มรดกมนตรา บทที่ 7 : จอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์

มรดกมนตรา บทที่ 7 : จอมเวทย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์

โดย : วัชรนริศ

Loading

มรดกมนตรา ผลงานของ วัชรนริศ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับเรื่องราวของนักวิจัยสาวผู้ไม่เชื่อในสิ่งลี้ลับที่ได้รับคฤหาสน์โบราณกลางป่ากาญจนบุรีเป็นมรดกจากญาติที่ไม่เคยรู้จัก ทว่าคฤหาสน์หลังนี้กลับซ่อนคำสาป วิญญาณ และอดีตอันมืดมนที่รอการปลุกตื่น พร้อมการฟื้นคืนของ “อัคนีนาฏเทวี” อสูรสาวในตำนาน

นางสายใจรับคัมภีร์จากมือของพ่อด้วยความตั้งใจ เธอรู้ว่าตนเองไม่มีทางกลับมาเป็นคนเดิมได้อีก แต่ความแค้นที่ฝังลึกในใจทำให้เธอพร้อมที่จะทำทุกอย่าง

“พ่อ ฉันจะทำตามที่พ่อบอก ฉันจะไปที่เทวาลัยและปลดปล่อยอัคนีนาฏเทวีออกมา”

ไอ้เวทย์พยักหน้าด้วยความหนักใจ

“เอ็งจงระวังตัวให้ดีนะสายใจ การปลดปล่อยอัคนีนาฏเทวีไม่ใช่เรื่องง่าย มันต้องการทั้งความตั้งใจและความอาฆาตอย่างแรงกล้า ขอให้เอ็งปลอดภัยและสำเร็จในสิ่งที่เอ็งต้องการ”

นางสายใจออกเดินทางไปยังเทวาลัยกลางป่า ด้วยความมุ่งมั่นและแรงอาฆาต เธอถือคัมภีร์พระเวทมนตราไว้ในมือ รู้ว่าชะตากรรมของเธอกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อลมหนาวพัดผ่านกลางป่า ความเงียบสงัดก็ดูเหมือนจะก้องกังวานด้วยเสียงแห่งความแค้นและความหวังในการแก้แค้นที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ทางการได้ทราบข่าวจากชาวบ้านที่หาของป่าว่า ไอ้เวทย์และนางสายใจได้มาอยู่ที่กระท่อมกลางป่า หม่อมเจ้าอดิศรกำลังว่าราชการอยู่เมื่อทราบข่าวจากทางการว่าพบเบาะแสของไอ้เวทย์และนางสายใจแล้ว ท่านชายอดิศรรู้ทันทีว่าถ้าหากตามไปจับเฉยๆ อาจจะไม่สามารถจับมาได้แน่เพราะไอ้เวทย์มีวิชา

ทันใดนั้นเอง เลขาฯ ของท่านมาเคาะประตูห้องและแจ้งว่า “มีชายคนหนึ่งมาขอพบท่านครับ บอกว่ามีเรื่องสำคัญ”

หม่อมเจ้าอดิศรรู้สึกสงสัย “เชิญให้เขาเข้ามา”

บุรุษวัยกลางคนปรากฏตัวด้วยลักษณะที่สะท้อนความเป็นพราหมณ์ผู้ทรงวิชาและมีบารมีเหนือธรรมชาติ การแต่งกายของเขานั้นงดงามและเต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์ มีความน่าเกรงขามที่บ่งบอกถึงความเชี่ยวชาญในอาคมและการป้องกันภัยจากพลังแห่งอสูรร้าย

เขาสวมผ้าโจงกระเบนสีขาวบริสุทธิ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีต ปักลายด้วยไหมสีทองเป็นรูปของยันต์และอักขระโบราณที่แฝงพลังศักดิ์สิทธิ์ลึกลับ ลวดลายเหล่านี้เปรียบเสมือนยันต์ป้องกันภัยจากสิ่งชั่วร้ายที่มองไม่เห็น นอกจากนี้ ผ้าโจงกระเบนถูกผูกแน่นที่เอวด้วย บริเวณเอวของเขามีเข็มขัดทองคำโบราณ ที่ประดับด้วยอัญมณีสีเหลืองอำพันส่องประกายราวกับดวงตาของเทพเจ้า ปลายเข็มขัดห้อยด้วยพู่ไหมสีทองที่แกะสลักเป็นรูปเสือและนาคอันทรงพลัง สื่อถึงการปกป้องและการต่อสู้กับอำนาจมืด

