
ห้วงนทีกาล บทที่ 2 : สุดปลายหัตถา
โดย : สิปัณฑ์
สิปัณฑ์ ขอต้อนรับสู่มหาสงครามที่แสนเนิ่นนานของชาวฉิมพลีและโลกแห่งเมืองบาดาล ใน ห้วงนทีกาล นวนิยายที่ได้รับแรงบัลดาลใจมาจากตำนานสุดคลาสสิกอย่างพญาครุฑและพญานาคสองคู่อริตลอดกาล เรื่องราวจะชุลมุนวุ่นรักขนาดไหนมาติดตามกันได้ใน “ห้วงนทีกาล” นวนิยายที่อ่านเอาคัดสรรมาให้ทุกท่านได้อ่านแล้วที่ anowl.co
ท้องฟ้าที่สงบใสไร้เมฆฝนใด…หากราวกับว่ามีสายฟ้าผ่าลงมาที่ร่างของสุวรรณนเรศเมื่อยามมองไปยังใบหน้าของชายที่พึ่งปรากฏกาย
แสงอาทิตย์สีเหลืองอ่อนยามลอดผ่านเมฆหม่นที่บัดนี้ค่อยๆ อันตรธานหายไปจนหมดสิ้นส่องกระทบไปยังละอองแสงสีเงินบนอากาศโดยรอบ ทอแสงระยิบระยับงดงามราวภาพฝัน
ท่ามกลางละอองสีเงินที่ลอยกระจัดกระจายในมวลอากาศนั้น ใบหน้าคมสันลุ่มลึกราวมหานทีที่อยู่เบื้องหน้า ผมสั้นสีดำสนิทราวเกลียวคลื่นยามราตรีที่บริเวณเหนือศีรษะนั้นมีรัดเกล้าสีเงินรูปพญานาคราชสองตนคดพันเกี่ยวกันอยู่
ดวงตาคมราวมีประกายลุกวาวขึ้นมองนิ่งมาที่นางไม่วางตา ดั่งความฝันยืนอยู่เบื้องหน้าเมื่อร่างของเขาขยับเข้ามาใกล้นางทีละก้าว หากแต่ร่างของสุวรรณนเรศไม่แม้แต่ขยับหนี คล้ายความรู้สึกบางอย่างกดทับลงที่ร่างของตน
ความเจ็บปวดที่จู่ๆ ก็แล่นขึ้นมาที่บริเวณกลางอกอย่างเฉียบพลันหาใช่ที่กลางฝ่ามือ!
“มาถึงเสียที…”
เขากล่าวเสียงเรียบ หากสุวรรณนเรศที่บัดนี้ทั้งร่างชาไปหมดก่อนจะมองไปยังฝ่ามือของชายตรงหน้าที่บัดนี้เองปรากฏร่องรอยของบาดแผลเช่นเดียวกัน
เขาที่มองตามสายตาของสุวรรณนเรศมาหยุดที่มือของตนก่อนจะยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากอย่างพอใจ ด้วยธิดาพญาสุบรรณผู้นี้เฉลียวฉลาดมีไหวพริบเป็นเลิศ เพียงมองปราดเดียวก็ราวกับประเมินสถานการณ์ทุกอย่างกระจ่างชัด
สุวรรณนเรศที่ทราบได้ในทันทีว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคือชายที่ปรากฏกายในนิมิตของนางเป็นแน่ อีกทั้งยังเป็นผู้ร่ายพระเวทเรียกฝนเมื่อครู่เนื่องด้วยยามที่รัศมีสีเงินยวงของเขากระจัดกระจายไปทั่วนั้นทุกอย่างก็สงบลงในบัดดล!
นางไม่กล่าวสิ่งใดกลับกันที่ค่อยๆ ขยับถอยห่างออกมาอย่างช้าๆ พลางเพ่งพินิจไปที่ใบหน้าของเขาด้วยไม่แน่ว่าคงเคยประมือกันในสมรภูมิมาบ้าง หากแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก!
