ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 44 : คนึงถึงนางยักษ์

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 44 : คนึงถึงนางยักษ์

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

เพียงแต่รถเทียบหน้าตึก ทุกคนก็แลเห็นนางบุญมีนั่งคอยพร้อมรถเข็นและไม้เท้าที่ลูกน้องนายโอกาส สั่งมาให้ใบจันทันใจหมาย นางเห็นลูกชายพาลูกสาวโขยกเขยกลงมา ก็รีบเดินเร็วมารับลงจากรถ น้ำตาคลอตาด้วยความสงสารห่วงใย ได้แต่ถามนายจังว่า

“ปล่อยให้ลูกขาหักได้ยังไง”

ผู้เป็นพ่อไม่ทันตอบ หญิงสาวก็เสียงสั่น น้ำตาเอ่อท้นโดยพลันขึ้นมาอีก

“จันเองแม่..ไม่มีใครผิดหรอก จันคนเดียวที่หาเรื่อง”

ไม่มีเสียงซ้ำเติมใดๆ ตามมา

นายโอกาสจึงบอกกล่าวชัดถ้อย

“ถือซะว่าหนูจันกำลังมีเคราะห์ก็แล้วกันฮะ”

“ท่านเจ้าคุณเคยทักไว้” นายจังเสริมคำเศร้าๆ “แต่เราเองนึกไม่ถึง”

ฝ่ายนายอุกกาก็ได้แต่อ้ำอึ้งลังเล ครั้นแล้วจึวจึงตัดสินใจเอ่ยขึ้น

“แล้วพี่จะมาเยี่ยมน้องทุกวันนะน้องนะ”

ทันใดนั้น น้ำตาหญิงสาวก็ร่วงพรูลงมาจนทุกคนทั้งตกใจและแปลกใจ

ยิ่งได้เห็นหล่อนสะอีกสะอื้นจนตัวสั่น ก็ยิ่งงงงันกันถ้วนหน้า ด้วยไม่สามารถติดตามความรู้สึกส่วนลึกของคนงาม ผู้เป็นดาวดวงเด่นประจำถิ่นนี้ได้เลย

“อย่าเพิ่งมาดีกว่าอุก” นายจังอดรนทนไม่ไหวจึงออกปาก

สีหน้านายโอกาสเลยสลดลงไป แลเห็นความไม่สบายใจผุดขึ้น หากก็ไม่ยอมเก็บงำ ดังนั้นจึงถามอีก

“หนูมีอะไรไม่พอใจอุกมั่งไหมลูก”

แต่ใบจันเอาแต่ยกมือป้ายน้ำตา ดึงกระดาษเช็ดหน้าในกระเป้าสะพายออกมาสั่งน้ำมุก ดูระทมทุกข์เกินขีดของคนข้อเท้าหักธรรมดา

ชวนให้นายโอกาสเริ่มคิดในทางร้าย

“หนู..ถามจริงๆ..หนูโกรธใครหรือเปล่า”

แต่หญิงสาวส่ายหน้าพึมพำเสียงสั่น

“ถ้าโกรธ..ก็โกรธตัวเองค่ะ”

“นึกว่าโกรธลุงโกรธอุก” ครั้นแล้ว จึงหันไปทางนายจังและนางบุญมี “เอางี้.. ผมจะพักเรื่องสู่ขอไว้ก่อนรอให้หนูจันหายดีค่อยตกลงกันใหม่ว่าจะคิดสินสอดเท่าไหร่..บอกเลยนะว่า เท่าไหร่ก็ได้ จังกับคุณบุญมีไม่ต้องเกรงใจ ผมมีลูกชายคนเดียว ไงๆ ก็ต้องค้นเอาเพชรน้ำเอกมาให้มันจนได้.. เข้าใจผมนะ คุณบุญมี”

แต่นางบุญมีไม่ชอบหน้าพ่อลูกคู่นี้มานานแสนนาน ตั้งแต่เป็นศัตรูคู่แข่ง จนมาถึงทางสองแพร่งนาทีนี้

แน่ใจที่สุดว่าลูกสาวคนเดียวจะต้องมีความลับคับอกที่บอกใครไม่ได้

คงไม่ใช่เรื่องข้อเท้าหัก เพราะนายจัดลูกชายโทรเล่าเรื่องนี้มาให้ฟังตั้งแต่ค่ำคืนที่ผ่านมา โดยนางซักไซ้เกี่ยวกับการเดินป่าของทั้งคณะไว้ทุกวันอย่างละเอียด

แม้กระนั้น นางก็ต้องสมานไมตรีไปพลาง เมื่อนึกถึงธุรกิจของตนเอง

มิบังควรที่นางและนายจังจะสร้างศัตรู

หากนายโอกาสกลับหลังหัน จากมิตรกลายเป็นคู่ขัดแย้ง อะไรจะเกิดตามมา

ในฐานะภรรยานักธุรกิจเก่าแก่ นางตามอาการแพ้-ชนะของผู้คนมาแสนนาน รู้วิธีเข้าข้าง วิธีถอนตัวอย่างสุภาพไม่ลืมหลง ล่วงเลยไปถึงความรู้สึกของนางทวีลาภ ภริยานายโอกาสด้วยซ้ำไปว่า หาได้ชอบหน้าใบจันลูกสาวคนเดียวของนายจังไม่

