บ่วงวงกต บทที่ 5 : เพื่อนบ้าน

บ่วงวงกต บทที่ 5 : เพื่อนบ้าน

โดย : Cirrus Halo

Loading

“บ่วงวงกต” นิยายสยองขวัญลึกลับ โดย Cirrus Halo เรื่องราวกลุ่มเพื่อนที่เดินทางสู่จังหวัดเลยเพื่อเที่ยวงานผีตาโขน แต่กลับติดอยู่ในรีสอร์ทปริศนาและต้องเผชิญเหตุฆาตกรรมสุดหลอน อ่านได้ที่ อ่านเอา

ธนันต์ยิ้มแห้งรีบปฏิเสธ เขาไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่อาจทำให้พี่น้องเจ้าของรีสอร์ตทะเลาะกัน ในขณะที่ความสนใจของตรีสิทธิ์ไปหยุดลงที่ถุงพลาสติกใส่ของในมือของกิ่ง สำหรับคนทั่วไปแล้วมันอาจดูเป็นแค่ของบูชาพระธรรมดา แต่สำหรับคนทรงแล้วมันออกจะแปลกไปเสียหน่อย

“ของพวกนั้น จะเอาไปถวายพระหรือครับ”

กิ่งยกถุงในมือขึ้นมาให้ทั้งสี่คนดู “ก็ไม่เชิงค่ะ พอดีได้รูปปั้นเทพมาองค์หนึ่ง ก็เลยตั้งแท่นบูชาไว้น่ะค่ะ”

“เป็นเทพแบบไหนหรือครับ”

“หมอดูที่ให้มาบอกว่าช่วยให้กิจการรุ่งเรืองได้ ดิฉันตั้งบูชามาสองสามเดือนแล้วคิดว่าได้ผลดี ก็เลยเซ่นไหว้ทุกอาทิตย์”

ตรีสิทธิ์นิ่งเงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวเตือนเธอน้ำเสียงเรียบ “ถ้าไม่ใช่พระพุทธรูปหรือเทพเจ้าที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ก็ระวังหน่อยนะครับ”

สีหน้าของกิ่งบ่งบอกว่าไม่ชอบใจคำแนะนำของตรีสิทธิ์นัก เธอพยักหน้ารับแบบขอไปทีก่อนเดินต่อไปยังจุดหมายเดิม ธนันต์หันไปมองหน้าเพื่อนอย่างคาดไม่ถึง

“ปกติไม่เคยเห็นแกยุ่งเรื่องของคนอื่นขนาดนี้”

“ก็พวกเราดันบังเอิญมาพักอยู่ในพื้นที่ของเขาไง”

ทั้งสี่คนเดินมาหยุดที่หน้าประตูบ้านพักซึ่งเป็นเรือนไม้ทรงสี่เหลี่ยมที่ตกแต่งแบบเรียบง่าย สิริชั่งใจอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยเปิดประตูเข้าไป เธอรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นเครื่องเรือนอำนวยความสะดวกอย่างเตียง ตู้ และตู้เย็นมีอยู่ครบ แต่ผ้าปูที่นอนและผ้าห่มมีฝุ่นจับอยู่บ้าง เธอหันไปบ่นกับจุรี

“ดีนะที่ไม่มีคราบสกปรกติดมาด้วย ไม่งั้นฉันคงใช้เสื้อคลุมห่มนอนแทนแน่”

“มันไม่แย่ขนาดนั้นหรอกมั้ง”

เสียงกระแทกแดกดันของผู้หญิงดังแทรกขึ้นจากระเบียงชานเรือนทำให้ทั้งสี่คนหันไปมองทางต้นเสียง เธออยู่ในชุดเครื่องแบบสีเทาทำให้แยกออกได้ไม่ยากว่าเธอเป็นพนักงานทำความสะอาด คำพูดของสิริแว่วเข้าหูตอนเธอบังเอิญเดินผ่าน เธอจึงแวะเข้ามาถาม

“ฉันชื่อแก้ว เป็นแม่บ้านที่นี่ ถ้ามีจุดไหนต้องการให้ทำความสะอาดเพิ่มก็แจ้งได้นะคะ”

สิริยิ้มแหยกล่าวตอบอย่างสุภาพ “พอดีเห็นฝุ่นนิดหน่อย ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกค่ะ แค่คุยกันกับเพื่อนเท่านั้น”

“งั้นถ้าไม่ต้องการอะไรเพิ่ม ฉันขอตัวไปทำงานต่อนะคะ” จบคำเธอก็เดินไปตรวจดูความเรียบร้อยของบ้านพักหลังอื่นต่อท่ามกลางสายตางุนงงของทั้งสี่คน

ตรีสิทธิ์กับธนันต์เดินเข้ามาวางสัมภาระของสองสาวลงบนพื้นห้องก่อนจะเดินออกจากประตู แต่สิริเรียกธนันต์เอาไว้เสียก่อน เธอยื่นถุงใส่ของใช้ซึ่งซื้อมาจากตลาดให้เขา