เสื้อผ้าชั้นนอก เป็นเสื้อแขนสั้นที่ทำจากผ้าลินินสีขาวแบบพราหมณ์ บนเสื้อตรงกลางหน้าอกมีป้ายผ้าทอทองคำ ประดับด้วยลวดลายของเทพเจ้าฮินดูที่เกี่ยวข้องกับการปกป้องและบรรเทาทุกข์ ผู้สวมเสื้อนี้มักถูกมองว่าเป็นผู้ที่มีพลังในการควบคุมและใช้อาคมเพื่อประโยชน์ของผู้อื่น

ชายหนุ่มยังสวมผ้าคลุมไหล่ ซึ่งทำจากไหมละเอียดสีเหลืองทอง ผ้าคลุมนี้พาดอยู่ที่ไหล่ซ้ายของเขาและห้อยลงมาด้านข้างอย่างงดงาม ผ้าคลุมนี้ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องแต่งกายเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจแห่งเวทมนตร์ที่เขาถือครอง มันเป็นสิ่งที่ส่งผ่านพลังให้กับผู้สวมใส่ เขาสวมเครื่องประดับเป็นสร้อยคอทำจากลูกปัดหยกสีเขียวเข้ม ซึ่งแขวนอยู่ที่คอและห้อยลงมาถึงกลางหน้าอก ลูกปัดเหล่านี้เชื่อว่าเป็นเครื่องรางที่สามารถสะกดพลังชั่วร้ายและเสริมพลังให้กับผู้สวมใส่ บนข้อมือทั้งสองข้างของเขามี กำไลเงินที่แกะสลักลวดลายแบบโบราณ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงและความบริสุทธิ์

อกาสูรเกล้าผมสูงตามแบบพราหมณ์ ผมของเขาถูกมัดขึ้นอย่างประณีตและแน่นหนา เป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งการควบคุมและปกป้อง ผมเกล้าของเขาทำให้เขาดูเป็นนักบวชที่มีความรู้ลึกซึ้งในวิชาอาคม และเชื่อมโยงกับพลังธรรมชาติและเทพเจ้า

ท่าทางของอกาสูรสง่างามและมั่นคง เมื่อเขาก้าวเดินเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ ทุกก้าวของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและความสุขุม การเคลื่อนไหวของเขาเนิบนาบแต่เปี่ยมด้วยพลัง ซึ่งทำให้ทุกคนที่พบเห็นรู้สึกถึงความปลอดภัย แต่ก็แฝงด้วยความหวาดกลัวต่อพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา น้ำเสียงที่เปล่งออกมาอ่อนโยนแต่หนักแน่น สะท้อนถึงความเป็นผู้มีปัญญาและอำนาจเหนือธรรมชาติ

“สวัสดีครับท่านชาย กระผมมีนามว่า อกาสูร ท่านชายและครอบครัวกำลังตกอยู่ในอันตราย มันถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องมาช่วยท่าน เพราะอีกไม่นานอสูรร้ายจะถูกปลุกขึ้น”

หม่อมเจ้าอดิศรมองด้วยความสงสัย “ขอบใจท่านมาก อกาสูร ท่านคงเป็นผู้มีวิชาอาคม และตอนนี้ฉันกำลังตามหานางสายใจกับไอ้เวทย์อยู่ ทั้งสองเป็นคนมีวิชาอาคม ถ้าหากท่านมาช่วยเรา เราจะตอบแทนท่านอย่างที่สุด และวันพรุ่งนี้ ทางการจะตามไปจับตัวสองพ่อลูกนั้น ฉันขอให้ท่านไปกับพวกเขาด้วย เพราะฉันรู้ว่าท่านต้องช่วยได้”

อกาสูรมองด้วยความอ่อนโยนและยิ้ม “กระผมยินดีที่จะช่วยเหลือท่านชาย และจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ท่านและครอบครัวปลอดภัยครับ”

