ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 26 : คืนพิเศษ

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 26 : คืนพิเศษ

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

ทันใดนั้น วิญญาณของชายหนุ่มคนเก่าก็ผุดพล่านขึ้นมาโดยเจ้าตัวยั้งมิทัน พลันก็ลุกจากเก้าอี้เดินอ้อมไปจูงมือเอื้องอินทร์ผู้กําลังฟังเพลินจากที่นั่ง พาไปลงคายัคที่จอดลอยอยู่ริมแพ มีเสื้อชูชีพสองตัววางเตรียมไว้พร้อมพรัก โดยเขาช่วยสวมให้หญิงสาวและตนเองอย่างแคล่วคล่องไม่ติดขัดใดๆ ครั้นแล้วจึงประคองหล่อนให้นั่งลงบนที่นั่งข้างหน้า ตัวเขาก้าวลงนั่งข้างหลังแต่หันหน้าเข้าหากัน

ท่ามกลางอาการตะลึงงันจากสองสาวและหลายหนุ่มใหญ่หนุ่มเล็กถ้วนหน้าที่นั่งอยู่พร้อมเพรียงบนชานแพ แสงจากจันทร์แรมส่องระเรื่ออาบท้องน้ำกว้างและขุนเขาเงารางที่ยืนเด่นอยู่อีกฟาก

“คุณพายได้ไหม ถ้าไม่ได้ก็ไม่ต้อง ผมพายคนเดียวได้” เขาขยับใบพายที่มีพายทั้งสองข้างไปมา ขณะยิ้มนิดๆ ด้วยแววนัยน์ตาท้าทายเสียงเรียกขานกันลั่นจากคนบนชานแพ

“คุณดง…โอ้โฮ…” นายโอกาสนั่นเองที่ลุกขึ้นโบกมือไปมา “แล้วนั่นจะพาน้องไปไหน…หวังว่าจะไม่เอาไปซ่อนที่แพโน้นหรอกนะ”

น้ำเสียงของบิดาอุกกาดูร่าเริงสะใจจนสีหน้าของหลายคนสลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนายจังนายจัด

แต่ใบจันแค่หยุดหัวเราะหัวใคร่ เปลี่ยนไปเป็นนั่งนิ่ง นัยน์ตามองตามคายัคที่มีชายหนุ่มหญิงสาวนั่งหันหน้าเข้าหากันอยู่ในช่องของลําเรืออันเจือด้วยแสงลํายองผ่องใสจากฟากฟ้า

“ไหนๆ พระจันทร์ก็ยังเป็นใจ…เดี๋ยวก็จะมืดมากไป เลยต้องรีบสนุกให้เต็มที่” เขาจึงเอื้อนเอ่ยกับหญิงสาว

แต่แรกเอื้องอินทร์ก็ตกใจ หากหลายนาทีผ่านไปแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า สองคืนกับสามวันคราวนี้ควรต้องปล่อยกายใจไปกับภูมิประเทศแปลกใหม่ให้เต็มที่จนสมกับนั่งรถมาไกล จึงแย้มยิ้มนิดๆ พลางพยักหน้า

“ดีจังเลยค่ะ…ไม่เคยลงเรือแบบนี้เลย เคยแต่เรือพายธรรมดา”

“นี่เขาเรียกคายัคไงครับ ไม่เคยนั่งก็ต้องเคยได้ยินชื่อ” ชายหนุ่มยกใบพายจ้วงหน้าทีละข้างจนเรือห่างออกไป

แต่เอื้องอินทร์ก็ไม่ถามว่าจะไปไกลแค่ไหน

“มีสองแบบคุณเห็นแล้วใช่ไหม อีกลํานั่งได้หลายคนพายมีด้านเดียว พายกันตามสบาย เรียกว่าแคนู”

“ที่จริงก็ได้ยินชื่อคายัคกับแคนูมานานแล้วละค่ะ แต่ไม่เคยถามใครว่ามันชนิดเดียวกันไหม ต่างกันยังไงมั่ง…คือ…เอ้อ…เอื้องเป็นคน…จะเรียกว่าไม่เสาะหาความรู้ก็ใช่ค่ะ…แย่มากๆ…”

