มรดกมนตรา บทที่ 21 : เลือดบุรุษบนแท่นบูชา

มรดกมนตรา บทที่ 21 : เลือดบุรุษบนแท่นบูชา

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

ในเช้าวันที่ฝนตก รถยนต์หรูสีดำของอัคคีรัตน์เลี้ยวเข้ามาจอดบริเวณหน้าคฤหาสน์วารีมรกต สมิงดงในร่างคนขับลงมาเปิดประตูรถและกางร่มให้เธอ รวีและทิพย์ธิดาเดินออกมาต้อนรับเธอ

“สวัสดีค่ะคุณทิพย์ธิดา คุณรวี”

“สวัสดีครับ สวัสดีค่ะ” ทั้งสองกล่าวต้อนรับ “เชิญคุณอัคคีรัตน์ด้านนี้ครับ” ทั้งสองเดินนำทางไป

อัคคีรัตน์ค่อยๆ เดินผ่านเข้าไปในห้องโถง และเธอมองไปที่ภาพวาดขนาดใหญ่ของหม่อมเจ้าอดิศรและหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์ ด้วยแววตามีเลศนัยปนยิ้ม

“ที่นี่สวยจังเลยนะคะ” เธอค่อยๆ เดินผ่านทางเดินเข้าไปนั่งที่โซฟา

ทิพย์ธิดาพูดขึ้น “ที่นี่เป็นคฤหาสน์ของหม่อมเจ้าอดิศรและหม่อมเจ้าหญิงสวาทสุภาย์นะคะ และก็ตกทอดมาถึงดิฉันค่ะ”

ชายหนุ่มพูดเสริม “สมัยผมยังเด็กคุณพ่อคุณแม่เคยพาผมมาเที่ยวที่นี่ จนคุณพ่อคุณแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตน่ะครับ คุณลุงเลยรับอุปการะผมและส่งผมไปเรียนต่อที่อังกฤษ พอคุณลุงเสียผมก็ไม่ได้กลับมาที่นี่สักพักใหญ่ๆ เลย จนคุณทิพย์มาอยู่ที่นี่ละครับ” ทิพย์ธิดาหันมามองรวีด้วยแววตาห่วงใย

อัคคีรัตน์มองหน้ารวี “ดิฉันขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ คุณคงคิดถึงท่านมาก”

ชายหนุ่มยิ้มเล็กๆ “ใช่ครับ ว่าแต่วันนี้คุณอัคคีรัตน์มาหาพวกเราถึงที่นี่ มีเรื่องอะไรหรือครับ”

“ดิฉันสนใจคฤหาสน์วารีมรกตนะคะ ดิฉันอยากจะขอใช้สถานที่เพื่อจัดงานเครื่องเพชรการกุศล พอดีคุณหญิงช่อผกาเธออยากจะจัดงานร่วมกับดิฉันอีกครั้ง เรามองหาสถานที่หลายแห่งแต่ก็ยังไม่ถูกใจเท่าที่นี่น่ะค่ะ”

ทิพย์ธิดาพูดด้วยความสงสัย “แต่คุณอัคคีรัตน์เพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรกไม่ใช่หรือคะ”

อัคคีรัตน์หันมายิ้ม “พอดีคุณหญิงช่อผาเธอพูดถึงที่นี่อยู่บ่อยๆ น่ะค่ะ แล้วดิฉันเองก็อยากจะจัดงานย้อนยุคด้วย เลยคิดว่าที่นี่น่าจะเหมาะสมดีนะคะ และอีกอย่างที่นี้ก็ใหญ่โตสวยงาม มันควรจะมีงานรื่นเริงบ้างนะคะ”

ระหว่างที่ทั้งสามกำลังพูดคุยกัน เสียงรถยนต์ของโฉมสุรางค์ก็มาหยุดจอดบริเวณหน้าบ้าน

ทิพย์ธิดาหันไปมอง “นั่นใครมากัน บัวช่วยไปดูข้างนอกว่าใครมา”

โฉมสุรางค์มาพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ของเธอ

“สวัสดีค่ะคุณโฉมสุรางค์” บัวสวัสดีทักทาย

“เธอช่วยเอากระเป๋าฉันขึ้นไปเก็บไว้บนห้องทีนะ ฉันจะมาอยู่กับรวีที่นี่ และก็คงจะอยู่ยาว” โฉมสุรางค์เดินเข้ามาภายในห้องนั่งเล่นขณะที่ทั้งสามนั่งอยู่ “สวัสดีค่ะทุกคน” เธอทักทาย

