
ห้วงนทีกาล บทที่ 11 : บางสิ่งมิอาจเปลี่ยนแปลง
โดย : สิปัณฑ์
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
บาดาลไร้สายลมหากแต่เบื้องหน้าของกรงหนายังคงเป็นสายน้ำใสไหลเย็น อุรกาฬที่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติงมองไปที่นอกหน้าต่างด้วยอาการเหม่อลอย
“เป็นข้าผู้สังหารครุฑ…”
เสียงนางยังคงก้องดังในใจไม่อาจลบเลือน ดวงหน้าที่แม้ไม่มองมาที่ตนช่างแสนเด็ดขาดหากแต่ริมฝีปากและสันกรามขบแน่น และมือข้างหนึ่งจับชายผ้านุ่งไม่ยอมปล่อยพลันเมื่อปัทเนตรเดินผ่านตนเข้ามาใกล้ๆ ดวงตากลับแดงก่ำด้วยพยายามกลั้นน้ำตาที่เอ่อล้นขึ้นมาที่ดวงตา
ดวงหน้าและแววตาที่เคยสดใสเป็นประกายที่คุ้นชินตาของปัทเนตรนั้นเมื่อครั้งก้าวเท้าผ่านธรณีประตูใหญ่เข้ามา ณ โถงบัลลังก์กลับซีดเซียว ริมฝีปากสีกลีบบัวกลับไร้สีหากแต่ยังเด็ดเดี่ยวไม่เปลี่ยน
“อุรกาฬ…”
เสียงเรียกคุ้นชินที่ดังขึ้นจากด้านนอกของขอบเขตพลังสีทองคล้ายกรงขัง แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมานั้นคือร่างของปัทเนตรที่สวมทับด้วยอาภรณ์สีเข้มมิดชิด อุรกาฬที่เห็นดังนั้นจึงคุกเข่าลงที่อาสนะในทันทีด้วยความเคยชิน
“ท่านมาได้อย่างไร” เขาถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบพลางมองนิ่งไปที่ปัทเนตร
ปัทเนตรไม่ตอบหากแต่ค่อยๆ ใช้มือสัมผัสไปยังกำแพงเวทที่ถูกร่ายขึ้นคล้ายกระจกใสสีทอง มือวางทาบทับลงบนกรงขังนั้นพลางค่อยๆ เก็บมือของตนกลับในทันที
“ข้าเพียงอยากเห็นเจ้าเท่านั้น”
เสียงสั่นเครือราวกับว่าน้ำตาจะหยดไหลออกมาจากดวงเนตร อุรกาฬที่เพียงได้ยินเท่านั้นกลับสั่นไหวในใจอย่างไม่อาจควบคุมสีหน้าได้ เขาเบือนหน้าไปอีกด้านในทันทีพลางน้ำตาไหลออกมา
“เดิมทีชีวิตนี้ของข้าก็เป็นของท่านแต่ไหนแต่ไร เพียงวิธีการในการถวายชีวิตนั้นเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น ท่านอย่าได้เก็บเอามาใส่ใจเลย…กลับไปเถิด”
เขาไม่อาจทนมองใบหน้าที่เสียใจของนางได้แม้เพียงวินาทีเดียว ปัทเนตรยังคงจับไปที่กรงไม่ยอมปล่อยหากแต่ราวเหตุการณ์ ณ โถงบัลลังก์ก็ฉายชัดอีกครั้ง
เมื่อยามทหารนาคานำอุรกาฬออกไปแล้วนั้น พญาอนันตนาคราชผู้เป็นบิดาจึงกล่าวขึ้น
“ไยกระทำสิ่งใดมิไตร่ตรองให้หนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าสัญญาอันว่าครุฑจะไม่จับนาคที่เกิดในวงศ์สูงอย่างเหล่าโอปปาติกะนาคนั้นสำคัญอย่างไร ไม่ใช่ทางฉิมพลีไม่รู้ความใดเมื่อครุฑที่เจ้าสังหารนั้นกำเนิดอย่างโอปปาติกะเช่นกัน”
องค์อนันตนาคราชกล่าวพลางเดินลงจากบัลลังก์ทองตรงมาที่ผู้เป็นธิดา สองมือจับไปที่ไหล่บางด้วยความทะนุถนอม
“มีเพียงผู้กำเนิดเสมอเหมือนกันเท่านั้นจึงสามารถทำอันตรายซึ่งกันและกันได้ เห็นชัดว่าทางฉิมพลีเองก็มิอยากให้เหตุนี้เป็นชนวนจุดไฟสงครามแห่งศึกใหญ่ที่จักสูญเสียชีวิตครุฑแลนาคเหนือคณานับ”