“เจ้าจำเราไม่ได้…” เขาถามเสียงเรียบหากแต่สีหน้าไม่แสดงอาการของความแปลกใจเท่าใดนัก
“ต้องการสิ่งใด…”
สุวรรณนเรศไม่ตอบหากแต่น้ำเสียงของนางที่บ่งบอกได้ถึงความสงสัย หากแต่ถามออกไปตามตรง
“สมกับเป็นเจ้า เราต้องการให้ฉิมพลียุติศึกและเหล่าบรรณาการนาคทั้งสิ้นทั้งปวง”
คำพูดที่ราวกับรู้จักสุวรรณนเรศเป็นอย่างดีนั้นสร้างความประหลาดใจให้นางเป็นอย่างมาก ถึงแม้อาจเพียงพบพานกันในสมรภูมิบ้างหากแต่ไม่ควรพูดจาราวกับรู้จักนางเป็นอย่างดีเช่นนี้
“ทั้งสิ้นทั้งปวง นาคราชพูดง่ายดายเพียงนั้นแล้วไยเรื่องบิดาเราสูญหายไประหว่างแดนเล่า พวกท่านจักตอบคำตามนี้อย่างไร!”
สีหน้าแปลกใจฉายชัดขึ้นที่ใบหน้าของชายหนุ่มทันทีหากแต่เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น
“เมื่อสายลมยังโหมพัดเช่นนั้นคงตอบท่านได้แล้วกระมังถึงข้อสงสัยเมื่อครู่”
รอยยิ้มที่คลี่ออกมาอย่างเดือดดาลนั้นหากแต่บ่งบอกได้ยากยิ่งว่าเขากำลังขบคิดสิ่งใด ฝ่ามือที่กำแน่นอย่างไม่รู้ตัวทำให้เล็บมือจุกไปที่บาดแผล ความรู้สึกเจ็บแปลบที่ถูกส่งผ่านจากฝ่ามือที่เดิมเคยเป็นแผลนั้นชัดเจนเสียจนสุวรรณนเรศมองไปที่ฝ่ามือของตนในทันที
ราวกับว่าชายตรงหน้าลอบสังเกตว่าสุวรรณนเรศจะมีปฏิกิริยาตอบสนองหรือไม่ ด้วยความที่เป็นผู้ที่ช่างสังเกตและประสาทสัมผัสที่ว่องไว หญิงสาวจึงพยายามเก็บสีหน้าให้เรียบเฉยหากแต่กรามขบเข้าหากันแน่น บาดแผลเริ่มปรากฏของเหลวสีเข้มที่กำลังซึมออกมาตามผ้าพันแผลจึงเริ่มชุ่มเย็นจนรู้สึกได้
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น!”
สุวรรณนเรศพึมพำพลางสังเกตพระเวทที่เขาใช้กับนาง หากแต่ไร้ซึ่งร่องรอยของพระเวทใด!
ทั้งสองไม่แม้แต่กล่าวสิ่งใดออกมา มีเพียงรอยยิ้มที่แสยะออกช้าๆ ที่ริมฝีปากของชายตรงหน้าเท่านั้น ตามด้วยเสียงคำรามลั่นของเหล่านาคที่ติดตามสุวรรณนเรศมาหากแต่ไม่ใช่เพียงเท่านั้น!
คลื่นคลั่งสาดซัดกระทบฝั่งรุนแรงเพียงใดหากแต่สายลมก็โหมพัดรุนแรงเพียงนั้น ราวสกุณานับร้อยพันขับขานพร้อมๆ กับที่ลมแรงสายหนึ่งพุ่งตรงมายังจุดที่ทั้งสองกำลังประจันหน้ากัน
“นับแต่นั้น เจ้าคงไม่ให้นางห่างกายเป็นแน่!”
เขาพึมพำเสียงเบาหากแต่หลบการโจมตีของพลังสีขาวสายหนึ่งที่พุ่งมาที่ตนจากด้านหลังของสุวรรณนเรศอย่างรวดเร็ว ตรัสวินที่พุ่งเข้าหาเขาด้วยความรวดเร็วนั้นก่อนเขาจะเรียกอาวุธของตนขึ้นมารับการโจมตีในทันที
สุวรรณนเรศที่บัดนี้ร่างกายอ่อนแอจากอาคมของสายฝนอยู่เป็นทุนเดิมราวกับสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะก่อนขาข้างหนึ่งจะทรุดลงไปที่พื้นในทันที
“องค์ท่านเป็นอย่างไร!”