“อุ๊ย! คุณอัคคีรัตน์มาที่นี่ด้วยหรือคะ มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ ฉันขอฟังด้วยคนได้ไหมคะ”

ทิพย์ธิดาหันไปพูดเสริมกับโฉมสุรางค์ “พอดีว่าคุณอัคคีรัตน์ เธอสนใจจะขอใช้คฤหาสน์จัดงานเครื่องเพชรการกุศลแบบย้อนยุคร่วมกับคุณหญิงช่อผกาน่ะค่ะ”

“ตายแล้ว คุณอัคคีรัตน์พูดจริงๆ หรือคะ ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลยค่ะ ฉันเห็นด้วยนะคะ” โฉมสุรางค์หันไปพูดกับชายหนุ่ม “รวีคะให้คุณอัคคีรัตน์จัดที่นี่เถอะค่ะ นะคะ โฉมเพิ่งจะเสียคุณแม่ไป ก็อยากจะหายเศร้าบ้าง ได้ออกงานกับคุณแค่นี้ก็โอเคละค่ะ นะคะคุณรวี”

ชายหนุ่มสีหน้าลังเลใจ “คุณโฉมครับ จริงๆ แล้วคนที่จะอนุญาตได้ต้องเป็นคุณทิพย์นะครับ เพราะเธอเป็นเจ้าของคฤหาสน์” เขาบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“เออ ฉันคิดว่า คือ…” ทิพย์ธิดาสังหรณ์ใจและรู้สึกลังเลใจ

อัคคีรัตน์พูดเสริม “ดิฉันว่าบางทีการได้จัดงานแบบนี้ที่นี่ ก็จะได้เป็นการเปิดตัวคุณทิพย์ธิดากับแขกที่มาร่วมงานไปเลยนะคะว่าคุณเป็นเจ้าของที่นี่ และดิฉันก็ยังคิดไว้ว่า งานเปิดตัวก็อยากให้คุณทิพย์ธิดาร่วมแสดงด้วยน่ะค่ะ”

ทิพย์ธิดาหันมามองอัคคีรัตน์ “ภายในงานมีการแสดงเปิดงานด้วยหรือคะ”

โฉมสุรางค์รู้สึกรำคาญใจเธอจึงเสนอตัวเอง “เอาอย่างนี้ไหมคะ ถ้าคุณทิพย์ไม่สะดวกจะเป็นดิฉันก็ไม่ติดอะไรนะคะ” เธอยิ้มเล็กยิ้มน้อย

อัคคีรัตน์มองเธออย่างมีเลศนัย “ยินดีค่ะคุณโฉม ถ้าคุณอยากจะร่วมแสดงด้วย เอาเป็นว่าสรุป งานเครื่องเพชรจะถูกจัดที่นี่นะคะ”

“ส่วนเรื่องการเตรียมงานยังไง ดิฉันจะส่งคนมาอีกทีหนึ่ง” รวีชำเลืองมองทิพย์ธิดาด้วยความเป็นห่วง

อัคคีรัตน์ลุกขึ้น “ถ้ายังไงแล้ว ดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ ไว้ดิฉันจะมาใหม่” ทั้งสามเดินตามหลังไปส่งเธอขึ้นรถที่หน้าบ้าน อัคคีรัตน์หันมาสบตากับรวีและทิพย์ธิดาเล็กน้อย

“ดิฉันขอขอบคุณนะคะ ดิฉันหวังว่าวันงานทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นนะคะ ดิฉันขอตัว” เธอค่อยๆ ก้าวขึ้นรถไป

รวีหันมาพูดกับโฉมสุรางค์ “วันนี้คุณโฉมมาถึงนี่มีอะไรหรือครับ”

โฉมสุรางค์เดินมาจับที่แขนรวี “ตั้งแต่คุณแม่เสียไปโฉมก็ไม่มีใคร โฉมเหงามากเลยนะคะ คุณเองก็ไม่มาอยู่กับโฉมเลย พอเสร็จงานก็กลับมาที่นี่อีก โฉมเลยคิดว่าโฉมจะตามมาอยู่กับคุณที่นี่ด้วยเลย ดีไหมคะรวี”

ทิพย์ธิดาหันไปมองทั้งสองคน “ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณทั้งสองตามสบายนะคะ ดิฉันขอตัว”

 