เพียงได้ฟังเท่านั้น น้ำตาที่สะกดกลั้นไว้เมื่อครู่จึงไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม
“ข้ารู้ว่าเจ้ามิใช่ผู้อาลัยด้วยชีวิตตน หากพ่อและเหล่านาคาธิบดีหักใจส่งเจ้าผู้เป็นธิดาอันกำเนิดอย่างโอปปาติกะไปเป็นบรรณาการแล้วไซร้ คงมิพ้นถูกกล่าวว่าเป็นผู้ทำลายข้อสัญญาอาจกระทำให้เกิดสงครามใหญ่กับเหล่าครุฑอีกครา”
“หากแต่อุรกาฬต้องตาย...” ปัทเนตรกล่าวออกมาทั้งน้ำตาฟังแทบไม่ได้ศัพท์
เขาหลบตาผู้เป็นธิดา…แม้อุรกาฬนั้นจะเต็มใจไปเป็นบรรณาการหากแต่รู้ดีเต็มอกว่าปัทเนตรรู้สึกเช่นไร เมื่อมณีนาคาของธิดาตนนั้นอยู่กับเขาดวงหนึ่ง
“ปัทเนตรฟังพ่อให้ดี ประกายไฟที่เจ้าจุดนั้นใหญ่หลวงนัก แม้ข้าส่งนาคต่ำศักดิ์ผู้ใดไปหาได้ไม่ อุรกาฬเป็นแม่ทัพมากฝีมือ อีกทั้งในเหล่าครุฑยังรู้จักฝีมือเป็นอย่างดี พ่อเองก็ไร้ทางเลือกเช่นกัน”
เพียงนึกถึงคำพูดนั้นของผู้เป็นบิดาของตน…พลางมองไปยังเงาร่างของผู้ที่ถูกกักขังอยู่เบื้องหน้ายิ่งทวีความรู้สึกผิดเข้าไปไม่รู้กี่เท่า ทุกอย่างล้วนแล้วเกิดจากนางซึ่งไม่คิดไตร่ตรองให้ดี
“เจ้าแค้นเคืองข้าฤๅอุรกาฬ”
แผ่วเบาราวเสียงกระซิบหากแต่เพียงสิ้นคำถามนั้นของปัทเนตร แผ่นหลังที่คอยขวางภยันตรายต่างๆ ของผู้ที่เฝ้าปกป้องนางมาโดยตลอด บัดนี้กลับหันกลับมาอย่างรวดเร็ว
อุรกาฬที่บัดนี้ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำพลางมองไปที่ปัทเนตรพลันน้ำตาไหลอาบสองแก้ม
“สิ่งเดียวที่ทำให้ข้าเสียใจในการนี้…คงเป็นสีหน้าทุกข์ใจของท่านกระมัง ปัทเนตร”
ปัทเนตรที่ได้ฟังดังนั้นราวยกบางสิ่งที่มิเคยปล่อยวางได้ในใจออกจนหมดสิ้น น้ำตาหลั่งไหลยิ่งกว่าเดิมด้วยตลอดมาเป็นนางที่ไม่อาจเก็บกดความรู้สึกที่มีต่ออุรกาฬมาโดยตลอด หากแต่เขาแม้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตก็มิกล้าแม้เอ่ยคำใดออกมา
นางคือพระธิดาแห่งพญาอนันตนาคราชและเขาเป็นเพียงนาคตนหนึ่งเท่านั้น แม้พยายามดิ้นรนขึ้นมาเพียงใด สิ่งที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ก็จักคงอยู่ตลอดกาล
ทั้งสองอยู่เบื้องหน้าซึ่งกันและกัน มีเพียงเขตของกรงขังกั้นกลางเท่านั้น ปัทเนตรยิ้มบางๆ ให้อุรกาฬพลันหันหลังแล้วนั่งลงที่พื้นในทันที
“เช่นนั้นเมื่อเจ้าเป็นทุกข์ ข้าจะหันหลังอยู่เป็นเพื่อนเจ้าเช่นนี้”
อุรกาฬที่เห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจที่เศร้าเหลือคณา ไม่ว่ายามใดปัทเนตรยังคงเป็นแสงสว่าง เสียงหัวเราะ และความสุขของเขาเสมอแม้ในยามไร้หนทางที่สุด
สัมผัสที่แผ่นหลังนั้นชัดเจนเสียจนปัทเนตรสะดุ้งเล็กๆ สัมผัสของแผ่นหลังกว้างที่สัมผัสแผ่นหลังของตนนั้นไม่ว่ายามใดมักจะกั้นขวางอยู่เบื้องหน้าเสมอ