อนิละกล่าวพลางเข้ามาพยุงร่างของสุวรรณนเรศไว้ก่อนจะมองไปยังกองเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากบาดแผลอย่างไม่ขาดสาย สุวรรณนเรศไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่ส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ
ทั้งสองมองไปยังตรัสวินที่เข้าโรมรันกับบุรุษผู้นั้นด้วยความเดือดดาล หากแต่ในช่วงที่ตรัสวินกำลังได้เปรียบนั้นปลายพระขรรค์ของเขาก็ฝากรอยแผลไว้ที่ต้นแขนซ้ายของอีกฝ่ายได้สำเร็จ
ไร้สายตาตื่นตระหนกใดของฝ่ายตรงข้ามพร้อมๆ กับรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นอีกครั้งราวกับว่ายินยอมที่จะให้ตรัสวินฝากรอยแผลนี้ไว้ที่ร่างของตน
เลือดสีเข้มสาดกระเซ็นไปตามพื้นหินและใบหน้าของอนิละในทันที สร้างความตกตะลึงเสียจนอารักษ์หนุ่มไม่รู้จะกระทำสิ่งใดต่อไป
ตรัสวินที่ตกใจผละออกจากการต่อสู้ก่อนจะลงมาตั้งหลักที่พื้นพลางมองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้กำลังกุมไปที่บาดแผลที่ต้นแขนซ้ายเช่นกัน
“เป็นไปไม่ได้!”
ตรัสวินกล่าวขึ้นพลันมองไปที่สุวรรณนเรศนั้นอย่างไม่อาจเชื่อสายตาของตน
“จอมทัพแห่งฉิมพลีไยหันหลังให้ศัตรูกัน!”
ตรัสวินที่หันไปตามเสียงนั้นในทันทีก็พบว่าบัดนี้นาคราชตนนั้นภายในมือปรากฏคันธนูที่กำลังง้างศรเล็งมาที่ตนในระยะประชิด สุวรรณนเรศที่เห็นดังนั้นดวงตาจึงเบิกโพลงด้วยความตกใจและเพียงเศษเสี้ยววินาทีนั้นนางจึงใช้กริชสั้นที่พกติดกายแทงลงหัวไหล่ของตนในทันที!
เป็นอย่างที่ตนคาดคะเนไว้ไม่มีผิด เมื่อบาดแผลที่เกิดจากกริชนั้นปรากฏขึ้นที่ร่างของชายผู้นั้นในทันที ทำให้ศรที่ยิงออกมานั้นเปลี่ยนทิศทางไป!
ตรัสวินที่เห็นกับตาว่าจู่ๆ ที่หัวไหล่ของชายตรงหน้าก็เกิดแผลขึ้นก่อนจะเร่งมองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้ในมือกำลังกุมด้ามกริชไว้แน่นพลางกดลงไว้ไม่ยอมปล่อย
ลูกธนูที่แหวกอากาศไปนั้นค่อยๆ ปรากฏเป็นนาคราชสีดำสนิทพร้อมด้วยเสียงคำรามลั่นก่อนมันจะค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้น จากเดิมมีเพียงหนึ่งเป็นหลายสิบโจมตีไปยังเหล่าทหารครุฑราวห่าฝนจากฟากฟ้า
เสียงร้องก้องท้องนภาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะตามด้วยเสียงตูมตามของมหานทีเมื่อร่างของเหล่าทหารหาญกระทบจมลงสู่ท้องน้ำ
สุวรรณนเรศมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึงหากแต่เหล่าลูกธนูนาคราชนั้นยามทะลุผ่านร่างของเหล่าทหารครุฑ ไม่เพียงแต่สังหารจนสิ้นชีพแต่พวกมันยังคงไม่สูญสลายไป ราวมีจิตวิญญาณนึกคิดได้เมื่อเหล่านาคราชสีดำนับร้อยนับพันเหล่านั้นยังย้อนกลับมายังลานหินอีกครั้ง
ตรัสวินมองภาพตรงหน้านั้นหากแต่ไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้ เขาไม่กล้าแม้แต่จะตอบโต้ชายที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่น้อยก่อนจะมองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้มือบางยังคงจับที่ด้ามกริชแน่นไม่ปล่อย สายตาที่เลือนรางนั้นกลับมองมาที่ตนด้วยความเป็นห่วงยิ่งกว่าชีวิตตน
เหล่าศรนาคที่ทวีขึ้นจนไม่อาจนับแหวกอากาศย้อนกลับมาที่ทั้งสามบนลานบรรณาการในทันที อนิละที่เห็นแล้วว่าสถานการณ์อันตรายเพียงใด เขาที่มองไปยังผู้เป็นนายครู่หนึ่งพลันริมฝีปากจึงยิ้มออกมาบางๆ
ร่างบางยังสั่นเทาด้วยบาดแผลที่เกิดจากกริชที่หัวไหล่ โลหิตสีแดงฉานไหลรินเต็มพื้นลานหินไปหมด ปลายกริชสีทองที่ทะลุจากด้านหน้าไปจนมองเห็นปลายที่ด้านหลัง
นางไม่แม้แต่อาลัยชีวิตของนางแม้แต่น้อยและเขายังเฝ้าถนอมมันอย่างสุดแรง!