“ไม่หรอกฮะ…ไม่แย่” เดินดงรู้สึกว่าการสนทนาระหว่างเขากับหล่อนเดินทางไปอย่างราบรื่นดียิ่ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ดื้อรั้น ไม่คิดว่าตนเองถูกเสมอไป…หากก็เรียบๆ คล้ายไม่มีฟืนไฟในถ้อยคําให้จุดแล้วติด “ผมซีแย่กว่าคุณเยอะเลย…”

“เยอะยังไงคะ” สาวสวยต่อความ

“เยอะก็ตรงที่ไม่เอาไหนกับเรื่องที่เป็นหัวใจของชีวิตไงฮะ” ที่จริง เขาเองก็ไม่อยากจะพาดพิงไปถึงเรื่องลึกซึ้งพวกนี้ แต่ก็ดูเหมือนความเงียบแกมสว่างสลัวกับผืนฟ้ากว้างชวนอ้างว้างตรงหน้า เชิญชวนให้พูดจาประสาเศร้าแกมลึกซึ้งขึ้นมาทันใด “คุณคงยังไม่รู้ว่า พ่อแม่ผมส่งผมมานี่ก็เพราะอยากให้มาดูตัวอย่างดีๆ…ดูคนที่เขารู้จักทํามาหากิน ตั้งเนื้อตั้งตัวเองจนกลายเป็นเศรษฐีหรือไม่ก็มีฐานะมั่งคั่ง”

“คุณคิดมากไปหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถามเพราะตนเองไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้ในสมอง

“คุณว่าผมคิดมากหรือฮะ”

“ก็มากนะคะ… ถ้าความคิดนี่จะทําให้คุณต้องถึงกับอพยพจากกรุงเทพละก็…เอ้อ…มิน่า…”

พลันผู้ฟังก็นึกรู้ทันใดว่า เพื่อนของผู้พูดคงสาธยายถึงเขาไว้ไม่มากก็น้อย

“มิน่าอะไรฮะ…”

เอื้องอินทร์ก็เลยหัวเราะเบาๆ

“มีใครว่าอะไรผมไหมฮะ”

แต่อีกฝ่ายนิ่ง

เขามองหน้า ก็แลไม่ค่อยเห็นรายละเอียดภายใต้ราตรีที่มีเพียงแสงเงาเบาบางอันสะท้อนผ่านแผ่นน้ำกว้างใหญ่

“ก็คงว่า” ในที่สุดเขาก็เลยตัดบทคล้ายไม่แยแสกังวลใจ “ว่าก็ว่า…ผมเองก็น่าให้คนเขานินทาเหมือนกัน…”

หญิงสาวก็เลยหัวเราะขําขัน

“คุณก็ขี้น้อยใจนะคะ”

“ไม่นะฮะ…ผมไม่เคยน้อยใจอะไรในชีวิตเลย” เดินดงลงเสียงอย่างภาคภูมิในความเป็นตัวเขา…ทั้งวันนี้…รวมไปถึงวันหน้า “คุณก็คิดดู…”

แต่เขาก็จําต้องชะงักไว้เพียงนี้เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เอื้องอินทร์จะต้องนําถ้อยคําที่คุยกันไปเล่าสู่เพื่อนทั้งคู่ ครั้นแล้วอาจรวมหัวกันเหยียบย่ำขําขันว่าเขาไม่มีน้ำยา

ขณะที่หญิงสาวยังคงนิ่งฟังพร้อมกับเพ่งพิศเขาจากแสงระเรื่อ

ใบจันนินทาชายผู้นี้ไว้มากเท่าที่มีเวลา แม้เพิ่งพบหน้ากันขณะนั่งเฮฮามาในรถเพียงครู่เดียว ก็ราวกับรวมหัวกันจาระไนนับชั่วโมง

‘ทําแอ็กอ๊าตมาดแมน แต่อะไรๆ ก็ทําไม่เป็น พี่จัดต้องคอยจัดการนั่นนี่ให้ มีพ่อคอยบอก…เช้าขึ้นก็เอาละ…ทั้งพ่อทั้งพี่…ก็หายใจเป็นเจ้าชายตกยาก’

ต่างก็ได้หัวเราะหัวใคร่ในถ้อยเหน็บแนมกันครืนๆ

ครั้นแล้ว…นาทีนี้…เอื้องอินทร์นึกในใจ หล่อนกลับโชคดีกว่าใครทุกคนที่จู่ๆ เขาก็ดึงหล่อนลงมาอยู่ในเรือไฟเบอร์ด้วยกัน