แผ่นหลังกว้างของอุรกาฬก็ดังเดียวกับมหานที…นั่นคือความสบายใจทุกครั้งที่ได้เห็น
“ยามนี้อาทิตย์ใกล้ขึ้นแล้วปัทเนตร…”
อุรกาฬกล่าวพลางหลับตาลง ก่อนจะนึกถึงภาพของดวงอาทิตย์สีส้มแดงและเสียงควบของม้าทั้งเจ็ดที่ลากรถ แม้เป็นเรื่องแสนเรียบง่ายหากแต่เป็นสิ่งที่เขาและปัทเนตรชมชอบเป็นที่สุด
“ข้ายังอยากดูอาทิตย์ขึ้นกับเจ้าอีก”
แผ่วเบาราวเสียงกระซิบหากแต่ชัดเจนในใจทั้งสอง
พลันใครผู้หนึ่งที่ยังคงนั่งกอดเข่ารับรู้ถึงความรู้สึกของปัทเนตรที่มีต่ออุรกาฬภายใต้อาณาเขตของมหามนตร์ย้อนกาล
เมื่อยามปัทเนตรเศร้าใจสุวรรณนเรศก็เศร้าใจไปด้วย เมื่อยามปัทเนตรร่ำไห้นางก็ไม่ต่างกัน
เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงนั้นราวกับว่านางเข้าใจเหลือเกิน ด้วยคำว่าหน้าที่บนบ่าที่ไม่อาจวางลงได้
“ข้าเองก็วางลงไม่ได้เช่นเจ้า ปัทเนตร…” น้ำเสียงพึมพำด้วยวามเหนื่อยหน่าย
ชั่วพริบตานั้นเองแสงสว่างสีทองก็เจิดจ้าขึ้นในทันทีราวกับว่ากรงขังที่แน่นหนาของมนตร์ย้อนกาลค่อยๆ คลายออกช้าๆ จากลานกว้างขาวโพลนตรงหน้าจึงค่อยๆ ปรากฏสถานที่เดียวกันกับที่ปัทเนตรและอุรกาฬกำลังพิงหลังพูดคุยกันอยู่
สุวรรณนเรศที่แม้จะตกใจอยู่บ้างที่จู่ๆ นางก็เข้ามาอยู่ในร่างของปัทเนตรอีกครั้ง…
ความอบอุ่นจากแผ่นหลังของอุรกาฬที่บัดนี้ยังคงชัดเจน แม้จะรู้สึกสับสนอยู่บ้าง…ราวกับว่าความรู้สึกที่เชื่อมต่อกันของปัทเนตรและสุวรรณนเรศนั้นคล้ายกับคนคนเดียวกัน สุวรรณนเรศจึงเลือกที่จะนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น อาจเพราะว่าทั้งสองคนหลงเหลือโอกาสและเวลาอยู่ตามลำพังเช่นนี้น้อยลงทุกขณะ
ไร้บทสนทนาใดแต่กลับได้ยินเสียงหายใจเป็นจังหวะชัดเจน…
“เจ้ากลัวฤๅไม่…” อุรกาฬถาม
สุวรรณนเรศค่อยๆ กระชับก่อนเข่าทั้งสองข้างไว้แน่นพลันนึกถึงความรู้สึกของปัทเนตร
“หลายสิ่งปนเปมากมายนัก หวาดกลัวต้องมีแน่อยู่แล้วหากแต่เป็นความเสียดายมากกว่า”
“เสียดายสิ่งใดฤๅ…” เขาถามขึ้นพลางดวงเนตรค่อยๆ ปิดลงช้าๆ ซึมซับความรู้สึกบางสิ่ง
“มากมาย บางครั้งข้าเพียงปรารถนาชีวิตที่เรียบง่ายไม่ฉูดฉาด เพียงต้องการมองดูสายลมพัดใบไม้ไหว มองดูสายฝนยามมันโปรยปรายไปทั่วแผ่นฟ้า” นางกล่าวพลางหลับตาลงเช่นกัน
“ธรรมดาเพียงนั้นเชียว” เสียงของอุรกาฬราวกับว่าเจือไปด้วยเสียงหัวเราะในประโยคนั้น
“ธรรมดาเพียงนั้นอย่างเจ้าว่า หากแต่ไม่สามารถกระทำได้เลย…”
คำตอบแสนสั้นหากแต่ระคนไปด้วยความโศกเศร้า แม้จะอยู่ในร่างของปัทเนตรหากแต่ยามนี้คำพูดต่างๆ ที่กล่าวออกมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นสุวรรณนเรศทั้งหมดทั้งสิ้น ราวกับได้ระบายความในใจที่กักเก็บมานานจนนางมิแน่ใจแล้วว่าที่นางกล่าวนั้นคือความรู้สึกของปัทเนตรจริงหรือไม่