วันรุ่งขึ้น อกาสูรและทางการได้เดินทางบุกเข้าไปในป่าเพื่อตามหากระท่อมของไอ้เวทย์ จนในที่สุดก็พบกระท่อมที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิด ไอ้เวทย์นั่งสมาธิอยู่ในกระท่อมและรับรู้ถึงการมาของอกาสูร จึงร่ายเวทมนตร์ให้หมอกควันปกคลุมกระท่อม และเรียกวิญญาณของภูตผีแห่งป่าออกมาเพื่อขัดขวางผู้บุกรุก

ทางการที่กำลังตามหากระท่อมก็ต่างตกใจ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมในป่านี้ถึงมีหมอกลงจัดแบบนี้”

ไม่นาน ก็มีเสียงของปีศาจร้องโหยหวนท่ามกลางหมอกควันรอบๆ อกาสูรรู้ดีว่าไอ้เวทย์ได้ใช้คาถาอาคมเพื่อขัดขวางพวกเขา

อกาสูรยืนสงบนิ่งและหลับตาพร้อมทั้งสวดบทพระเวทมนตรา เป่าไปที่กลางอากาศ เกิดประกายแสงสีขาวสว่างกระจายตัวออกไปเป็นวงกว้าง หมอกควันและเสียงวิญญาณปีศาจร้ายทั้งหลายก็ลอยหายไปราวกับถูกปัดเป่า ไอ้เวทย์รู้ดีว่าไม่สามารถจะต้านทานพลังอาคมของอกาสูรได้ จึงพยายามหลบหนี

เมื่อทางการและอกาสูรมาถึงกระท่อม และพยายามจะเข้าไป ทางการตะโกนเสียงดังขึ้นว่า

“ไอ้เวทย์! ออกมามอบตัวเดี๋ยวนี้ พวกเราล้อมไว้หมดแล้ว อย่าพยายามต่อสู้อีกเลย!”

ไอ้เวทย์ได้ยินจึงร่ายคาถาอาคมอีกครั้ง จำแลงกายเป็นเสือดำ กระโดดพุ่งออกมาจากกระท่อมและพยายามวิ่งหนี อกาสูรตกใจและบอกให้ทางการหยุด

“ไม่ต้องตามไป เดี๋ยวฉันจะตามไปเอง”

อกาสูรได้วิ่งตามไอ้เวทย์ไปจนพบตัว และได้ท่องพระเวทมนตรา ทันใดนั้น ก็มีวงแหวนเปลวไฟลุกโชนขึ้นมาล้อมตัวไอ้เวทย์ในร่างเสือดำไว้ ไอ้เวทย์ในร่างเสือดำร้องคำรามด้วยความทุกข์ทรมาน อกาสูรได้นำกริชโบราณออกมาวางไว้ที่ฝ่ามือ ยื่นแขนออกไปและท่องพระเวทอีกครั้ง กริชนั้นลอยพุ่งออกไปด้วยความเร็ว พุ่งใส่ไอ้เวทย์ในร่างเสือดำที่ถูกวงแหวนไฟล้อมไว้ และไอ้เวทย์ก็ขาดใจตายโดยทันที

เปลวเพลิงหยุดหายไป เหลือเพียงแต่ร่างเสือดำที่ตอนนี้กลับคืนมาเป็นร่างไอ้เวทย์ นางสายใจนั่งสมาธิภาวนาคาถาอยู่ในเทวาลัยและนิมิตเห็นไอ้เวทย์ผู้เป็นพ่อถูกฆ่าตายโดยอกาสูร นางร้องอุทานด้วยความตกใจและเสียใจ

“พ่อ! ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ พวกเจ้าจะต้องตายอย่างทรมาน!”