อนิละมองภาพนั้นด้วยใจที่คุ้นชินมานานไม่อาจนับปี เขาไม่แม้แต่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดก่อนร่างของเขาจะโอบล้อมไปด้วยรัศมีสีแดงสว่างไสวจากร่างมนุษย์หนุ่ม จึงปรากฏเป็นพญาปักษาสีแดงราวเปลวอัคคียามลุกโชน
“ต่อแต่นี้องค์ท่านอย่าได้หุนหัน…แบกภาระไว้เพียงองค์เองอีก”
เป็นคำขอครั้งสุดท้ายของอารักษ์แห่งสุวรรณนเรศ กล่าวจบอนิละก็ทะยานไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็วพลางถือหอกสีเงินในมือไว้แน่นปะทะเข้ากับศรนาคราชสีนิลที่พุ่งเข้ามาที่ลานบรรณาการ
เสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทบังเกิดเป็นแสงสว่างที่กลางมหานที!
สุวรรณนเรศมองไปยังเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นควันตลบอบอวล บัดนั้นร่างของอารักษ์คนสนิทที่ติดตามนางมาโดยตลอดก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นหากแต่อนิละไม่อาจสยายปีกบินได้อีกต่อไปก่อนศรนาคราชนั้นจะพุ่งทะลุร่างของเขาอย่างง่ายดายตรงมาที่ลานหินอีกครั้ง
สุวรรณนเรศที่เห็นดังนั้นกรามก็ขบแน่นในทันที หากแต่ร่างกายที่ยากจะขยับเคลื่อนไหวนั้นกลับมองไปยังเหล่าศรนาคราชอย่างโกรธเกรี้ยว ปีกสีทองที่สยายอีกครั้งก่อนร่างบางจะกระอักเลือดสีเข้มออกมาอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับที่โลหิตไหลทะลักออกมาจากบาดแผลพร้อมๆ กัน
ตรัสวินที่เห็นดังนั้นก็ทราบได้ในทันทีว่านางกำลังจะกระทำสิ่งใด!
ร่างของจอมทัพแห่งฉิมพลีราวกับกำลังจะทะยานออกไปยังจุดที่สุวรรณนเรศยืนอยู่นั้น นาคราชสีเงินขนาดมหึมาก็ปรากฏกายขึ้นก่อนจะกระโจนโจมตีเข้าไปที่ร่างของหญิงสาวที่บัดนี้ปรากฏรัศมีสีทองรอบกายอย่างเจิดจ้า
เพียงชั่วอึดใจที่เหนือศีรษะของสุวรรณนเรศจึงปรากฏอัญมณีสุกปลังสีทองดวงหนึ่งขึ้น อัญมณีประจำกายของเหล่าครุฑวงศ์สูงที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังทิพย์วิเศษต่างๆ เปลี่ยนแปลงไปตามสีวรกายของแต่ละองค์
พระเวทไตรทิพย์!
พระเวทชั้นสูงที่สามารถแบ่งแยกอาณาเขตท้องนภาและมหานทีที่มีเพียงพงศ์สุบรรณเท่านั้นที่สามารถกระทำได้ ไตรอันหมายความถึงพี่น้องสามองค์แห่งฉิมพลีนครเพียงแต่ขณะนี้นั้นสุวรรณนเรศกำลังจะฝืนขีดจำกัดในการร่ายพระเวทเพียงผู้เดียว!