“แล้วเจ้ากลัวฤๅไม่” สุวรรณนเรศย้อนถาม
“มีเกิด พบพาน พรากจาก สังสารวัฏนั้นเวียนว่ายตายเกิดเป็นอนิจจัง…” เขาตอบเสียงเรียบ
“หากง่ายดายปานนั้นคงดียิ่ง การปล่อยวางคนผู้หนึ่งง่ายดายเพียงนั้นฤๅ”
สุวรรณนเรศพึมพำหากแต่กลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกบางสิ่ง แผ่นหลังที่อิงพิงมาที่นางนั้นราวกับกำลังทิ้งกายก็ไม่ปาน สัมผัสของแผ่นหลังชัดเจนราวกับกำลังแอบอิงพิงหลังกันอยู่จริงๆ หากแต่เบื้องหน้ากลับเป็นรัศมีสีทองกระจ่างของกรงขังเช่นเดิม
“ไม่ง่ายอย่างเจ้าว่า ข้าเองก็พึ่งรู้คำตอบเมื่อไม่นานเช่นกัน…”
สิ้นคำนั้นราวกับว่าความรู้สึกบางอย่างนั้นถาโถมเข้ามาอย่างประหลาด พลันแสงสว่างสีทองก็เจิดจ้าอีกครั้ง หลงเหลือไว้เพียงภาพเบื้องหน้าที่บัดนี้คือลานกว้างสว่างไสวไกลสุดลูกหูลูกตา
“อุรกาฬ…”
สุวรรณนเรศพึมพำ หากแต่คิ้วคมที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมนั้นก่อนความรู้สึกบางอย่างจะกำลังกระซิบคำตอบของคำถามที่เกิดขึ้นภายในใจกับความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดนี้ หรืออาจเป็นเพียงความรู้สึกเมื่ออดีตชาติเท่านั้น
“หาไม่พบ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ศิรกัลป์จะหายไป”
ภัทรเนตรกล่าวเมื่อได้ฟังศินรินทร์รายงาน เหตุเพราะเมื่อวานนั้นมีการเรียกเหล่าเมืองทั้งเก้าผู้ปกครองด้วยนาคาธิบดีเพื่อเข้าร่วมหารือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ด้วยเหล่าครุฑนั้นมีการระดมพลอย่างชัดเจน
ภัทรเนตรรอคอยฟังด้วยความจดจ่อ เมื่อตนนั้นอยากรู้ความที่ว่าศิรกัลป์ได้ต่อรองกับสุวรรณนเรศนั้นได้ผลลัพธ์อย่างใด
“เจ้าได้เฝ้าที่ถ้ำบำเพ็ญฤๅไม่”
“นิลกาฬไปรับภุมโมกลับภุชราชบาดาลแล้วเจ้าค่ะ หากแต่ว่าภุมโมมิยินยอม”
“เหตุใดมิยอม ถ้ำนั้นหลังจาก…” ภัทรเนตรกล่าวเพียงเท่านั้นราวกับคำพูดมากมายถูกกลืนหายเข้าไปด้านในก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เจ้าตามหาศิรกัลป์ต่อไป เดี๋ยวเราจะไปถามจากภุมโมเอง”
ศินรินทร์คำนับศีรษะครั้งหนึ่งก่อนจะเร่งออกตามหาศิรกัลป์อีกครั้ง ภัทรเนตรแม้กล่าวเช่นนั้นหากแต่กลับรู้สึกหนักอึ้งภายในใจอย่างประหลาด
เมื่อร่างของพญานาคราชบัดนี้กำลังรั้งคอยอยู่ ณ ถ้ำที่เมื่อก่อนนั้นช่างแสนคุ้นชิน หากแต่เมื่อเวลาผ่านเลยไปกลับร้างผู้เคยอาศัย ภัทรเนตรในร่างของพญานาคราชนั้นสะบัดร่างครั้งหนึ่งจึงพบเหล่าพืชน้ำมากมายที่ป้องกันด้วยพระเวทของสหายตน
เมื่อคืนร่างกลับเป็นมาณพหนุ่มอีกครั้งแล้วจึงค่อยๆ ใช้ฝ่ามือสัมผัสผ่านม่านของเขตพระเวทก่อนจะผ่านเข้ามาได้อย่างง่ายดาย แม้ศิรกัลป์จะป้องกันไว้อย่างแน่นหนาเพียงใดหากแต่กับสหายและคนคุ้นเคยนั้นหาใช่เรื่องยากที่ผ่านเข้ามาภายในถ้ำ