กลางดึก ทิพย์ธิดานั่งหวีผมอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งของเธอ และคิดถึงภาพระหว่างรวีกับโฉมสุรางค์ เธอรู้สึกสับสนกับความรู้สึกตัวเอง “ทำไมฉันถึงเอาแต่คิดถึงผู้ชายคนนี้ ไม่ได้ๆ เขามีคู่หมั้นอยู่แล้ว เธอจะคิดถึงเขาแบบนี้ไม่ได้นะทิพย์ธิดา” เธอพูดกับตัวเอง และเดินมาหยุดมองที่หน้าต่าง

หญิงสาวมองลงไปด้านล่าง ก็เห็นรวีออกมาเดินเล่นรับลมอยู่ด้านนอก ทั้งสองหันมามองสบตากันอย่างอ่อนโยน รวีส่งสายตาด้วยความรักและอ่อนโยนมาที่เธอ ทำให้ทิพย์ธิดารู้สึกเขินอาย เธอส่งยิ้มและเดินกลับขึ้นไปนอนบนเตียงของเธอ

“ฉันเป็นอะไรไป ทำไมต้องรู้สึกเขินกับเขาด้วย” เธอพูดกับตัวเอง

ค่ำคืนของวันพระจันทร์เต็มดวงมาถึง บรรยากาศท้องฟ้าเต็มไปด้วยหมอกบางๆ และแสงจันทร์ส่องสว่าง ท่ามกลางเสียงลมพัดเบาๆ ภายในเทวาลัยอัคนีนาฏเทวีกำลังเตรียมพิธีกรรมสังเวยเลือด ปักษาดำและสมิงดงได้รับคำสั่งให้จับตัวชายหนุ่มมา พวกเขาถูกล่ามโซ่ตรวนไว้ที่ขา ขณะที่เทวีหลับตาอยู่บนบัลลังก์หินในท่านั่งสมาธิเพื่อเตรียมตัวสำหรับการสังเวยเลือด

เสียงเห่าหอนของหมาป่าดังขึ้นราวกับเป็นสัญญาณเริ่มต้น พิธีกรรมถูกตกแต่งด้วยสัญลักษณ์โบราณและธงสีดำที่ปลิวไสว เจ้าหล่อนยังคงนั่งนิ่ง ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงพลังที่ค่อยๆ ไหลเข้ามาในกายเธอ

ปักษาดำและสมิงดงลากชายหนุ่มเข้ามาในเทวาลัยทีละคน พวกเขาถูกจับมัดอย่างแน่นหนาและถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าทวี ชายหนุ่มแต่ละคนดูหวาดกลัวและสับสน พวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เทวีลืมตาขึ้น แววตาของเธอเปล่งประกายความอาฆาตและความมืด เธอยกมือขึ้นและเริ่มท่องมนตร์โบราณ เสียงท่องมนตร์ของเธอเป็นภาษาโบราณที่ไม่คุ้นเคย แต่ก็เปี่ยมไปด้วยพลังอันรุนแรง

ขณะที่เธอท่องมนตร์ เสียงลมเริ่มแรงขึ้น และท้องฟ้าที่เคยสว่างส่องด้วยแสงจันทร์ก็เริ่มมืดมน เมฆดำเริ่มคลุมท้องฟ้า และบรรยากาศก็กลายเป็นเงียบงันราวกับจะมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น

หญิงสาวลุกขึ้นยืนและยกมือขึ้นไปทางชายหนุ่มที่ถูกล่ามโซ่ พลังที่มองไม่เห็นเริ่มเคลื่อนไหวรอบตัวเธอ เสียงหัวเราะของเธอดังขึ้นเบาๆ ราวกับเป็นเสียงของวิญญาณที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล

“คืนนี้เป็นคืนแห่งการสังเวย พลังของข้าจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าทวีคูณ” เทวีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและทรงพลัง ชายหนุ่มทุกคนได้ยินคำพูดนั้นและรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านเข้าสู่ร่างกาย พวกเขาไม่สามารถขยับตัวได้ และรู้ว่าพวกเขากำลังเผชิญกับสิ่งที่น่ากลัวและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

