ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล

ห้วงนทีกาล บทที่ 8 : มหามนตร์แห่งกาล

โดย : สิปัณฑ์

Loading

สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co

สิ้นคำพูดนั้นของทิพย์สุคนธาราวกับพิภพทลายทับร่างของสุวรรณนเรศในบัดดล แสงสีแดงดังแก้วประพาฬจึงส่องประกายเรืองรองขึ้นอย่างโชติช่วง บริเวณกึ่งกลางหน้าผากคล้ายปรากฏสัญลักษณ์บางสิ่งขึ้นเป็นจุดเล็กๆ สีดั่งเดียวกับรัศมีพลังที่ส่องประกายก่อนจะเหลือไว้เพียงสัญลักษณ์ของดอกไม้สีแดงแต้มไว้ที่กลางหน้าผากงามของสุวรรณนเรศเท่านั้น

ทิพย์สุคนธาหยุดมือไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ พลันมองไปที่สุวรรณนเรศที่บัดนี้สายตาสับสนของนางฉายชัดบนสีหน้าและแววตาอย่างชัดเจน

“เจ้าแน่ใจ…” นางพูดเพียงเท่านั้นก่อนตามมาด้วยเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่ของธิดาวิมานไวกูณฐ์

“แน่ใจแล้วฤๅที่จักรับรู้ถึงห้วงอดีตที่ผันผ่าน”

ใบหน้ายิ้มพราวเมื่อก่อนหน้าแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยจริงจังมองไปยังสุวรรณนเรศพร้อมๆ กับน้ำเสียงเย็นเยียบเข้าไปถึงข้างใน

สุวรรณนเรศไม่ตอบหากแต่เพียงหลบตาทิพย์สุคนธามองไปที่พื้นอีกครั้ง แต่สองด้านภายในใจที่ตีกันไปมานั้นยังสร้างความหวาดหวั่นไม่น้อยด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นเพียงคาดคะเนเอาอย่างง่ายราวกับว่านางหลงลืมสิ่งที่ไม่ควรลืมไปมากมาย

บางครั้งความจริงที่ว่าสู้ไม่รู้สิ่งใดเลยอาจเป็นการไม่เพิ่มภาระทางความรู้สึก หากแต่เมื่อยามใดที่บนบ่าของตนนั้นหาใช่เพียงนางผู้เดียวแล้วไซร้ การไม่รู้สิ่งใดของนางกลับสร้างบาดแผลฉกรรจ์ไว้มากมาย

“แม้ข้าหลงลืมไปมากมาย บางครั้งลืมไปอาจเป็นเรื่องดีที่ไม่ต้องรู้สึก…หากแต่บัดนี้การไม่รู้สิ่งใดกลับทำให้ข้าเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยาย ลงมือเถิดเจ้าค่ะ…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นทิพย์สุคนธาไม่กล่าวสิ่งใด หากแต่พนมมือทั้งสองข้างไว้ที่กลางอกแล้วทั้งสองจึงหลับตาลงช้าๆ ไม่นานมวลอากาศโดยรอบกลับอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมบางอย่างแม้ดอกไม้นับหมื่นพันไม่อาจเทียบ

ประกายแสงสีแดงดุจแก้วประพาฬเรืองรองจากร่างของเทพธิดาทิพย์สุคนธา รวมถึงที่กึ่งกลางหน้าผากของสุวรรณนเรศในทันที ก่อนที่ ณ ใจกลางระหว่างทั้งสองคนนั้นจะปรากฏดอกไม้สีแดงขึ้นดอกหนึ่งกลีบดอกบางใสราวแก้วมณีเลอค่าอีกทั้งหอมหวานไม่อาจเทียบด้วยบุปผาใด

สุวรรณนเรศที่ได้สูดกลิ่นหอมและละอองละเอียดอ่อนของดอกปาริชาตเข้าไปนั้น พลันทั่วทั้งร่างก็เรืองแสงสีทองออกมาในทันทีจากมหามนตร์ที่ข้อมือทั้งสองข้าง ก่อนภาพทุกอย่างจะฉายชัดขึ้นถึงสตรีนางหนึ่งที่มีหน้าคล้ายตนราวฝาแฝดหากแต่สวมทับด้วยอาภรณ์ประหลาดตา