อาบแสงจันทร์คืนแรมโดยไม่ทันรู้ตัว

นับเป็นคืนพิเศษก็ว่าได้

เพราะในชีวิต ตั้งแต่หล่อนเป็นสาวขึ้นมา…ก็มีชายมาติดพันสองสามราย แต่ละราย ทั้งตัวเองและพ่อแม่ พี่เขยพี่สาวพี่ชายก็หาได้สนใจไม่ ต่างก็กรอกหูว่ายังไม่คู่ควรจนหล่อนเองก็นึกขํา พร้อมกันนั้นจึงล่วงรู้

งานเลือกคู่มิใช่ง่าย

ครั้นแล้ว จึงมาถึงคืนนี้

จะว่าเป็นการบังเอิญก็ไม่น่าใช่…ที่จู่ๆ ก็นึกอยากมาชมเขื่อน มานอนแพ มาล่องเรือที่นี่ ทั้งๆ ที่ไทรโยคน้อย ไทรโยคใหญ่ น้ำตกเอราวัณก็เคยไปมาแล้ว

เพียงแต่เชียงคําอยากมาชมเขื่อนวชิราลงกรณบ้าง

‘เผื่อไง วันหลังจะได้ไปสังขละกัน ไปเดินบนสะพานยาว คนแน่นๆ สนุกดี’ เพื่อนผู้ชอบเที่ยววางแผนไว้ล่วงหน้า

‘อย่ามาหน้าร้อนละกัน’ ใบจันยังห้ามไว้ ‘เดี๋ยวตับสุก’

แต่คืนนี้อากาศดีเย็นสบาย มีแสงจันทร์ฉายลงมา พร้อมหน้าตาหนุ่มคนนั้น…ผู้ผึ่งผายหล่อเหลา…แต่…พ่อแม่ดูเหมือนจะ…ตัดหางปล่อยวัด

เฮ้อ…เอื้องอินทร์ระบายลมหายใจ เมื่อนึกถึงคําของเจ้าของรถ

‘อาจจะตั้งตัวได้ก็ได้น้า-า-า อย่าประมาทหน้าเขาเกินไป’

แต่ปลายเสียงหัวเราะหยันเป็นเชิงหยามจากลูกสาวเจ้าของไร่ใหญ่ ก็ดังขัดจังหวะขึ้นมา

‘บอกกงๆ มองไม่เห็นเลยนะแก’

เดินดงพาเอื้องอินทร์นั่งเย็นๆ คล้ายพาอีกฝ่ายลอยเรือเล่นกลางทะเลสาบเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็พากลับมาส่งขึ้นบนชานแพที่ทุกคนยังคงนั่งดื่มกันเรื่อยๆ นัยน์ตาแลดูดวงจันทร์ที่แม้ไม่เต็มดวง ก็เป็นดวงสีทองกลางหาวหนึ่งเดียวบนท้องฟ้า

”เป็นไงมั่ง” นายโอกาสทักทายมีนัย

ยามนี้คงไม่มีความเคลื่อนไหวใดของชายหนุ่มผู้นี้รอดสายตาเขาไปได้แม้แต่หนึ่งนาที

เพราะเหตุใดน่ะหรือ

ก็เพราะ…ถ้าเทียบกับลูกชายตนเองแล้ว ก็แทบจะต้องเตรียมสะดุ้งแกมสะอื้นเอาทีเดียว

ดังนั้น ตลอดทางรวมทั้งตลอดเวลา ที่ต่างก็ตามกันไปตามกันมานี้ทั้งเขาและนายจังต่างก็มีจุดประสงค์ที่ไม่เปิดเผยซ่อนอยู่

หาใช่แต่เพียงเลือกพรรณไม้มงคลที่ทั้งเขาและนายจังต่างก็เตรียมช่วยกันคัดเฟ้นชนิดที่สามารถเพาะพันธุ์แล้วนําไปขายได้ทั้งขายส่งและขายปลีกเท่านั้น

ยังมีเรื่องที่ลึกซึ้งกว่ารออยู่ในส่วนที่ลับตาลับใจออกไปอีก…ซึ่งก็มิรู้ว่าจะลุกลามไปถึงหรือไม่