เมื่ออกาสูรได้ปราบไอ้เวทย์หมอผีผู้มีอาคมได้สำเร็จ เขาจึงกลับไปส่งข่าวให้หม่อมเจ้าอดิศรทราบโดยทันที

“ท่านชายครับ ตอนนี้ไอ้เวทย์หมอผีได้ถูกฆ่าปราบลงแล้ว เหลือแต่เพียงนางสายใจที่ยังหลบหนีอยู่ และกระผมรู้สึกสังหรณ์ใจว่านางสายใจจะต้องกลับมาแก้แค้นให้พ่อของมันแน่นอน ระหว่างนี้กระผมจะช่วยทางการตามหาตัวนางสายใจให้ก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรที่ร้ายแรงขึ้นไปกว่านี้ กระผมเชื่อว่านางสายใจอาจจะยังหลบหนีไปได้ไม่ไกลมากนัก ขอให้ท่านชายทรงระมัดระวังตัวด้วย”

หม่อมเจ้าอดิศรฟังด้วยความเครียดและกล่าวขอบคุณอกาสูร “ขอบใจท่านมาก อกาสูร เราจะต้องเตรียมตัวรับมือกับนางสายใจอย่างดีที่สุด”

 

ในค่ำคืนต่อมา นางสายใจนั่งสมาธิอยู่ในเทวาลัยโบราณกลางป่าลึก ภายในถ้ำมีเทวรูปเทวีมนตราอยู่ และรายล้อมไปด้วยแสงเทียน คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์ทรงกลด นางสายใจได้มองไปที่เทวรูปด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“ข้า…นางสายใจ ขอสาบานต่ออัคนีนาฏเทวีว่า ข้าจะขอเป็นผู้รับใช้เทวีมนตราแต่เพียงผู้เดียว ขอแค่ให้ข้าได้แก้แค้นพวกตระกูลวารีมรกต และไอ้คนที่ฆ่าพ่อของข้า ไม่ว่าเทวีมนตราต้องการสิ่งใด ข้าจะยินดีทำทุกอย่าง”

ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงหัวเราะของหญิงสาวดังกังวานไปทั่วทั้งภายในเทวาลัย มีแสงสีแดงส่องประกายออกมาจากดวงตาของเทวรูปเทวีมนตรา

“ถ้าหากเจ้าปลดปล่อยข้าและบริวารของข้า เจ้าจะได้ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการ สายใจ ในอีกสามวันข้างหน้าจะเป็นคืนเดือนมืด เจ้าจงนำเลือดของชายหนุ่มมาสังเวยแด่เทวรูปนี้ และจงท่องมนตราในคัมภีร์เล่มนั้น และข้าจะกลับมาอีกครั้ง”

นางสายใจยิ้มด้วยความหวังและคิดวางแผนที่จะออกไปนำเลือดของชายหนุ่มมาสังเวยแด่องค์เทวี ความเคียดแค้นและความตั้งใจทำให้เธอไม่ลังเลแม้แต่น้อย

ในเวลาเดียวกัน อกาสูรได้พยายามเตรียมพร้อมและคอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวของนางสายใจ เขารู้ว่าความอาฆาตของนางจะนำมาซึ่งความหายนะถ้าไม่จัดการให้ทันการณ์

คืนเดือนมืดมาถึง นางสายใจได้ออกไปสู่หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากป่า ด้วยความเจ้าเล่ห์ เธอเลือกเหยื่อของเธออย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ใครสังเกตได้ เธอเตรียมพร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เลือดสังเวยในคืนเดือนมืด ตามที่องค์เทวีมนตราต้องการและได้พบกับเหยื่อชายหนุ่มของเธอที่กำลังนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน

เธอปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชายหนุ่มและใช้วิชาอาคมสะกดให้ชายหนุ่มเดินตามเธอไปจนถึงเทวาลัย เมื่อถึงภายในปราสาท ชายหนุ่มยังคงถูกสะกดอยู่และไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะถูกสังเวยในไม่ช้านี้ นางสายใจสั่งให้ชายหนุ่มนั่งคุกเข่าต่อหน้าเทวรูปเทวีมนตรา และเธอมองออกไปบนท้องฟ้าเหนือนอกปราสาท “ในที่สุดก็ถึงเวลาแห่งการสังเวยแด่องค์เทวี”

นางสายใจหยิบมีดออกมาและปาดคอชายหนุ่มจนเลือดกระเด็นไปถูกเทวรูป ร่างของชายหนุ่มล้มลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ใกล้ๆกับเทวรูปโดยที่เลือดยังไหลรินไปทั่วพื้น นางสายใจหยิบคัมภีร์โบราณและอ่านมนตรา

“ด้วยพลังอาถรรพ์แห่งคืนเดือนมืดนี้ ข้าขอสังเวยเลือดแด่เทวีมนตรา นามว่า อัคนีนาฏเทวี จงตื่นขึ้นมาเถิด”