รัศมีพลังของสุวรรณนเรศเมื่อยามสัมผัสเกล็ดที่กายของพญานาคราชสีเงินจึงปรากฏรอยแผลขึ้นในทันที ตรัสวินที่พุ่งทะยานตามมาเช่นกันจึงใช้รัศมีพลังของตนปัดป้องร่างของพญานาคราชจนกระเด็นเปลี่ยนทิศทางลื่นไถลไปตามพื้นหินอย่างรุนแรงก่อนร่างของตรัสวินจะไปหยุดอยู่ด้านหน้าของสุวรรณนเรศ
ตรัสวินที่รู้ถึงพระเวทไตรทิพย์เป็นอย่างดีนั้นแม้เขาจะเข้าใกล้ผู้ร่ายคาถาได้ด้วยเป็นเผ่าพงศ์วงครุฑาเช่นกัน หากแต่ไม่สามารถร่วมร่ายพระเวทได้ด้วยเขามิใช่พงศ์สุบรรณเช่นนาง
ดวงตาที่เริ่มเหม่อลอยไร้แววของสุวรรณนเรศนั้นทำให้เขาทราบได้ในทันทีว่าสติของนางและพลังชีพกำลังถูกพลังของพระเวทดูดกลืนทีละน้อยจึงทำได้เพียงใช้พลังของตนเข้าไปช่วยพยุงดวงจิตของสุวรรณนเรศไม่ให้แตกดับ
ด้วยขีดจำกัดของร่างกายอีกทั้งยังต้องแบกรับพลังของพระเวทไตรทิพย์ สุวรรณนเรศที่กระอักเลือดออกมาหากแต่ยังคงขบกรามแน่นทนรับความเจ็บปวดที่บัดนี้แล่นไปทั่วร่าง เมื่อรัศมีสีทองของนางเรืองรองจนถึงขีดสุดจึงปรากฏขึ้นเป็นพลังครอบทับลานบรรณาการไว้ก่อนจะแผ่ขยายออกอย่างรวดเร็ว
ท้องนภาที่บัดนี้ถูกทาทับด้วยรัศมีสีทองสุกปลั่งและคลื่นพลังมหาศาลยังคงกดทับร่างของพญานาคราชสีเงินราวถูกพันธนาการด้วยน้ำหนักมหาศาลจนไม่อาจขยับได้ดังใจ
เขาดิ้นรนอย่างสุดกำลังมองไปยังเบื้องหน้าหากแต่บัดนี้รัศมีสีสุวรรณของนางก็ขจัดศรนาคราชสีดำที่พุ่งแหวกอากาศมาก่อนมันจะสลายกลายเป็นเศษละอองสีดำระเหิดหายไปในอากาศ หากแต่จำนวนมหาศาลของมันก็คล้ายกับว่าไม่ลดจำนวนลงเลย
“โง่เขลา เจ้าผู้เดียวจะร่ายไตรทิพย์ได้อย่างไร!”
นาคราชหนุ่มสบถเสียงแข็งก่อนจะพยายามใช้พลังของตนต้านพลังของสุวรรณนเรศอย่างสุดแรง
แผ่นหลังแกร่งของตรัสวินที่บัดนี้ยืนหยัดอยู่เบื้องหน้านางไม่เคยห่าง สุวรรณนเรศเพ่งมองไปยังเบื้องหน้าที่บัดนี้รัศมีพลังของตนที่เคยส่องสว่างกลับค่อยๆ อับแสงลงช้าๆ นางรู้แน่แก่ใจว่าบัดนี้ร่างกายแบกรับต่อไปอีกไม่ไหวเช่นเดียวกับที่ตรัสวินเองคงแจ้งแก่ใจแล้วเช่นกันหากแต่เขายังคงหยัดยืนอยู่เพื่อนาง
“ข้าไม่ไป…”
ตรัสวินกล่าวเสียงเรียบราวกับว่าล่วงรู้สิ่งที่อยู่ภายในใจของสุวรรณนเรศ เรี่ยวแรงที่มีอยู่น้อยนิดของนางนั้นไม่อาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดได้ ตรัสวินหันกลับมามองไปที่สุวรรณนเรศครู่หนึ่งและสายตาที่จับจ้องไปยังอัญมณีที่อยู่เหนือศีรษะของสุวรรณนเรศด้วยบัดนี้มันเริ่มปริแตกออกช้าๆ เช่นกัน
พลันรอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนจึงค่อยๆ ฉายชัดที่ใบหน้า ตรัสวินที่รู้แน่แก่ใจแล้วว่าควรกระทำสิ่งใด…