เพราะเพียงแค่ชายหนึ่งเดียว ผู้มีทีท่าประเปรียวจับไม่ติด ทั้งนายจังและนายโอกาสก็ได้แต่หนาวๆ ร้อนๆ มาโดยตลอด หากก็มิได้บอกกล่าวผู้ใด

‘ไอ้คนคนนี้ท่าทางมันลวดลายจะตาย’ นายจังเคยบอกกล่าวลูกสาวลูกชายไว้แล้ว

แต่นายจัดมักจะแก้แทน

‘มันก็เชื่อพ่อนะ…บอกอะไรก็เชื่อทําตาม’

เดินดงลงนั่งพลางสบตากับนักดื่มผู้มีแก้วน้ำเมาวางอยู่ตรงหน้า

“รับรอง…น้าไพห้ามไว้แล้ว อย่าเมาจนต้องหาม” คืนนี้นายโอกาสดูสดชื่นตลอดเวลา นายอุกกาผู้เคยเงียบงันก็พลันร่ารื่นยกแก้วเบียร์จิบถี่ๆ นัยน์ตาที่เคยเซื่องซึมกลับเป็นประกาย

แต่นายจังดูอึดอัดขัดข้องในใจอย่างไรชอบกลขณะที่มองเดินดงเคลียคลอ พากันกลับมานั่งที่เดิมพลางรินเบียร์ส่งให้หญิงสาว

“คุณอุก…” หลังจากลิ้มรสน้ำเมาอ่อนๆ เข้าไปครึ่งแก้ว หนุ่มจากกรุงเทพฯ ก็เลยปล่อยตัวตามสบายหยอกล้อนายอุกการาวสนิทกันมาช้านาน “คืนนี้อยากฝันว่าไงดีครับ”

นายอุกกาเลยผายยิ้มเห็นฟันขาว หน้าตาซื่อเซื่องจึงดูเปรียวขึ้น

“ฝันว่า…ว่า…ว่า…” ลูกชายนายโอกาสเสแสร้งแกล้งลากเสียง หากก็ช่วยให้เขามีชีวิตชีวา ไม่เอาแต่นั่งก็ซึม เดินก็เซื่องเหมือนเคย “พระจันทร์ลอยลงมาตกอยู่ในมือ มือนี่…เห็นไหมฮะ…”

อีกฝ่ายพูดพลางเหยียดฝ่ามือขวาออกมาพลางกําแล้วแบ กําแล้วแบ

“ถ้างั้น…คุณก็คงจะได้คู่ละนะ…ดีใจแทนจริงๆ” เดินดงยิ้มพราย พลางตวัดปลายตาไปทางหญิงคนนั้น ผู้ที่ยังคงนั่งหน้าเฉย แม้จะหันมาทําท่าพยักพเยิดกับเอื้องอินทร์เชิงถามว่าสนุกไหม ลงเรือคายัค หรืออย่างไรทํานองนั้น

“จริงน่ะเหรอคุณดง” นายอุกกาโดนอาคมของน้ำเมาที่แม้ไม่เข้มข้น หากก็ดลให้เผลอไผล สนุกทั้งกายและอารมณ์ผสมกับแรงคลั่งรักในหญิงสาวตรงหน้า ก็เลยดูฮึกเหิมขึ้นมาโดยไม่ทันรู้ตัว

“จริงซีฮะคุณอุก ผมไม่เคยพูดไม่จริง” อีกฝ่ายต่อคําอย่างนึกสนุก

ยิ่งแลเห็นสีหน้าแววตาหญิงที่นายอุกกาคลั่งมิรู้แล้ว ก็ยิ่งคึกคะนอง

นี่ถ้าไม่เกรงใจนายจังคนเดียว…ก็คอยดู…นางยักษ์จะรู้คราวนี้ละว่า…ใครคือใคร

ในเมื่อสายตานางยังมองเขาอย่างดูหมิ่นเหมือนหยามน้ำหน้า

นัยน์ตาคมหวานแกมดุคู่นั้นบอกเขาอย่างโจ่งแจ้งเปิดเผย

ไม่มีเลยที่จะปลาบปลื้มยกย่อง

‘นายน่ะเหรอ…จะมาปลูกต้นไม้มงคล ตัวเองยังไม่ทําตัวให้เป็นมงคลเลยซักนิด…ซักชั่วโมงเดียวก็ได้…เอ้า…’

จะไม่ให้เขาอยากอาละวาดได้อย่างไร

 



Don`t copy text!