เมื่อนางสายใจอ่านมนตราและพูดจบก็เกิดพายุลมแรง มีเมฆก่อตัวจนทุกสิ่งมืดมิด และท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับเลือด วิญญาณในป่าเขาต่างร้องโหยหวนราวกับเป็นการต้อนรับการกลับมาของนายหญิงผู้เป็นเทวีแห่งมนตรา ทันใดนั้นก็ปรากฏควันสีดำโพยพุ่งออกมาจากเทวรูป และเริ่มจับตัวกันเป็นรูปร่างของหญิงสาวในชุดโบราณ

“บัดนี้ข้าได้กลับมาแล้ว ข้ารอคอยเวลานี้มานานแสนนานเหลือเกิน”

ตอนนี้ร่างของหญิงสาวก็เด่นชัดขึ้น อัคนีนาฏเทวีได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว เธอยิ้มด้วยความพอใจและมองไปที่นางสายใจด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอำนาจ

“เจ้าทำได้ดีมาก สายใจ ตอนนี้เจ้าจะได้รับพลังที่ข้าสัญญาไว้ และเจ้าจะได้แก้แค้นในสิ่งที่เจ้าต้องการ”

อัคนีนาฏเทวียื่นมือออกไปและสัมผัสศีรษะของนางสายใจ พลังแห่งมนตราและอาคมถูกส่งผ่านจากเทวีไปสู่นางสายใจ ทันใดนั้นนางสายใจรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่ไหลเข้าสู่ร่างกายของเธอ แสงสีแดงและพลังเวทมนตร์ล้อมรอบตัวเธอทำให้เธอรู้สึกถึงความแข็งแกร่งและอำนาจที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“จงไปทำตามที่เจ้าต้องการเถิด สายใจ ข้าจะคอยดูแลเจ้าอยู่เสมอ” นางสายใจยิ้มด้วยความมั่นใจและความตั้งใจแน่วแน่ว่าเธอจะได้แก้แค้นให้พ่อของเธอ และทำให้ตระกูลวารีมรกตและอกาสูรต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกเขาได้ทำลงไป

เรื่องราวของการแก้แค้นและพลังอาคมเริ่มต้นขึ้นแล้ว นางสายใจได้กลายเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจมากมายที่จะทำลายศัตรูของเธอ และเธอจะไม่หยุดจนกว่าจะได้เห็นพวกเขาต้องทรมานและล้มลงต่อหน้าเธอ

อัคนีนาฏเทวีได้กลับมาสู่เทวาลัยโบราณของเธอที่อยู่กลางป่าลึก เธอเดินขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์ของเธอ และได้ปลุกวิญญาณของปักษาดำและสมิงดง

“ปักษาดำและสมิงดง จงตื่นขึ้น!”

เมื่อนั้นปรากฏร่างของชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งคุกเข่าต่อหน้าเทวี ปักษาดำมองไปที่อัคนีนาฏเทวีด้วยสายตายินดี

“ท่าน! ท่านกลับมาแล้ว พวกเรารอคอยท่านมานานเหลือเกิน”

เทวีหัวเราะ “ใช่ ข้ากลับมาแล้ว เทวาลัยของข้าจะกลับมาดื่มเลือดอีกครั้ง”

ทันใดนั้น ภายในห้องเทวาลัยที่รกร้างก็กลายสภาพกลับมาราวกับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เปลวไฟภายในห้องลุกโชนขึ้น สระน้ำภายในเทวาลัยก็เติมเต็มสระอีกครั้ง สีของน้ำราวกับเลือดที่ไหลอยู่ในสระ

“ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรจองจำข้าได้อีก พวกตระกูลทุรวาสาจะต้องจบสิ้น”

ปักษาดำและสมิงดงพยักหน้าเข้าใจคำสั่งของเทวี พวกเขาพร้อมที่จะทำตามคำสั่งทุกอย่างที่เธอสั่ง ท่ามกลางเปลวไฟที่ส่องสว่างและสระน้ำที่เป็นเลือด วิญญาณแห่งปักษาดำและสมิงดงเริ่มคึกคักและพร้อมจะปฏิบัติหน้าที่

