บ่วงวงกต บทที่ 8 : ความไม่ลงรอย

บ่วงวงกต บทที่ 8 : ความไม่ลงรอย

โดย : Cirrus Halo

Loading

“บ่วงวงกต” นิยายสยองขวัญลึกลับ โดย Cirrus Halo เรื่องราวกลุ่มเพื่อนที่เดินทางสู่จังหวัดเลยเพื่อเที่ยวงานผีตาโขน แต่กลับติดอยู่ในรีสอร์ทปริศนาและต้องเผชิญเหตุฆาตกรรมสุดหลอน อ่านได้ที่ อ่านเอา

สิริหยุดพูดเมื่อเห็นตรีสิทธิ์กับธนันต์เดินกลับมาที่โต๊ะ เมนูกาแฟที่สั่งยังคงเหมือนกันกับครั้งแรกที่พวกเขาพบกัน แต่ที่เพิ่มเข้ามาในมือของตรีสิทธิ์คือเค้กมะพร้าวสีขาวนวลโรยหน้าด้วยเนื้อมะพร้าวฝานเป็นเส้นบางกับเค้กส้มที่มีชั้นเจลใสเคลือบอยู่บนหน้าเค้ก เขาวางถาดเค้กลงบนโต๊ะ

“ผมเห็นสองรสชาตินี้น่าจะอร่อยที่สุด ไม่รู้ว่าถูกใจพวกคุณมั้ย”

“คุณชอบทานของหวานหรือคะ” จุรีถามตรีสิทธิ์ เขารับรู้ว่าเธอเลิกหมกมุ่นอยู่กับเรื่องในใจได้บ้างแล้ว จึงกล่าวตอบ

“ผมคิดว่านานๆ ทีมาเที่ยว ก็ควรจะลองชิมรสชาติของถิ่นนั้นๆ ดู เพราะมันไม่เหมือนกับร้านที่เคยทานแถวๆ บ้านน่ะ” เขาตอบเขินๆ “แต่ถ้าถามว่าชอบของหวานมั้ย ผมชอบรสชาติออกเค็มๆ หวานๆ มากกว่า แล้วคุณล่ะครับ”

จุรีนิ่งเหมือนใช้ความคิดแล้วจึงกล่าวกับเขา “ของฉันขอแค่เป็นรสชาติที่ได้ทานในเวลาเครียดๆ ถ้ามันช่วยให้หายเครียดได้ ฉันก็จะจำรสชาตินั้นติดปากเลยละค่ะ”

“เช่นอะไรบ้าง พอบอกได้มั้ย”

“อย่างกาแฟดำหวานน้อย ช็อกโกแลตบาร์ แล้วก็มะพร้าวแก้วเมื่อวานนี้”

“ดีใจที่คุณชอบนะ”

สิริกับธนันต์เริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศหวานๆ ที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวจุรีกับตรีสิทธิ์ พวกเขาจึงค่อยๆ ปลีกตัวออกไปเดินเล่นกันสองคน สิริเดินไปเปิดโทรศัพท์ไปก็พบว่าสัญญาณโทรศัพท์ยังใช้การได้อยู่ จึงหันไปบอกธนันต์ด้วยรอยยิ้ม

“แปลว่าโทรศัพท์ฉันไม่เสีย และไม่ได้ถูกผีหลอกสินะ”

“ไม่ใช่ผีหรอก อย่างน้อยฉันก็แน่ใจว่าคนเดินตลาดทั้งหมดในที่นี้เป็นคน”

“รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยที่ได้ออกมาสูดอากาศนอกรีสอร์ตพิลึกนั่น อยู่ที่นั่นอึดอัดสุดๆ”

“ก็นะ ตั้งแต่มาที่นี่ ฉันเพิ่งได้เห็นรอยยิ้มของเธอนี่แหละ”

สิริชะงักเริ่มรู้ตัวแล้วว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การมาเที่ยวผ่อนคลายครั้งนี้หมดสนุก เธอกล่าวเสียงแผ่ว

“ขอโทษที มีแต่เรื่องไม่สบายใจเยอะแยะไปหมด”

“ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ ถ้าเธอจะเล่าให้ฟังบ้าง”

สิริยิ้มกว้างก่อนที่เงาร่างหนึ่งจะเดินผ่านหน้าของเธอไป เธอหุบยิ้มในทันทีพลางชี้ไปตรงจุดที่ชายปริศนาเดินผ่าน

“เมื่อกี้นายเห็นเหมือนฉันมั้ย”

“เห็นอะไร”

“ผู้ชายที่เดินตัดหน้ารถของฉันไง”