ใบหน้าเศร้าหมองนั้นมองนิ่งไปยังผืนน้ำที่ไร้ขอบเขตหากแต่ฉากหลังกลับเป็นลายหินกว้างที่บัดนี้โชกชุ่มไปด้วยหยาดโลหิตสีแดงฉาน เพียงเห็นเท่านั้นนางจึงทราบได้ในทันทีว่าคือที่ใด

จากนั้นแรงสะท้อนจากพลังของดอกปาริชาตจึงดีดสะท้อนในทันที ปลุกให้ทั้งสุวรรณนเรศและทิพย์สุคนธาตื่นขึ้นก่อนจะกระเด็นออกไปคนละทิศทาง

ร่างบางของธิดาไวกูณฐ์ที่ควรกระทบลงพื้นหากแต่ถูกรับไว้ด้วยร่างของใครผู้หนึ่ง

“ทิพย์สุคนธา…พี่บอกแล้วอย่างไรว่าปาริชาตที่บานนอกฤดูจะต้องใช้พลังเทพของเจ้ามากมหาศาล”

สุรเสียงนุ่มทุ้มกล่าวพลางถ่ายทอดพลังทิพย์ของตนไปยังทิพย์สุคนธาในทันที ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใดหากแต่ร่างของพญาครุฑสีทองก็ทะยานบินออกไปในทันที สุวรรณนเรศส่งเสียงร้องคำรามครั้งหนึ่งคล้ายกล่าวขอบคุณหากแต่นางคงไม่มีเวลาได้บอกลาผู้ใด

“ช่างปะไร ข้าเพียงตอบแทนผู้เคยช่วยชีวิตก็เท่านั้น ฤๅที่พี่ท่านนำทางนางมายังดาวดึงส์นั้นก็หาใช่เพียงเพราะนางคือธิดาของพญาสุบรรณดอก องค์อัคคีศิคิน”

 

สุดแรงที่ทะยานผ่านเขตแดนของแดนฟ้าดาวดึงส์นั้นเพียงโผล่พ้นเขตแดนข้ามผ่านสู่เส้นทางที่คุ้นชิน ดวงเนตรคมกลับจ้องมองไปยังดวงดาราบนฟากฟ้าที่บัดนี้ต่างพากันลาลับท้องฟ้ายามราตรีใกล้หมดสิ้น

แม้ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าทุกเมื่อเชื่อวันหากแต่ภายในใจของสุวรรณนเรศนั้นไม่ต้องการรอคอยอีกต่อไป นางจึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจักไม่มีทางพลาดแสงแรกแห่งยามรุ่งอรุณนี้

ร่างบางทะยานสุดแรงหากแต่สองมือกลับร่ายพระเวทเพื่ออำพรางซ่อนเร้นกายในทันที

“พระเวทย้อนกาลนั้นเจ้าต้องจดจำสิ่งหนึ่งให้ขึ้นใจสุวรรณนเรศ เมื่อเจ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งใดที่เคยเกิดขึ้นแล้วไซร้ ย่อมส่งผลต่อภายภาคหน้าเสมอ เช่นนั้นจงไปยังจุดเหตุการณ์ที่เจ้าต้องการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องใช้ดอกปาริชาตแห่งเรา”

เสียงขององค์ทิพย์สุคนธายังคงดังก้องภายในใจนั้นก่อนสุวรรณนเรศจะร่อนลง ณ ลานถวายบรรยากาศได้อย่างง่ายดาย ดวงตาไร้ประกายนั้นทอดมองไปยังผืนน้ำกว้างที่ยังคงดำมืดฟังชัดเสียงคลื่นยามสาดซัดกระทบฝังคล้ายกำลังบอกกระซิบบางสิ่ง

ภาพตรงหน้าราวคล้ายเกิดขึ้นหากแต่ว่าเมื่อใดกันแน่ สุวรรณนเรศที่พยายามรวบรวมสมาธิให้ตั้งมั่นก่อนสายตาแน่วแน่มองไปยังขอบฟ้าที่ยามนี้เริ่มเจือไปด้วยแสงสีนวลช้าๆ

