาวในอาภรณ์สีอ่อนที่บัดนี้หลับตานิ่งสนิท
หากแต่เมื่อยามที่สายฝนเริ่มโปรยปรายนั้น…เมื่อหยาดน้ำตกกระทบที่นอกหน้าต่างกลับปรากฏละอองสีเงินระยิบระยับฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ฉับพลันใบหน้าที่เคยสงบราวกำลังหลับฝันอยู่ก็ปรากฏคิ้วงามที่ผูกเป็นปมเข้าหากันในทันที
เหงื่อเม็ดใหญ่ที่เริ่มเกาะพราวทั่วใบหน้าก่อนทุกอย่างจะทวีความรุนแรงขึ้นตามจังหวะการตกกระทบของสายฝนที่ด้านนอก ร่างบางของหญิงสาวที่บัดนี้เริ่มพลิกไปมาก่อนจะส่งเสียงร้องออกมาราวกับว่ากำลังเจ็บปวดหากแต่ยามนี้นั้นเสียงสายฝนที่ดังกลบทุกสรรพสิ่งทำให้แม้นางจะกรีดร้องเพียงใดก็ราวกับกำลังตะโกนใต้ผืนน้ำ…
ณ ห้วงความฝัน สุวรรณนเรศที่กำลังยืนอยู่ที่โขดหินท่ามกลางคลื่นทะเลสูงและสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความสับสนปนเปกับสัมผัสที่เหมือนจริงทุกประการหากแต่จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าตนมาอยู่ที่แห่งนี้ได้อย่างไร
นางหลับตาลงหวังใช้พลังปลุกตนจากห้วงนิมิตหากแต่ไม่เป็นผล ยามลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะใช้พลังของพญาปักษีใช้สายตาทิพย์ที่แหลมคมมองสำรวจไปโดยรอบ
“ฝันอีกแล้ว…”
สุวรรณนเรศพึมพำหากแต่ไม่สามารถตื่นได้ นางจึงทะยานขึ้นไปในอากาศหากแต่ครั้งนี้ไม่เป็นไปอย่างที่คิดเมื่อยามปีกสีทองอร่ามของนางสยายออกกลับมีพลังบางอย่างฉุดรั้งนางไว้ก่อนจะลากลงไปที่ใต้ผืนน้ำอย่างรวดเร็ว!
สุวรรณนเรศดิ้นไปมาอย่างสุดแรงหากแต่ไม่อาจหลุดพ้นจากพันธนาการนั้นได้ ร่างของนางที่จมลึกลงไปที่ก้นบึ้งมหานทีอย่างไร้ขอบเขต ดำมืดเสียจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด…
สถานการณที่แสนอึดอัดเมื่อยามต้องอยู่ใต้มหานทีเช่นนี้เมื่ออากาศที่มีใต้หมดลงทุกขณะ…แต่แล้วเบื้องหน้าของสุวรรณนเรศบัดนี้กลับปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่ง…
ความรู้สึกคุ้นตาหากแต่จดจำไม่ได้ว่าเขาคือผู้ใด…