เพียงชั่วอึดใจเมื่อร่างของสุวรรณนเรศไม่อาจแบกรับพลังมหาศาลของพระเวทไตรทิพย์ได้อีกต่อไป เข่าทั้งสองข้างทรุดลงกับพื้นหินอย่างหมดสิ้นเรี่ยวแรงและเขตอาคมที่เกิดจากพลังทิพย์ของนางก็ค่อยๆ สลายไปเช่นกัน
ตรัสวินรับร่างของสุวรรณนเรศที่จวนเจียนจะหมดสติไว้ในอ้อมกอด ราวทุกสรรพสิ่งหยุดนิ่งลงชั่วขณะหนึ่ง แม้เบื้องหน้าคือร่างของจอมนาคาที่บัดนี้หลุดพ้นจากพันธนาการและเบื้องหลังของเขานั้นคือเหล่าลูกศรนาคราชนับพันที่พุ่งตรงเข้ามา
“มณีของข้าใกล้แตกดับแล้วตรัสวิน เจ้าต้องไป…”
น้ำเสียงแผ่วเบาและอ่อนแรงของหญิงสาวในอ้อมกอดเอื้อนเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่กอดร่างบางไว้แน่นกว่าเดิม
“ไป!!!”
สุวรรณนเรศตะโกนก้องปนเปไปด้วยน้ำตาที่หลั่งออกมาอย่างไม่อาจควบคุมเมื่อมองไปยังเหล่านาคราชสีดำนับพันที่พุ่งตรงมาที่พวกเขา ก่อนจะออกแรงผลักเขาออกจากอ้อมกอดนั้นอย่างสุดแรงที่มีหากแต่ตรัสวินก็ยังคงกอดนางไว้เช่นเดิม
ดวงตาที่ปิดลงช้าๆ ขององค์ตรัสวินนั้นราวกับกำลังโอบรับความรู้สึกจากอ้อมกอดนั้นเป็นครั้งสุดท้าย สุวรรณนเรศที่ดิ้นรนผลักเขาออกไปหากแต่ไร้เรี่ยวแรงแล้วเต็มทีด้วยรู้แน่แก่ใจว่าตรัสวินจะกระทำสิ่งใด
แสงสีขาวนวลที่เรืองรองขึ้นกลับทำให้สุวรรณนเรศกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวดพลางดิ้นรนให้หลุดจากอ้อมกอดของเขาสุดแรง อัญมณีประกายสีขาวที่บัดนี้ค่อยๆ ปริแตกออกก่อนจะสลายช้าๆ กลับเติมเต็มไปยังดวงมณีสีสุวรรณจนมันกลับมาสุกสว่างอีกครั้ง
ดวงเนตรของตรัสวินที่บัดนี้เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาจึงค่อยๆ มองไปยังดวงหน้าของสุวรรณนเรศอีกครั้งก่อนจะผละออกจากอ้อมกอดนั้นแล้วลุกขึ้นหยัดยืน ปีกใหญ่สีขาวนวลพลันสยายออกจากกลางหลังก่อนจะหันหลังไปเผชิญหน้ากับเหล่าศรนาคราชในทันที
‘เป็นข้าที่ติดค้างท่าน…’
ตรัสวินพึมพำในใจก่อนมองไปยังธนูนาคราชนับพันที่พุ่งโจมตีมาที่ทั้งสองนั้น ทันใดพญาครุฑาก็สยายปีกของตนแทนโล่กำบังซึ่งใช้พลังสุดท้ายของตนปกป้องร่างของสุวรรณนเรศเอาไว้
สงัดเงียบไร้สุรเสียงใด…ไม่มีแม้เสียงคำรามลั่นของสกุณานับพัน
ตรัสวินที่ขบกรามแน่นหากแต่เมื่อยามที่เหล่านาคราชสีนิลนั้นผ่านทะลุทุกส่วนของร่างกายกลับเจ็บปวดราวกับหอกนับพันทิ่มแทงครั้งแล้วครั้งเหล่า หยาดโลหิตสาดกระเซ็นอาบร่างของสุวรรณนเรศที่ทำได้เพียงมองภาพที่เกิดขึ้นนั้นด้วยดวงใจที่แตกสลาย
บัดนั้นเสียงคำรามของพญานาคราชจึงดังขึ้นอีกครั้ง นาคราชสีเงินยวงที่บัดนี้แผ่พังพานเจ็ดเศียรบังเกิดรัศมีสีเงินครอบคลุมไปทั่วก่อนเหล่าศรนาคราชสีดำนั้นจะสลายหายไปในทันที