สิริกล่าวพร้อมกับวิ่งตามชายปริศนาคนนั้นไปด้วย ธนันต์มองเธออย่างแปลกใจก่อนจะวิ่งตามเธอไปเพราะกลัวเธอจะมีอันตราย

สิริหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นว่าเงาของชายปริศนาหายไป เธอหันมองรอบตัวจึงเห็นว่าตนเองกำลังยืนอยู่บริเวณทางเดินริมคลองซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของหมู่บ้าน บ้านเรือนในพื้นที่นี้คงเป็นเขตที่อยู่อาศัยเพราะปิดเงียบแตกต่างกับพื้นที่ตลาดอีกฝั่งหนึ่งโดยสิ้นเชิง มันทั้งเงียบเหงาและวังเวง

“เธอเป็นอะไร ทำไมถึงวิ่งมาทางนี้” เสียงของธนันต์ทำลายความเงียบนั้น เขาคว้ามือสิริทำให้เธอหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขา สีหน้าของเธอซีดเผือดทำให้เขาเรียกเธอเสียงดัง “ตั้งสติหน่อย สิริ”

สิริย่นคิ้วก่อนจะถามอีกฝ่ายทั้งที่ยังอยู่ในภวังค์ความคิด “นายเห็นผู้ชายแต่งตัวมอมแมมคนนั้นมั้ย คนเดียวกับที่เดินตัดหน้ารถฉัน”

“ใครล่ะ ตอนเธอขับรถชน ฉันก็เห็นแต่รถเธอ ไม่เห็นมีใครเลย”

“ฉันหักหลบผู้ชายคนนั้น นายมองไม่เห็นจริงๆ หรือ”

“ฉันว่าเธอตาฝาดแล้ว” ธนันต์แย้งขึ้นก่อนจะนึกเอะใจ “ผู้ชายแต่งตัวมอมแมมงั้นหรือ”

ตรีสิทธิ์กับจุรีเดินออกจากร้านกาแฟเมื่อไม่เห็นวี่แววว่าสิริกับธนันต์จะกลับมาเสียที พวกเขาเดินฝ่าฝูงชนพลางหันมองซ้ายขวาเพื่อตามหาเพื่อน จนกระทั่งมาหยุดลงที่ลานจอดรถ ตรีสิทธิ์สังเกตเห็นว่ารถสองแถวของดำรงที่พวกเขาโดยสารมาหายไปแล้ว จุรีเหลือบมองนาฬิกาข้อมือก่อนกล่าวขึ้นอย่างใจเย็น

“นี่เพิ่งจะหนึ่งทุ่ม คุณดำรงคงจะออกไปธุระมั้ง”

“หวังว่าเขาจะกลับมาทันสองทุ่มนะ”

จุรีรู้สึกถึงความเงียบงันที่ไม่น่าคุ้นเคยเอาเสียเลย เธอเพิ่งสังเกตเมื่อไม่ได้อยู่ท่ามกลางผู้คน บรรยากาศรอบตัวของตรีสิทธิ์เย็นเยียบจนน่าขนลุกเมื่อเขามองเหม่อไปยังจุดที่ไม่มีคนอยู่บ่อยๆ เธอรีบชวนเขากลับเข้าไปในตลาด

ตรีสิทธิ์ไม่ได้เดินตามเธอ เขาเพียงยืนนิ่งอยู่แบบนั้นทำให้จุรีต้องหันไปตะโกนเรียกเขาซ้ำอีกครั้ง

“เรารีบกลับเข้าไปในตลาดกันเถอะค่ะ ตรงนี้มันวังเวงพิกล”

“ที่จริงผมชอบที่ที่ไม่ค่อยโหวกเหวกแบบนี้มากกว่า”

จุรีพยักหน้ารับรู้ก่อนจะพึมพำเบาๆ “จุดนี้คุณไม่เหมือนกับคุณธีระเลย”

“ครับ เพราะเราเป็นคนละคนกัน และผมเองก็พอจะรับรู้บางอย่างได้…” ตรีสิทธิ์กล่าวอย่างเลื่อนลอย ก่อนหันไปเผชิญหน้ากับจุรี “วันที่เกิดอุบัติเหตุ พวกคุณออกจากที่ทำงานช้ากว่าเวลาปกติสองชั่วโมง คุณได้บอกใครบ้างหรือเปล่า”

จุรีย่นคิ้วนึกแปลกใจที่เขาถามกะทันหันขึ้นมา เธอจึงตอบคำถามด้วยคำถาม

“คุณทราบได้ยังไงว่าเราออกจากที่ทำงานช้าไปสองชั่วโมง”