ดวงหน้าคมสีหน้านิ่งเฉยเย็นเยียบราวพื้นน้ำที่ลึกสุดของมหาสมุทรกระนั้นยังไม่เท่าดวงตาสีนิลที่มองมาที่นาง ความรู้สึกรุนแรงของแรงอาฆาตนั้นมหาศาลเสียจนจอมทัพแห่งฉิมพลีอย่างนางรู้สึกตื่นกลัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
นางที่พยายามหนีตะเกียกตะกายภายใต้ผืนน้ำอย่างสุดแรงแต่ไม่เป็นผลก่อนร่างของทั้งสองจะลอยเข้าหากันตามแรงกระเพื่อมของเกลียวคลื่น ชายปริศนาผู้นั้นยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนที่ในมือจะปรากฏคันธนูคันหนึ่งโดยมีลูกศรที่ปลายคันธนูนั้นเล็งมาที่สุวรรณนเรศ
ร่างของสุวรรณนเรศที่นอนอยู่ที่ตั่งทองในห้องนั้นราวกับมีปฏิกิริยาบางสิ่งเหมือนกับกำลังสำลักน้ำ ด้วยสีหน้าที่แสนทรมานนั้นพลันปีกใหญ่สีทองก็ปรากฏขึ้น รัศมีพลังแห่งสุวรรณนเรศส่องสว่างไปทั่วจึงเป็นจุดสนใจในทันทีสร้างความแตกตื่นให้กองทหารเป็นอย่างมาก
เสียงอึกทึกภายนอกที่ดังสนั่นหากแต่ไม่สามารถทำให้สุวรรณนเรศตื่นจากห้วงนิมิตได้แม้แต่น้อย ภาพตรงหน้าที่เห็นคือลูกธนูที่เคลื่อนที่ผ่านสายน้ำมาอย่างรวดเร็ว นางทำได้เพียงคว้ามันไว้ด้วยมือข้างหนึ่งก่อนจะพบว่าสิ่งที่ตนจับไว้ในมือนั้นหาใช่ลูกธนูแต่กลับกลายเป็นพญานาคราชสีดำตนหนึ่งที่มีขนาดเล็กเท่าลูกธนู…
สุวรรณนเรศมองไปยังชายที่อยู่เบื้องหน้าก่อนความรู้สึกเจ็บปวดจะปะทุขึ้นที่ฝ่ามือ…
“ได้อย่างไรนี่ห้วงนิมิต!”
นางยังคงพึมพำหากแต่ไม่มีเวลาให้คิดอีกต่อไปเมื่อจู่ๆ ที่ฝ่ามือของชายที่อยู่ตรงหน้าตนนั้นก็ปรากฏบาดแผลเช่นกัน เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่กลับยิ้มอย่างพึงพอใจ…
ร่างบางบนตั่งทองที่บัดนี้พลิกตัวไปมาด้วยความเจ็บปวดก่อนกลอนของประตูห้องจะถูกพระเวทพังออกในทันที เสียงระเบิดจากประตูนั้นดังสนั่นหากแต่สุวรรณนเรศก็ยังคงหลับตาสนิท
ชายร่างสูงกำยำนามว่า ‘อนิละ’ ผู้ที่ใช้พระเวทพังประตูเข้ามานั้นคืออารักษ์ครุฑาผู้ที่ดูแลตามติดสุวรรณนเรศตั้งแต่เด็ก เขารีบวิ่งเข้ามาดูผู้เป็นนายก่อนจะพบว่าบัดนี้ปีกสีทองสยายออกหากแต่นางยังคงติดในห้วงนิทรา
“องค์สุวรรณนเรศ!”