ดวงเนตรคมค่อยๆ หลับตาลง พลันที่ข้อมือทั้งสองข้างจึงบังเกิดแสงสว่างสีทองขึ้นพร้อมๆ กับที่แสงสีส้มอ่อนเริ่มจับขอบฟ้า เมื่อครั้งแสงแรกของดวงตะวันส่องมาที่ร่างของสุวรรณนเรศนั้นจึงบังเกิดลำแสงสุกสกาวพวยพุ่งไปทั่วบริเวณ

เสียงม้าเทียมรถทั้งเจ็ดควบดังเป็นจังหวะกุบกับโดยมีพระอรุณผู้เป็นสารถีนั้นใช้จิตของตนเพ่งพินิจไปยังหลานสาว จึงพบว่าบัดนี้นางกำลังร่ายพระเวทแห่งกาลแล้วเช่นกัน

“ขอเจ้าจงไร้ซึ่งภยันตรายใด หลานข้า”

ลำแสงสีทองที่พวยพุ่งออกจากร่างของพญาครุฑาสุวรรณนเรศนั้นพลันสร้างลมพายุขนาดใหญ่ขึ้น เหล่าลำแสงนั้นจึงค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นอักขระโบราณมากมายเรียงตัวกันเป็นชั้นๆ ล้อมรอบร่างของสุวรรณนเรศที่บัดนี้ที่กึ่งกลางหน้าผากปรากฏจุดแต้มสีแดงฉานของดอกปาริชาต

สังสารวัฏ การเวียนว่ายตายเกิดนั้นแสนพิสดารนัก กี่ภพชาติกันที่ต้องวนเวียนไม่รู้จบ แม้เป็นเทพผู้ทรงฤทธิ์หรือแม้เหล่าปุถุชนล้วนต้องพานพบไม่มีวันจบสิ้น

ภาพต่างๆ ไหลผ่านราวสายน้ำเชี่ยวกรากถาโถมโหมซัดอย่างรวดเร็ว รวมถึงอดีตชาติที่ผันผ่านเสียจนร่างกายของสุวรรณนเรศคล้ายแบกรับความรู้สึกของผู้คนที่เคยเป็นนางไม่ไหวอีกต่อไป

‘ข้าประสงค์เพียงแก้ไขคำสัตย์สาบานที่ให้ไว้แก่เขาเท่านั้น!’

สุวรรณนเรศตั้งมั่นในจิตหากแต่บัดนี้ที่เบื้องหน้านั้นกลับปรากฏลมฝนประหลาด ท้องฟ้าเหนือมหานทีที่เงียบสงบนั้นกลับแปรปรวนอย่างเห็นได้ชัดเจน คลื่นคลั่งแห่งห้วงสมุทรจึงบังเกิดอีกครา

ร่างกำยำของใครผู้หนึ่งที่เฝ้ามองตั้งแต่เมื่อยามนางมาถึงลานบรรณาการได้ไม่นานทะยานขึ้นสู่ลานบรรณาการในทันทีด้วยความรวดเร็ว ศิรกัลป์มองไปยังร่างของงสุวรรณนเรศที่บัดนี้ถูกโอบล้อมด้วยอักขระเวทสีทองอย่างตื่นตระหนก ด้วยเขาเองนั้นหารู้ไม่ว่านางกำลังจะกระทำสิ่งใด

หากแต่สัญชาตญาณกลับเตือนให้เขาทราบว่าต้องขัดขวางให้จงได้!

ร่างบางสั่นเทาไปด้วยแบกรับพลังของพระเวทย้อนกาลเพียงผู้เดียว แม้ไม่รุนแรงเจียนสิ้นสติแตกดับดั่งเช่นพระเวทไตรทิพย์หากแต่เจ็บปวดเข้าไปจนถึงด้านใน

“พอเถิด พอเท่านี้เถิด…”

สิ้นเสียงนั้นที่ดังอยู่เบื้องหน้าของสุวรรณนเรศฟังคล้ายคุ้นหู ดวงเนตรที่นับตาสนิทตั้งจิตอยู่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ เบื้องหน้าภายใต้มหามนตร์ย้อนกาลนั้นกลับเป็นร่างของใครผู้หนึ่งหากแต่นางกลับไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่เป็นเขา