พิธีกรรมสังเวยเลือดได้เริ่มขึ้น เทวีใช้กริชแทงลงไปที่อกของชายหนุ่มคนหนึ่ง เลือดพุ่งออกมาและไหลลงสู่พื้นดินราวกับเป็นน้ำทิพย์ที่ถูกดูดซับโดยผืนดิน อัคนีนาฏเทวีหลับตาและเริ่มสัมผัสถึงพลังที่ไหลเข้ามาในร่างกายของเธอ เธอรู้ว่าทุกครั้งที่เธอทำพิธีกรรมนี้ พลังของเธอจะเพิ่มขึ้นและเธอจะเป็นอัคนีนาฏเทวีที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม

“พลังของข้าจะไม่มีวันสิ้นสุด ข้าจะครองอาณาจักรแห่งความมืดและความตาย” หล่อนพูดด้วยเสียงที่ดังก้องในเทวาลัย ปักษาดำและสมิงดงยังคงทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างเคร่งครัด พวกเขารู้ว่าพิธีกรรมนี้เป็นสิ่งสำคัญต่อเจ้านายของพวกเขา และพวกเขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้พิธีกรรมสำเร็จลุล่วง

เสียงท่องมนตร์ของเทวียังคงดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับเป็นเสียงที่ไม่มีที่สิ้นสุด ในคืนพระจันทร์เต็มดวงนี้ พลังของอัคนีนาฏเทวีจะยิ่งใหญ่และไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเธอได้

เมื่อพิธีสังเวยเลือดสิ้นสุดลง บรรยากาศในห้องพิธีเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ซากศพของชายหนุ่มที่ถูกสังเวยอยู่เกลื่อนกลาดบนพื้นดิน เลือดสีแดงเข้มที่ไหลออกมาจากพวกเขาเปรอะเปื้อนทั่วทั้งห้อง หญิงสาวค่อยๆ เดินกลับไปนั่งที่บัลลังก์หินของเธอ เธอรู้สึกถึงพลังที่เพิ่มขึ้นในตัวเธออย่างชัดเจน

ปักษาดำและสมิงดงเดินเข้ามานั่งคุกเข่าต่อหน้าเธอ พวกเขาทั้งสองเคารพและนอบน้อมต่อเจ้านายผู้มีพลังอำนาจเหนือธรรมชาติ หล่อนหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะของเธอเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและความพึงพอใจ

“เวลานี้พลังของข้าก็ได้เพิ่มมากขึ้น มันมากจนข้าสัมผัสได้ สมิงดงและปักษาดำ อีกไม่นานข้าจะแวะไปทักทายไอ้เจ้าดอกเตอร์อมรถึงที่ซะหน่อย” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ

ดวงตาของเทวีกลายเป็นเปลวไฟแห่งความตายที่ส่องแสงในความมืด “คราวนี้กริชอาคมของมันก็ไม่สามารถปกป้องมันได้อีกต่อไป” เธอพูดด้วยความเย้ยหยันและความโกรธแค้นที่สะสมอยู่ในใจ

ปักษาดำและสมิงดงรับฟังคำสั่งของเทวีด้วยความเคารพ พวกเขารู้ดีว่าเจ้านายของพวกเขามีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาพร้อมที่จะทำทุกอย่างตามคำสั่งของเธอเพื่อให้เธอได้สิ่งที่ต้องการ

อัคนีนาฏเทวีนั่งอยู่บนบัลลังก์ของเธอ แววตาของเธอส่องแสงเปลวไฟแห่งความมืด เธอรู้ว่าตอนนี้เธอมีพลังที่ไม่มีใครสามารถต้านทานได้ และเธอจะใช้พลังนี้เพื่อแก้แค้นและทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางของเธอ

 

ณ คฤหาสน์วารีมรกต โฉมสุรางค์ร่วมโต๊ะรับประทานอาหารเย็นกับรวีและทิพย์ธิดา บัวสาวรับใช้กำลังตักข้าวเสิร์ฟให้กับทั้งสามคนโดยมีบุษบายืนอยู่ไม่ไกล โฉมสุรางค์ชำเลืองมองอาหารบนโต๊ะ ซึ่งวันนี้มีแกงส้ม ปลาสลิดทอด ผัดผัก และน้ำพริกกะปิ เธอบ่นขึ้นมาด้วยท่าทางเบื่ออาหาร

“อะไรกัน คฤหาสน์ออกจะใหญ่โต วันๆ จะทานแต่เมนูอาหารไทยๆ แบบนี้ทุกวันหรือคะ โฉมเบื่อ อยากทานพวกอาหารฝรั่งบ้าง” เธอถอนหายใจและทำท่าทางหงุดหงิด