เสียงนินทาลอยลมมาว่า

‘หยิงสะเด็ดเลยแม่นี่ เจ้าลูกชายเรามันหลงรักเข้าไปได้ยังไง นึกว่าตัวเองเป็นเทพธิดามาเกิด ชะชะ’

กี่ครั้งกี่หนก็คล้ายๆ เช่นนี้

นางก็ยังเก็บมาคิดเลยว่า ‘เงิน’ อย่างเดียวจะสามารถซื้อ ‘ความรัก’ ความยินดีจริงใจได้แน่ละหรือ

ลูกสาวนางไม่ใช่หญิงที่มีร่างไว้ขาย..

แน่นอน หล่อนมีหัวใจ โดยหัวใจของใบจันนั้นก็ตีราคาออกมาเป็นแสนเป็นล้านมิได้ด้วย แม้ดูเผินๆ ราวกับหล่อนรอคอยเศรษฐี แต่ก็หาใช่ไม่ นางเข้าใจลูกสาวเป็นอย่างดี เพียงแต่มิอาจบรรยายออกมาเป็นถ้อยคำได้เท่านั้น

พอดีนายจังนึกถึงราคาค่างวดที่นายโอกาสควักกระเป๋าออกให้ทั้งหมดแม้กระทั่งรถเข็นและไม้เท้า เขาจะมองข้ามไปหาได้ไม่ ดังนั้น จึงบอกกล่าว

“พี่โอ..ผมอยากให้พี่คิดเงินค่าเดินทางกับสองอย่างนี้นี่จังฮะ” เขาบอกพลางแตะพนักรถที่มีไม้เท้าวางพาด จอดนิ่งอยู่บนถนนคอนกรีตหน้าตึก “ไม่งั้นก็คงไม่สบายใจกันไปหมดทั้งพ่อแม่ลูกเลยฮะ..พี่คิดมาแล้วเรื่องอื่นเราค่อยตั้งต้นว่ากันใหม่ตอนหนูจันหายแล้วดีกว่าไหม..ผมว่าดีกว่านะ..เราอย่าพูดเรื่องมงคลตอนบรรยากาศไม่ดีเลยพี่”

นายโอกาสก็เลยนิ่งไป.. อึดใจเต็มจึงพยักหน้า

“ก็ดีเหมือนกันนะ” คราวนี้ น้ำเสียงเขาดูอ่อนลง

“เราเองก็ยังมีเรื่องต้องช่วยคนที่ช่วยหนูจันเหมือนกันไง..ก็เรื่องช่วยคุณเดินดงตั้งศาลพระภูมิ..ยังไงๆ ต่อจากวันนี้ คุณเดินดงคงต้องเป็นคนสำคัญที่สุดของเราแล้วละพี่..เห็นด้วยใช่ไหม”

นายโอกาสนิ่งไปอีก หากก็พยักหน้า

“หนึ่ง ช่วยชีวิตลูกผม สองช่วยชีวิตลูกพี่” นายจังต่อความ

พร้อมน้ำตาหยุดร่วงจากดวงตางามของหญิงสาวผู้นั่งฟัง

 

อากาศยามค่ำเย็นเยือกทวีขึ้นเป็นลำดับ แต่ชายหนุ่มยังคงเดินกลับไปกลับมา..เสาและสายไฟที่เพิ่งมาติดตั้งเรียบร้อยแล้วยังคงไม่เสถียร หลอดไฟเปิดๆ ดับๆ อยู่หน้ากระท่อม..เก่งก็เลยดับไฟ ใช้ตะเกียงลานเหมือนเดิม เพราะหน้านี้กับความรู้สึกขาดวิ่นไม่เป็นชิ้นเป็นอันเช่นนี้ ก็เหมาะดีกับความไม่พร้อมเพรียงของบ้านไร่ที่ต้องมาอาศัยใบบุญเจ้าถิ่น

แต่หลังจากทบทวนหวนระลึกถึงทุกภาพเหตุการณ์นับแต่วันแรกๆ เป็นต้นมา เดินดงก็เพิ่งตอบคำตอบตัวเขาได้อย่างหนักแน่นมั่นใจว่า การเดินทางกลับบ้านคงต้องเป็นสิ่งสุดท้ายที่ตนเองอยากทำ

เนื่องด้วยนาทีนี้ คืนนี้ คืนที่แล้ว หรือก่อนคืนที่แล้วที่ชวนกันไหลมากองรวมกันเป็นความรู้สึกลีกล้ำสุดโสภา คือความปรารถนาสูงสุดเท่าที่ชีวิตยี่สิบแปดปีหยิบยื่นให้

“พี่ไม่สบายเป็นอะไรไปอ๊ะป่าวคับ”