นับแต่ยกถ้ำแห่งนี้ให้กับศิรกัลป์นั้น ภัทรเนตรไม่เคยย่างเท้าเข้ามาแม้เพียงครั้งด้วยรู้ดีแก่ใจว่าตนจะรู้สึกเช่นไร
ผนังถ้ำยังคงระยิบระยับราวหยิบยกดวงดาราบนฟากฟ้าลงมาก็ไม่ปาน พร้อมๆ กับรัศมีสีเงินยวงของศิรกัลป์เมื่อยามบำเพ็ญเพียรนั้นยังคงลอยละล่องในมวลอากาศภายในถ้ำ
“ท่านพี่…”
ราวเสียงเรียกของคนผู้หนึ่งยังคงดังก้องกังวานใส เพียงเท่านั้นน้ำตาของภัทรเนตรจึงไหลออกมาในทันที เพียงนึกถึงผู้เป็นน้องสาวที่เคยเอ่ยเรียกชื่อเมื่อยามที่เขาย่างกรายเข้ามาในถ้ำแห่งนี้
“เสียงเจ้ายังกังวานอยู่เลยปัทเนตร…” เขาพึมพำ หากแต่ไม่อาจปล่อยให้เวลาเลยผ่านไปได้จึงต้องกลั้นใจเดินผ่านเข้าไปในที่สุด
เหล่าหินงอกหินย้อยที่คล้ายกับเครื่องประดับของถ้ำนั้นระยิบระยับไม่แพ้เพดานและผนังของถ้ำ เสียงหยดน้ำที่ตกกระทบลงที่สระบัวนั้นดังแว่วมาแต่ไกล พร้อมกับเสียงฝีเท้าขององค์ภัทรเนตรนาคราชที่ก้าวเร่งเข้ามาด้วยความร้อนใจ
“ภุมโม เราเองภัทรเนตร…”
สุรเสียงนั้นทำให้ภุมโมที่นอนเอกเขนกอยู่บนอาสนะนุ่มถึงกับสะดุ้งสุดตัว เด็กน้อยที่บัดนี้พลิกตัวอย่างรวดเร็วหวังเพียงรั้งมิให้เขาเข้ามาถึงสระบัวภายในถ้ำ
หากแต่ช้าจนเกินไป!
ความรู้สึกเย็บวาบตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าราวกับถูกราดรดด้วยน้ำเย็นจัดนั้น ภัทรเนตรพลันยืนนิ่งมองมาที่สระบัวอย่างมิอาจทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็นได้
บงกชงามดอกใหญ่สีทองสุวรรณที่บัดนี้ชูช่ออยู่กลางสระ กลิ่นหอมอ่อนที่ลอยละล่องมานั้นพร้อมกับละอองเกสรสีดั่งเดียวกันราวกับว่ามันรับรู้ได้ถึงการมาของภัทรเนตร เขามองไปยังภุมโมอย่างตั้งคำถามหากแต่สีหน้าและดวงตาที่เบิกโตขึ้นด้วยความตกใจของภุมโมนั้นราวกับสร้างคำถามมากมายให้ภัทรเนตร
“เจ้าตอบข้ามาภุมโม เหตุใดนาคะบงกชแห่งปัทเนตรจึงเบ่งบานอีกครั้ง…”
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 11 : บางสิ่งมิอาจเปลี่ยนแปลง
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 10 : ยืนหยัด
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 9 : เหนือเกศบาดาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 7 : ประกายแสงแก้วประพาฬ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 6 : สัตตะคีรี 2
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 5 : สัตตะคีรี
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 4 : ป้องปีกปักษา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 3 : แสงระยับ
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 2 : สุดปลายหัตถา
- READ ห้วงนทีกาล บทที่ 1 : พงศ์สุบรรณ สุวรรณนเรศ
- READ ห้วงนทีกาล : บทนำ