แววตาที่เลื่อนลอยของสุวรรณนเรศนั้นมองจับจ้องเพียงร่างของตรัสวินที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์มากมายจนไม่เหลือชิ้นดี นางทำได้เพียงพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงนั้นค่อยๆ คลานไปตามพื้นหินอย่างยากลำบากหากแต่ร่างของพญาครุฑหนุ่มที่บัดนี้กลับนอนนิ่งท่ามกลางพื้นหินเย็นเฉียบที่อาบย้อมไปด้วยโลหิตของตน
มือบางเมื่อสัมผัสที่ใบหน้าของตรัสวินนั้นกลับเย็นเฉียบไม่ต่างกับพื้นหิน ณ ลานแห่งนี้แม้แต่น้อย ปากก็พร่ำเรียกชื่อเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นาคราชสีเงินที่พึ่งกลับกลายร่างเป็นมาณพหนุ่มนั้นเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อตรัสวินของสุวรรณนเรศปะปนกับเสียงสะอื้นไห้…กลับรู้สึกวูบไหวภายในใจจนไม่อาจทนดูต่อไปได้อีก เขาทำได้เพียงเบือนหน้าหลบตามองต่ำไปที่พื้นหินเท่านั้น
“ศิรกัลป์!”
เสียงเรียกหนึ่งดังขึ้นหากแต่บุรุษผู้มาถึงทำได้เพียงตะลึงงันกับภาพที่เห็นตรงหน้า เขาไม่กล่าวสิ่งใดหากแต่จ้องมองไปยังสุวรรณนเรศที่บัดนี้นอนราบอยู่ที่พื้นข้างๆ ร่างอันไร้วิญญาณของตรัสวิน
“นี่เจ้า!”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจก่อนจะมองไปยังศิรกัลป์ที่บัดนี้เบือนหน้ามองที่พื้นเท่านั้น สองมือกำหมัดแน่นหากแต่ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใดสายลมก็โหมกระหน่ำอีกครั้ง
ท้องนภาที่เคยมืดมิดนั้นด้วยกลุ่มเมฆาสีหม่นกลับสว่างไสวในพริบตาราวถูกลมบางอย่างกระชากเปิดม่านสีครึ้มนั้นออกอย่างแรง รัศมีสีทองส่องลงมาที่ลานพื้นหินอย่างรุนแรงจนได้ยินเสียงแผ่นหินปริแตกออกในทันทีพร้อมๆ กับแรงกระแทกที่ส่งให้ร่างมาณพของนาคราชหนุ่มทั้งสองกระเด็นกระดอนไปคนละทิศทาง
เสียงราวสกุณาพิโรธนับพันของพญาครุฑที่ดังก้องนภา เหล่าทหารนาคราชที่อยู่บริเวณนั้นจึงรีบดำดิ่งลงสู่ห้วงนทีในบัดดล แสงสีทองที่สาดส่องลงมานั้นกินอาณาเขตท้องนภาจรดพื้นน้ำก่อนจะเกิดเป็นเขตอาคมขนาดใหญ่ปิดกั้นจนน้ำในมหาสมุทรยกตัวสูงขึ้นจนเห็นพื้นของก้นสมุทร
ที่กลางท้องนภา ณ ใจกลางของแสงสว่างสีทองนั้นจึงเผยให้เห็นร่างของพญาครุฑสององค์ขนาดมหึมา
องค์หนึ่งสูงสง่าวรกายสีแดงฉาน ปีกใหญ่สีทองสุวรรณอร่ามทอแสงรัศมีเจิดจ้านามว่า ‘สัมปาตี’
ส่วนอีกองค์นั้นวรกายสีมรกตกำยำ ปีกมหึมาสีทองสุวรรณดุจเดียวกันหากแต่นาม ‘สดายุ’
เมื่อได้ร่ายพระเวทไตรทิพย์แล้วนั้นทั้งสองที่เห็นร่างของขนิษฐาโชกชุ่มไปด้วยบาดแผลและหยาดโลหิตก็พิโรธอย่างหนัก สัมปาตีที่ทำทีจะโฉบลงมาที่นาคราชในทันทีหากแต่สดายุกลับห้ามเอาไว้
“พี่ท่าน!”