ศิรกัลป์นาคราชที่อยู่เบื้องหน้านั้นพูดด้วยน้ำเสียงแปลกพิกลอยู่ หากแต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นคืออากัปกิริยาที่ไม่ควรกระทำเช่นนั้นคือนิ่งมองมาที่ตน แววตาไร้แววเกรี้ยวกราดอย่างที่ควรเป็นหากแต่คล้ายเศร้าหมองลงอย่างชัดเจน

ผ้าพาดสีเงินยวงพลิ้วไสวไปตามแรงลมที่พัดผ่านทำให้หยาดละอองทิพยสีเงินลอยละล่องไปตามสายลมเช่นกัน สุวรรณนเรศเมื่อเห็นดังนั้นหากแต่ไม่สามารถหยุดพระเวทย้อนกาลได้

ทุกสรรพสิ่งเงียบสงัดไร้ซึ่งคำพูดใด หากแต่ราวกับว่าความอึดอัดและเจ็บปวดจากพระเวทย้อนกาลเมื่อครู่นั้นเบาบางลง สุวรรณนเรศมองไปยังศิรกัลป์อย่างไม่เชื่อสายตาหากแต่เขากลับหลบตามองต่ำในทันที

“หยุดเถิด…” ศิรกัลป์ย้ำ

คิ้วคมของสุวรรณนเรศพลันขมวดเป็นปมอีกครั้ง แม้คำพูดนั้นแสนเรียบง่ายหากแต่สร้างคำถามในใจสุวรรณนเรศมากมาย ยามดอมดมกลิ่นแห่งปาริชาตแม้ล่วงรู้อดีตชาติที่ผันผ่านหากแต่ห้วงความทรงจำที่ขาดหายนั้นกลับนิ่งสนิทไร้ทางออก

แลข้อสงสัยที่ว่าเรื่องความทรงจำที่ไม่ปะติดปะต่อนี้เกรงว่าคนตรงหน้าต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเป็นแน่

“เจ้ากลัวฤๅนาคราช…”

นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางมองสีหน้าอึดอัดอย่างชัดเจนของชายหนุ่มที่แม้บัดนี้พยายามกักเก็บสีหน้าไม่ให้ฉายชัดหากแต่ไม่อาจกักเก็บแววตาไว้ได้

ราวเสียงดังโครมครามด้านในจากดวงใจที่เต้นถี่ไม่เป็นจังหวะ เขายังคงไม่กล่าวสิ่งใดเช่นเดิมในใจชั่วขณะหนึ่งที่สุวรรณนเรศลอบมองสังเกตไปยังปลายขอบฟ้าที่บัดนี้แสงสีนวลกลับค่อยๆ เจือไปด้วยแสงสีส้มแดงทุกขณะ

หากไม่ร่ายพระเวทย้อนกาลให้จบในครั้งนี้เกรงว่านางคงไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว…

อักขระเวทที่เริ่มถักทอเป็นปราการแสงโอบล้อมร่างของทั้งสองไว้แน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ หากแต่เมื่อศิรกัลป์อยู่เบื้องหน้านางเช่นนี้นางจะวางใจมีสติเพื่อระลึกกาลที่จะเดินทางไปได้อย่างไร

คิดได้ดังนั้นสองมือจึงโบกสะบัดอีกครั้งพร้อมๆ กับที่กำไลที่ข้อมือของศิรกัลป์เรืองแสงขึ้น ร่างของชายหนุ่มถูกเหวี่ยงด้วยแรงมหาศาลของกำไลขนปักษาเพื่อหวังให้เขานั้นออกไปจากเขตอักขระพระเวทย้อนกาล

เมื่อไม่ทันได้ตั้งตัวเตรียมรับการโจมตีด้วยเขาไม่คิดว่าสุวรรณนเรศจะใช้วิธีการบัญชากำไลปักษา ทำให้ร่างกำยำของศิรกัลป์กระแทกเข้ากับอักขระเวทอย่างแรงหากแต่ไม่อาจทะลุผ่านไปได้