เขาเรียกชื่อนางเสียงดังหากแต่ส่งพลังของตนไปยังหญิงสาวที่กำลังมีสีหน้าทรมานอย่างเห็นได้ชัด เพียงไม่นานชั่วอึดใจ…สุวรรณนเรศจึงลืมตาตื่นขึ้นก่อนจะมองไปที่อนิละด้วยดวงตาเบิกโพลง
“อนิละ… ” นางเรียกชื่ออารักษ์คนสนิทของตนก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“องค์ท่าน เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะปล่อยผ่านได้แล้ว…องค์ท่านติดในห้วงนิมิตเช่นนี้เป็นครั้งที่สองแล้วหนา”
อนิละกล่าวอย่างร้อนใจหากแต่ไม่ทันสังเกตบาดแผลที่มือด้านขวาของสุวรรณนเรศ นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะพยายามซ่อนมือที่บาดเจ็บไว้ใต้ผ้าห่มอย่างรวดเร็ว
“ไว้รอองค์พี่สัมปาตีกับองค์พี่สดายุกลับมาจากเขาอัสกัณ (1) ก่อน เราไม่อยากรบกวนการบำเพ็ญของพี่ท่าน…”
สีหน้าหนักใจที่ฉายชัดของสุวรรณนเรศนั้นยิ่งสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้เป็นอารักษ์ของตนอย่างมาก ด้วยเพราะนี้เป็นครั้งที่สองที่นางติดอยู่ในห้วงนิทราและยังกำชับไม่ให้อนิละแจ้งแก้ผู้ใด
“เรื่องนี้จักช้ามิได้…หากข้ามาไม่ทัน องค์ท่านอาจเป็นอันตรายได้”
อนิละย้ำกับนางอีกครั้งก่อนสุวรรณนเรศจะพยักหน้าสองสามครั้งแล้วบอกให้เขาออกจากห้องไป เมื่อร่างของอารักษ์ตนหายไปจนลับสายตาหญิงสาวจึงค่อยๆ ยกมือขวาของตนขึ้นมาสำรวจก่อนจะพบว่าเกิดเป็นแผลจริงๆ บริเวณฝ่ามือที่ในห้วงฝันนางใช้มันหยุดลูกศรประหลาด
ร่องรอยสีดำสนิทที่บัดนี้ขนาดของบาดแผลเล็กลงอย่างมากเมื่อเทียบกับในนิมิตเมื่อครู่…
สุวรรณนเรศที่ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาวๆ อีกครั้ง อาจเพราะนางเองก็ไม่อาจหาคำตอบให้ตนได้เช่นกัน
ความวุ่นวายที่ผ่านพ้นไปนั้นถูกแทนที่ด้วยสายลมอ่อนที่พัดพากลิ่นของสายฝนที่ยังคงโปรยปรายตกกระทบด้านนอกหน้าต่าง สุวรรณนเรศที่ปรายตามองไปที่ด้านนอกด้วยไม่ทันได้สังเกตว่าบัดนี้สายฝนกำลังโปรยปรายลงมาพร้อมๆ กับแสงสว่างจ้าของสายอัสนี
‘พายุใดกำลังก่อตัวกันหนา…’
นางพึมพำในใจอย่างเงียบงัน…ฉับพลันสายฝนที่เคยโปรยปรายอย่างบ้าคลั่งกลับหยุดลงในทันที!
บนโขดหินใหญ่ร้างผู้คนกลางมหานทีในห้วงนิมิตของสุวรรณนเรศนั้นกลับมีร่างคุ้นตาของใครผู้หนึ่งกำลังขัดสมาธิหลับตานิ่งท่ามกลางพายุคลั่งและสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างหนัก ผ่ามือขวาที่กางออกเหนือศีรษะช้าๆ พลางแสงสว่างสีเงินก็ส่องแสงไปทั่วบริเวณ
ยามที่แสงสว่างเลือนหายไปนั้น ที่ฝ่ามือของเขากลับปรากฏบาดแผลที่เกิดจากลูกธนูเช่นกัน!
ราวควบคุมผืนทะเลและฟากฟ้าท่ามกลางคลื่นลมโหมกระหน่ำและหยาดน้ำจากท้องนภาที่ส่งเสียงคำรามลั่นเมื่อครู่ เพียงละอองสีเงินที่ล่องลอยกระจัดกระจายทุกสรรพสิ่งพลันสงบลงในทันที
ดวงตาที่เคยปิดสนิทบัดนี้ลืมขึ้นช้าๆ ดวงเนตรสีดำขลับดั่งห้วงลึกของมหานทีบัดนี้มองไปยังเบื้องหน้าอย่างพอใจ
“ไม่พบกันเสียนาน พงศ์สุบรรณ…สุวรรณนเรศ”
เชิงอรรถ :
(1) เขาอัสกัณ หนึ่งในเทือกเขาสัตบริภัณฑ์ทั้งเจ็ด