สดายุกล่าวหากแต่ได้เพียงเสียงทอดถอนหายใจของสัมปาตีเป็นคำตอบ
“เราจะตรึงพระเวทไตรทิพย์ไว้ สดายุเจ้าจงไปนำสุวรรณนเรศและตรัสวินกลับฉิมพลี”
สิ้นคำของพญาสัมปาตี…พญาสดายุที่บัดนี้ร่อนลงที่ลานหินกว้างก่อนจะตรงเข้าไปดูอาการของสุวรรณนเรศในทันที แม้ร่างกายจะเต็มไปด้วยโลหิตหากแต่บาดแผลกลับค่อยๆ สมานอย่างน่าประหลาด
“เป็นไปได้อย่างไร…”
เขากล่าวออกมาอย่างประหลาดใจหากแต่ไม่อาจกล้าถามไถ่สิ่งใดเมื่อมองไปยังดวงตาที่ว่างเปล่าของสุวรรณนเรศที่บัดนี้จ้องมองไปยังร่างไร้วิญญาณของตรัสวินเพียงเท่านั้น
เพียงชั่วอึดใจเสียงของเหล่านาคาก็คำรามลั่น ด้วยยามนี้นั้นพวกเขาอยู่ในแดนของอาณาเขตนาคราช
สดายุจึงทำได้เพียงกลายร่างเป็นพญาครุฑอีกครั้งก่อนจะอุ้มเอาทั้งสองแล้วบินขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว สัมปาตีเมื่อเห็นดังนั้นก็คลายพระเวทในทันทีด้วยไม่อาจแบกรับพลังของพระเวทไตรทิพย์ได้เช่นกัน
เมื่อพระเวทคลายออก…อาณาเขตที่เคยแบ่งแยกท้องนภาและห้วงมหาสมุทรจึงทลายลง มวลน้ำมหาศาลที่ถูกแหวกออกนั้นจึงไหลทะลักกลับสู่ที่เดิมอย่างรุนแรง ก่อกำเนิดเป็นแอ่งน้ำวนขนาดใหญ่ในทันที มหาสมุทรที่ปั่นป่วนนั้นกำเนิดคลื่นสูงเสียดฟ้าโหมซัดไปทั่ว
สดายุที่กำลังบินอยู่นั้นด้วยเป็นห่วงน้องสาวอย่างมากจึงไม่ทันได้สังเกตคลื่นขนาดมหึมา เขาเบี่ยงตัวหลบก่อนจะรีบบินอย่างรวดเร็วหากแต่ไม่ทันระวังจนทำให้ร่างของทั้งสุวรรณนเรศและตรัสวินเผลอหลุดจากอ้อมแขน
ผู้เป็นพี่ทำได้เพียงคว้าร่างของสุวรรณนเรศไว้เท่านั้นหากแต่สุวรรณนเรศที่เห็นว่าบัดนี้ร่างของตรัสวินกำลังร่วงหล่นลงสู่เบื้องล่างของคลื่นยักษ์จึงพยายามไขว่คว้าอย่างสุดกำลัง
สุดเอื้อมมือของสุวรรณนเรศกลับไขว่คว้าได้เพียงรัดเกล้าที่ศีรษะเขาเท่านั้น สดายุที่เห็นดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมากที่ร่างของตรัสวินกำลังร่วงหล่นลงไปยังคลื่นที่โหมกระหน่ำ
สุวรรณนเรศที่แม้จะได้สติกลับมาหากแต่ไม่อาจมีพลังพอจะคว้าร่างของตรัสวินเอาไว้ได้ นางทำได้เพียงมองร่างของเขาทอดกายลงสู้ห้วงมหานทีกว้างที่มืดดำและโหดร้ายแห่งนี้เท่านั้น เรี่ยวแรงที่มีทั้งหมดหลงเหลือไว้เพียงรักษาสิ่งของต่างหน้าชิ้นสุดท้ายที่อยู่ในมือของตน