ด้วยแรงกระแทกอย่างแรงนั้นทำให้นาคราชหนุ่มหมดสติลงในทันที ร่างกำยำลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าสุวรรณนเรศ ในห้วงเขตพระเวทย้อนกาลและเวลายามแสงแรกแห่งสุริยเทพไม่คอยท่าสุวรรณนเรศจึงจำเป็นต้องร่ายพระเวทให้สมบูรณ์

“มาขัดขวางข้ามิใช่ฤๅ ไยสลบง่ายดายปานนี้ ไม่กลัวข้าฆ่าเจ้าฤๅอย่างไร!”

สุวรรณนเรศกล่าวอย่างหัวเสียแต่หากจะหยุดพระเวทก็ไม่ทันเสียแล้ว

เมื่อยามสีแดงฉายของดวงอาทิตย์ยามโผล่พ้นขอบฟ้าสาดแสงลงมา รัศมีสีทองของอักขระเวทก็เรืองรองจนถึงขีดสุด ยามแสงสีทองส่องประกายจนสว่างไสวไม่สามารถมองเห็นสิ่งอื่นได้อีก ความว่างเปล่าโอบล้อมร่างของทั้งสองไว้ก่อนทุกอย่างจะหมุนวนจนสุวรรณนเรศไร้การควบคุมทิศทางและร่างกายของตน

เพียงชั่วอึดใจที่ทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งลง ร่างของสุวรรณนเรศและศิรกัลป์จึงร่วงหล่นราวกับทุกอย่างเบื้องล่างไร้จุดสิ้นสุด สุวรรณนเรศที่ยังคงมีสติจึงพยายามเรียกปีกของตนมาแต่ไร้ผล ไม่เพียงเท่านั้นพระเวทหรือพลังวิเศษใดก็ไม่สามารถร่ายได้เช่นกัน

ทุกอย่างจึงทำได้เพียงปล่อยให้เป็นไปตามวิถีแห่งโชคชะตา…

นภากว้างไร้ขอบเขตบัดนี้ไม่อาจทราบได้ว่าจุดสิ้นสุดคือที่แห่งใด หากแต่ในห้วงอากาศนั้นกลับปรากฏภาพเหตุการณ์มากมายทั้งในยามแรกจุติที่นางกำเนิดขึ้นมา ณ วิมานฉิมพลี ภาพของผู้เป็นบิดาและมารดาที่โอบกอดสุวรรณนเรศไว้แน่น ภาพเมื่อครั้งร่างกายของตนในสมรภูมิอาบชุ่มไปด้วยหยาดโลหิตสีแดงฉานทั่วร่างโดยมีสัมปาตีและสดายุหรือแม้แต่ภาพยามที่ตรัสวินเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่เคียงข้างตน

สุวรรณนเรศยิ้มออกมาบางๆ พลันหยาดน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุมเมื่อยามมองย้อนไปยังห้วงเวลาต่างๆ ที่ผ่านเลยไป แม้ความสุขปะปนความเศร้าหากแต่นางก็ผ่านมาได้จนทุกวันนี้

วิถีชีวิตดั่งเช่นเหล่าขุนพลไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหญิงสาวร่างกายบอบบาง หากแต่ยังคงสายเลือดแห่งขัตติยะ นางแม้ไม่เคยเอ่ยปากหากแต่หลับไม่เคยเต็มตาแม้สักคืน

แม้มีหลายสิ่งที่อยากเปลี่ยนแปลงมากมายแต่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ตัดสินใจโดยนางทั้งสิ้น และสุวรรณนเรศไม่แม้แต่นึกเสียใจกับทางที่นางได้เลือกแล้วเช่นกัน

ความเปียกชุ่มที่สัมผัสได้นั้นแปรเปลี่ยนจากห้วงอากาศกว้างเป็นท้องน้ำไร้ขอบเขต ร่างบางพลันพลิกกายกลับในทันที หากแต่บัดนี้กลับกลายเป็นว่าร่างกายจมดิ่งลงสู่เบื้องล่างของห้วงนทีไร้ขอบเขตแทน