ทั้งสองพยักหน้ารับคำสั่งและหายตัวไปในพริบตา อัคนีนาฏเทวีนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสง่างาม สายตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและความมั่นใจ เธอรู้ดีว่าครั้งนี้เธอจะไม่ล้มเหลว

“ข้าจะสร้างความหวาดกลัวและทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางข้า พวกตระกูลทุรวาสาจะต้องชดใช้ในสิ่งที่พวกมันทำกับข้าและบริวารของข้า”

เสียงหัวเราะของเทวีดังก้องไปทั่วทั้งเทวาลัย ความมืดและความอาถรรพณ์ของเธอได้กลับมาอีกครั้ง พลังแห่งความเคียดแค้นและความมืดมนจะทำให้เธอไม่หยุดยั้งจนกว่าจะได้แก้แค้นสำเร็จ

 

อกาสูรกลับมาที่บ้านของเขาและเดินเข้าไปภายในห้องทำพิธี ด้านในมีเทวรูปโบราณที่ถูกบูชาตั้งเรียงรายกันอยู่มากมาย มีพานถวายดอกไม้หอมและเทียนที่ถูกจุดอยู่ นอกจากนั้น มีกล่องไม้โบราณสลักด้วยภาษาโบราณ ใกล้ๆ กันมีพระขรรค์โบราณตั้งอยู่ อกาสูรนั่งลงหลับตาและเริ่มสวดภาวนา เมื่อนั้นปรากฏดวงวิญญาณของบรรพบุรุษขึ้นยืนอยู่ตรงหน้า

“อกาสูร พวกเราตระกูลทุรวาสา เคยสาบานตนว่าจะคอยดูแลและผนึกเจ้าอสุรกายนี้ไว้ตลอดกาล แต่ในเวลานี้มันถูกปลดปล่อยออกมาแล้วอีกครั้ง มันคงถึงเวลาแล้วที่เจ้าจะต้องผนึกมัน หากว่านี่คือโชคชะตา ก็ขอให้เจ้าทำมันได้สำเร็จ”

วิญญาณของบรรพบุรุษก็สว่างหายไปต่อหน้า อกาสูรมองไปที่กล่องไม้โบราณและรู้ดีว่าการผนึกอสูรในครั้งนี้เขาอาจจะต้องแลกด้วยชีวิต แต่นั่นคือหน้าที่ของตระกูลทุรวาสา

อกาสูรเปิดกล่องไม้โบราณอย่างระมัดระวัง ภายในมีคัมภีร์โบราณที่ถูกเขียนด้วยหมึกสีทองที่มีอักขระศักดิ์สิทธิ์แกะสลักอยู่ เขาหยิบคัมภีร์ขึ้นมาอ่านบทสวดภาวนาที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด แสงจากเทียนที่จุดอยู่รอบๆ ส่องสว่างขึ้นราวกับจะตอบรับการอัญเชิญของเขา

“ข้าอกาสูรขออธิษฐานต่อเทพเจ้าและบรรพบุรุษของข้า จงมอบพลังและความกล้าให้ข้า เพื่อข้าจะสามารถทำหน้าที่นี้ได้สำเร็จทีเถิด”

ทันใดนั้นเองพระขรรค์ที่ถูกตั้งบูชาใกล้ๆ กันเริ่มส่องแสงสว่างแรงขึ้นและลอยขึ้นไปในอากาศ อกาสูรหยิบพระขรรค์โบราณขึ้นมาและสวดภาวนาอีกครั้ง เขาเตรียมพร้อมที่จะใช้พลังทั้งหมดของเขาเพื่อผนึกอัคนีนาฏเทวี และบริวารของเธอ

“แม้ว่าข้าจะต้องแลกด้วยชีวิต ข้าจะทำมัน เพื่อความสงบสุขของทุกคน”

แสงสว่างจากพระขรรค์และเทียนภายในห้องรวมตัวกันกลายเป็นลำแสงที่ส่องสว่างทั่วทั้งห้อง อกาสูรทรงพลังด้วยความมุ่งมั่นและความกล้าที่จะทำหน้าที่ของเขา เขารู้ว่าครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก แต่เขาพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสิ่งเพื่อปกป้องตระกูลและผู้คนที่เขารัก

 



Don`t copy text!