ทิพย์ธิดาเธอพูดเสริมว่า “เอาอย่างนี้ดีไหมคะ วันพรุ่งนี้ฉันจะให้ป้าแก้วเตรียมอาหารฝรั่งให้”

บัวหันมาพูดกับทิพย์ธิดาว่า “แต่ป้าแก้วทำอาหารฝรั่งไม่เป็นนะคะคุณทิพย์”

เธอหันไปพูดเสริมต่อ “ไม่เป็นไรบัว พรุ่งนี้ฉันจะไปช่วยสอนป้าแก้วในครัว”

รวีมองโฉมสุรางค์และถอนหายใจ บุษบาเดินออกมานอกห้อง เธอบ่นพึมพำเบาๆ “เรื่องมากนักนะนางโฉมสุรางค์”

ในขณะที่บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเงียบลงเพราะคำพูดของโฉมสุรางค์ ทิพย์ธิดาพยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศ “อย่าหงุดหงิดไปเลยค่ะคุณโฉม”

โฉมสุรางค์พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ “ก็หวังว่าพรุ่งนี้จะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้างนะคะ”

รวีมองทั้งสองคนและรู้สึกเป็นห่วง ทิพย์ธิดาหันมาทางเขาและยิ้มอย่างอบอุ่น “ไม่ต้องห่วงนะคะคุณรวี เรื่องแค่นี้เอง”

เมื่อเสร็จสิ้นการสนทนา ทั้งสามคนเริ่มรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน รวีพยายามหันเหความสนใจของโฉมสุรางค์ด้วยการเล่าเรื่องอื่นๆ แม้ว่าโฉมสุรางค์จะยังคงมีท่าทีเบื่อหน่าย แต่เธอก็พยายามรับฟังด้วยความสุภาพ

บุษบาที่ยืนมองพวกเขาจากมุมห้องด้วยความไม่พอใจ เธอคิดในใจว่า ‘นางโฉมสุรางค์เรื่องมากนักนะ คงต้องสั่งสอนอะไรบ้าง’

ค่ำคืนนี้ผ่านไปอย่างสงบ แต่ทุกคนต่างก็มีความกังวลใจในมุมของตนเอง ความไม่พอใจของโฉมสุรางค์ ความเป็นห่วงของรวี และแผนการในใจของบุษบา

ในขณะที่ทุกคนภายในคฤหาสน์กำลังหลับอยู่ วิญญาณของหม่อมเจ้าอดิศรก็ปรากฏขึ้นภายในห้องนอนของรวี เสียงที่เรียกชื่อเขาอย่างแผ่วเบาค่อยๆ ทำให้เขาลืมตาขึ้น

“รวี…หลานชาย…”

เขามองเห็นร่างของหม่อมเจ้าอดิศรในแสงสีขาว ส่องสว่างท่ามกลางความมืด

“ท่านลุง!” ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยความตกใจและประหลาดใจ

หม่อมเจ้าอดิศรยิ้มเบาๆ “เจ้าไม่ต้องกลัวไป ลุงมาเพื่อที่จะบอกเจ้าว่า จงปกป้องทิพย์ธิดาให้ดีที่สุดนะ เธอจะเป็นคนทำให้เรื่องราวทุกอย่างเปลี่ยนแปลง”

รวีฟังคำของหม่อมเจ้าอดิศรด้วยความตื่นตระหนก “เปลี่ยนแปลงยังไงหรือครับท่านลุง”

หม่อมเจ้าอดิศรมองรวีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเมตตา “เธอทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันมาตั้งแต่ในอดีตชาติ และมีภาระสำคัญที่จะต้องปลดเปลื้องเรื่องราวในอดีตทั้งหมดให้จบสิ้น”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำ “ผมจะทำตามที่ท่านลุงบอกครับ ผมจะปกป้องทิพย์ธิดาให้ดีที่สุด”

หม่อมเจ้าอดิศรยิ้มอย่างพึงพอใจ “ลุงเชื่อในตัวเจ้า อย่าลืมว่าเจ้ามีหน้าที่สำคัญที่จะต้องทำ”

ทันใดนั้น ร่างของหม่อมเจ้าอดิศรก็ค่อยๆ จางหายไปในแสงสว่าง รวีนั่งอยู่บนเตียง รู้สึกถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นในใจ เขารู้ว่าเขาต้องทำทุกอย่างเพื่อปกป้องทิพย์ธิดาและแก้ไขปริศนาที่คฤหาสน์วารีมรกต

 



Don`t copy text!