เสียงยียวนของคนคู่ใจดังแผ่วๆ อยู่ข้างหลัง

เดินดงก็เลยหันไปเคาะหัวดังป๊อก

“แกน่ะเหรอนึกว่าเราไม่สบาย” นายจ้างถามไปอย่างนั้น เพราะที่จริงก็กำลังอยากคุย

เดือนมืดสนิท หลังจากดวงอาทิตย์ลับฟ้า ก็เหลือแต่เสียงนกกับแมลงแข่งกันร้อง เพิ่มความวังเวงว้าวุ่นจนหมุนเข็มหัวใจไม่ทัน

อยากรู้เหมือนกันว่า ‘นางยักษ์ของเขา’ ขณะนี้มีอาการมากไหม หยุดร้องไห้งอแงแล้วหรือยัง

ความหมั่นไส้ชิงชังที่บัดนี้เปลี่ยนรูปกลายร่างเป็นความเอ็นดูราวกับรู้ว่าถ้าไม่ปลุกปลอบ ประเดี๋ยวหัวใจเขาจะพลอยกรอบเกรียมตามไป..จึงช่วยประดิษฐ์ประดอยร้อยมาลัยเตรียมไว้เป็นของขวัญ

“นึกว่าสบายจนไม่สบายไงพี่” เก่งเริ่มเล่นลิ้นยามราตรีย่างเยือน “เหมือนคืนเดือนเต็มดวงเปลี่ยนเป็นเดือนไม่เห็นดวงอย่างคืนนี้ไง”

“แกก็ช่างคิดนะ”

“มันเศร้าน่ะฮะ” เก่งว่า “พอคนเราเศร้ามันก็มักคิดอะไรได้หลายอย่าง”

“คงจริง”

“ไม่ใช่คงหรอก จริงเลย”

“พรุ่งนี้ เอารายชื่อต้นไม้มาลงดินดีกว่า” ในที่สุด ชายหนุ่มก็เปลี่ยนเรื่อง “กูกลุ้มว่ะ เห็นมันยังไม่ถึงไหน..”

“ทำงานดับกลุ้มก็ดีเหมือนกัน”

“แต่อยากไปหาลงเดียวอีกสักหน่อยน่ะเช่” เดินดงบอกเพราะคิดถึงวันเดือนปีเกิดของสามสาว หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ ‘ของหล่อน’ ขึ้นมาได้ เดี๋ยวเขาจะโทรถามเอื้องอินทร์

ทันใดนั้น ก็กดมือถือ ถามไปยังเพื่อนหญิงจากเพชรบุรีถึงเวลาเกิดของสามสาว

เชียงคำเพิ่งจอดรถเพื่อค้างคืนที่นครปฐม

เอื้องอินทร์ก็เลยบอกเวลาตกฟากมาให้

“ขอบคุณมากเลยคุณเอื้อง พรุ่งนี้ผมจะไปหาลุงเดี่ยวไงฮะ แล้วจะบอกมานะว่าท่านทายว่ายังไงมั่ง”

เป็นอันเสร็จสมอารมณ์หมาย

“แล้วถ้าไม่สมพงศ์กันพี่มิร้องไห้ตายชักละเหรอ” ลูกน้องหยอกยั่ว

“คอยดูไป” นายจ้างยักคิ้ว

“ท่าทางพี่ดูแน่ใจไงไม่รู้” เก่งหยอกยั่วต่อคำ

ฟ้ามืดสนิท ทุกชีวิตหายวับไปในค่ำคืนที่มีขนเขาแมกไม้ส่งเงาตระหง่านอยู่ตรงโน้น

แต่เดินดงกลับรู้สึกอย่างหนึ่ง..อย่างที่เขาไม่เคยมีอยู่ในซอกมุมของที่ทางลับเร้นมาก่อนเลย แม้ในเรื่องราวพราวแพรวคราที่มีหญิงสี่นาง

“เออ.. คืนนี้ทำไมไม่ง่วงก็ไม่รู้ว่ะ”

“จะง่วงได้ไว้ รู้ๆ อยู่..ก็เพิ่งเป็นคานหามให้คนขี่คอมาตั้งคน” เก่งว่า “แล้วนี่ก็ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลยว่าหอมแค่ไหน”

“ไอ้บ้า..พรุ่งนี้รีบตื่นรีบกินรีบไปหาลุงเดี่ยวนะเฟ้ย” เขาก็เลยบ่ายเบี่ยง พลางก้าวขึ้นกระท่อม

เก่งก็เลยดูแลรอบรั้วแล้วตามขึ้นไปเสียบกลอนประตูหลัง

ชวนกันเข้ามุ้ง ทั้งๆ ยังไม่ถึงสองทุ่ม

เดินดงได้แต่นอนเร่งชั่วโมงนาทีจนกระทั่งผลอยไป

ตื่นขึ้นตั้งแต่ตีห้า รีบลงไปอาบน้ำ แต่งตัว กินอาหารเช้า

แต่ยังไม่ทันจะเสร็จก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์แล่นมาจากขวามือ

มีเสียงพึมพำของคนสองคนผ่านมา

ชายหนุ่มเผ่นผลุงลงจากบันไดกระท่อมจนเกือบหน้าคว่ำ

เปิดประตูรั้วออกไปก็พบนายจัดกับใครคนหนึ่งในชุดสีเข้ม

 

 



Don`t copy text!