“แค่ตอบคำถามผมก่อนเถอะ ผมมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจ”

“เกี่ยวกับเรื่องที่คุณเป็นร่างทรงหรือเปล่าคะ” เธอถามพลางหันมองรอบตัว “หรือว่าคุณธีระจะอยู่ใกล้ๆ แถวนี้”

ตรีสิทธิ์เบี่ยงสายตานิดหนึ่งพลางกล่าวตอบ “อย่าคิดมากเลย ผมไม่เคยอยากรับช่วงต่อการเป็นร่างทรงจากครอบครัว เพียงแต่มีบางอย่างที่ผมใช้ประโยชน์ได้”

“บางทีฉันอาจจะคาดหวังอะไรแปลกๆ” เธอถอนหายใจยาวเพื่อสลัดความคิดไร้สาระออกไปจากหัวแล้วจึงเงยหน้ากล่าวกับตรีสิทธิ์ “วันนั้นนอกจากเพื่อนร่วมงานของฉันแล้ว สิริโทรเข้ามาหาฉันตอนเย็นพอดี เธอจะนัดเจอฉันแต่ฉันบอกว่าเลิกงานช้าค่ะ เธอก็เลยล้มเลิกนัดไป”

กล่าวจบจุรียกมือขึ้นปิดปากเมื่อได้ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่ทันจะตั้งสติได้ก็เกิดสายลมเย็นพัดผ่านร่างของทั้งคู่ไปวูบหนึ่ง จุรีรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาจึงบอกกับตรีสิทธิ์ท่าทางไม่สบายใจ

“เราเข้าไปในตลาดกันเถอะค่ะ ฉันรู้สึกไม่ดีเลย”

ตรีสิทธิ์เห็นจุรีเดินนำหน้าเขาไปก่อน จึงทำท่าจะเข้าไปฉวยมือเธอเอาไว้ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจเดินตามไปเงียบๆ

ทั้งสี่คนบังเอิญเจอกันอีกครั้งบริเวณหน้าร้านขายของที่ระลึก แต่การรวมตัวกันครั้งนี้กลับปกคลุมไปด้วยบรรยากาศแปลกประหลาด สิริและธนันต์เดินเว้นระยะห่างจากกันในแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนตรีสิทธิ์เดินแยกไปดูชั้นวางของซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งในร้านเดียวกัน

ตรีสิทธิ์กำลังสนใจพวงกุญแจซึ่งทำจากไม้หลากหลายรูปแบบ เขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าของในร้านนี้สร้างจากไม้เกือบทั้งหมด ทั้งโคมไฟ กรอบรูป กล่องใส่ของ โมเดลของเล่น และพวงกุญแจทรงสี่เหลี่ยมคล้ายป้ายไม้สลักรูปผีตาโขนในมือของเขา ตอนที่นำไปวางลงบนเคาน์เตอร์คิดเงิน เจ้าของร้านอาสาจะสลักชื่อลงสีบนป้ายไม้ให้ ตรีสิทธิ์จึงบอกชื่อของจุรีไป ในขณะที่จุรีและสิริเลือกได้โปสต์การ์ดคนละหลายใบ แต่ธนันต์ยืนสีหน้าเครียดอยู่ที่มุมหนึ่งของร้านเหมือนกำลังใช้ความคิด

หลังจากได้ของฝากครบแล้ว นาฬิกาข้อมือบอกเวลาสองทุ่ม ทั้งสี่คนจึงเดินมาที่ลานจอดรถซึ่งดำรงติดเครื่องยนต์รถสองแถวรอไว้อยู่แล้ว หลังจากทั้งสี่คนขึ้นรถ ดำรงก็ขับออกจากตลาดเพื่อมุ่งหน้ากลับไปยังรีสอร์ตริมภู

รีสอร์ตริมภูในช่วงเวลานี้ราวกับหมู่บ้านร้างกลางสายหมอกที่เคยเห็นในภาพยนตร์ หมอกลงจัดกว่าวันแรกที่มาถึงจนแทบมองไม่เห็นทาง แต่ดำรงกลับขับรถไปตามเส้นทางคดเคี้ยวได้อย่างคล่องแคล่วก่อนจะไปหยุดลงในลานจอดรถของรีสอร์ต หลังจากทั้งสี่คนลงจากรถไปแล้ว เขาก็ขับรถออกจากรีสอร์ตไป ทั้งสี่คนจึงเดินแยกย้ายกันกลับบ้านพักของตน

 



Don`t copy text!