สุวรรณนเรศเร่งไปยังจุดที่ร่างไร้สติของศิรกัลป์หากแต่กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย เพียงชั่วพริบตาจึงสัมผัสได้ถึงแขนแกร่งที่โอบรัดร่างของตนทะยานขึ้นสู่ด้านบนอย่างรวดเร็ว

แขนแกร่งของบุรุษที่อยู่ตรงหน้านั้นสำหรับร่างบางของสุวรรณนเรศนั้นนับเป็นเรื่องง่ายดายราวนับนิ้วมือหากแต่ไหนเลยนางจะยอมให้จับได้โดยง่าย สุวรรณนเรศออกแรงพลิกตัวอย่างสุดแรงก่อนจะใช้สองเท้าถีบเข้าไปที่กลางอกของศิรกัลป์อย่างเต็มแรง

“เหตุใดราวข้าย้อนกลับไปยังอดีตของตน เจ้าคิดจักกระทำสิ่งใดสุวรรณนเรศ…”

ทั้งสองประจันหน้ากันอีกครั้งหากแต่ครั้งนี้กลับเป็นรอยยิ้มของสุวรรณนเรศเข้ามาแทนที่ใบหน้านิ่งเฉยแทน

“ไหนๆ เจ้าก็ทายใจข้าได้อยู่แล้วมิใช่ฤๅ ไม่สู้ครั้งนี้ลองดูอีกหน”

นางพนมมือที่อกในทันทีพลันความคิดบางอย่างจึงเข้าแทนที่ หากว่าสะกดให้ศิรกัลป์หลับใหลอยู่ ณ ที่แห่งนี้ชั่วขณะไม่แน่ว่าอาจเป็นการกักขังเขาไม่ให้ก่อเรื่องใดได้ในช่วงที่นางย้อนกาลกลับเท่านั้น

“เจ้ารู้แก่ใจว่า ณ ที่แห่งนี้พระเวทหรือทิพยพลังแห่งเจ้าแลข้าไร้ผล”

ยังไม่ทันสิ้นคำของศิรกัลป์รอบๆ กายที่คล้ายกับห้วงนทีใต้ท้องน้ำจึงเริ่มขยับไหวด้วยพลังแห่งมนตร์ย้อนกาล รอบกายของทั้งสองราวกับกำลังย้อนแสดงถึงเหตุการณ์บางสิ่ง คล้ายจริงหากแต่ไม่อาจสัมผัสหรือมีรูปร่างที่ชัดเจน

สุวรรณนเรศเร่งสมาธิตั้งมั่นให้ได้มากที่สุดก่อนจะใช้สองมือของตนสัมผัสไปที่กลุ่มพลังรูปร่างประหลาดสีทองสายหนึ่งที่หมุนวนรอบกายตน เช่นเดียวกับศิรกัลป์ที่ใช้มือของตนสัมผัสไปยังกลุ่มพลังสีดำประหลาดที่หมุนวนรอบตน

เมื่อใช้จิตใจสัมผัสแล้วนั้นกลับกลายเป็นภาพของหญิงสาวคนเดิมเมื่อครั้งที่สุวรรณนเรศได้ดมกลิ่นของดอกปาริชาต ใบหน้าเศร้าหมองยังคงยิ้มทั้งน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้มนวล

“มาเถอะพงศ์สุบรรณสุวรรณนเรศ”

ราวกับกำลังส่องกระจกสะท้อนเงาร่างของตนหากแต่อาภรณ์ผิดแผกไปจากเดิม สุวรรณนเรศมองไปยังฝ่ามือที่ยื่นมาที่ตนนั้นพลันมองไปยังใบหน้าที่คล้ายตนราวกับคนคนเดียวกัน

“เจ้าเป็นผู้ใดกัน” สุวรรณนเรศกล่าว

รอยยิ้มปรากฏที่ริมฝีปากบางในทันที เพียงแย้มยิ้มเท่านั้นราวรอบกายสว่างไสวขึ้น

“ข้าก็คือเจ้า…”

เสียงใสกังวานตอบชัดถ้อยชัดคำอย่างไม่คิดลังเล สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ยื่นมือของตนไปจับมือของอีกฝ่ายในทันที

 



Don`t copy text!