“ดีนะที่ซื้อเสื้อผ้ามาสองชุด พวกนายเอาไปใช้เปลี่ยนสักคืนก็แล้วกัน เสร็จแล้วค่อยมาทานข้าวพร้อมกันที่ระเบียงบ้านพักของพวกฉัน”

“ตามแผนเดิม ตรีสิทธิ์ต้องกลับไปพักบ้านฉัน ไม่นึกเลยว่าต้องมาติดที่รีสอร์ตนี้”

“ขอโทษด้วย ฉันขับรถไม่ระวังเอง” สิริกล่าวด้วยสีหน้าสำนึกผิด “แต่ฉันรู้สึกว่าบรรยากาศที่นี่มันพิลึก มีพวกนายอยู่ด้วยแล้วรู้สึกปลอดภัยกว่า”

“แต่เราก็เห็นแขกคนอื่นๆ ที่เข้ามาพักอยู่นะ ในลานจอดรถก็มีรถให้เห็นอยู่” ตรีสิทธิ์ตั้งข้อสังเกตก่อนจะกล่าวทีเล่นทีจริง “คงไม่ใช่รีสอร์ตผีสิงหรืออะไรหรอกมั้ง”

ไม่รู้ทำไมคำพูดแบบนี้ออกจากปากของตรีสิทธิ์แล้วก็เหมือนมีลมเย็นพัดผ่านให้เสียวสันหลังไปวูบหนึ่ง สิริกลืนน้ำลายรีบเดินไปเปิดไฟ และเข้าไปลองเปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำดู เมื่อเห็นน้ำประปาและไฟฟ้ายังใช้การได้ตามปกติ เธอก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก

“ไม่น่าใช่สถานที่ร้างแล้วละ มีคนจ่ายค่าน้ำค่าไฟอยู่นะ” จุรีที่ยืนมองเพื่อนวิ่งวุ่นอยู่ครู่ใหญ่กล่าวขึ้นบ้าง

“เลิกคิดมากแล้วรีบๆ อาบน้ำเถอะ จะได้มาทานข้าวกัน” ธนันต์ส่ายหัวรู้สึกเพลียขึ้นมา เขาชวนตรีสิทธิ์เดินออกจากบ้านพักของสองสาว

หลังจากตรีสิทธิ์กับธนันต์เดินลับสายตาไปแล้ว สิริก็ปิดประตูห้องก่อนลงนั่งรื้อกระเป๋าเดินทางของตนเองเพื่อหาเสื้อผ้าเตรียมอาบน้ำ ในขณะที่จุรีลงนอนบนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ในที่สุดเธอก็มีเวลานึกทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา มีเรื่องหนึ่งที่เธอคาใจตั้งแต่ก่อนเข้ามาในรีสอร์ต

“ตอนที่เธอเลี้ยวรถไปชนต้นไม้ เธอเห็นคนเดินตัดหน้ารถแล้วก็บอกว่าเหมือนคนจรจัดใช่มั้ย”

สิริหยุดมือกับสิ่งที่ทำอยู่ ไม่นานเธอก็รูดซิปกระเป๋าก่อนจะเงยหน้ามองเพื่อน “ฉันน่าจะตาฝาด คือฉันนึกถึงอุบัติเหตุที่เธอกับธีระเจอมาก็เลยคิดว่ามันบังเอิญเหมือนกัน แต่สติฉันสับสนมาก เพราะงั้นอย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลย”

“งั้นหรือ…” จุรีตอบสั้นๆ เธอหลับตาลงเพื่อเปลี่ยนอารมณ์ก่อนจะเลือกเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “แล้วพรุ่งนี้จะเอายังไง ถ้ามีรถให้เช่า จะทำตามกำหนดการเดิมมั้ย”

“เอาไว้ดูสถานการณ์พรุ่งนี้กันอีกทีดีกว่า”

ในระหว่างที่เดินตรงไปยังที่พัก ธนันต์หยุดฝีเท้าเมื่อเห็นชายวัยกลางคนร่างอวบกำลังลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปภายในบ้านพักหลังหนึ่ง ไม่นานนักชายร่างผอมแห้งก็เดินออกจากบ้านพักหลังเดียวกันด้วยท่าทางหงุดหงิดเหมือนเพิ่งทะเลาะกับเพื่อนร่วมห้อง ในมือของเขาถือซองบุหรี่พลางเดินผ่านธนันต์และตรีสิทธิ์มุ่งหน้าไปทางจุดชมวิว

“แกเห็นสองคนนั้นหรือเปล่า”

ตรีสิทธิ์ได้ยินก็มองตามหลังชายแปลกหน้าร่างผอมแห้งจนเขาเดินลับสายตาไปแล้ว จึงตอบธนันต์แบบติดตลก

“แกมองเห็นพวกเขาด้วยหรือ”

ขนแขนของธนันต์ลุกชันก่อนจะโวยวายขึ้นมา “แกอย่ามาล้อเล่นแบบนี้สิเฟ้ย ถ้าเป็นผีขึ้นมาจริงๆ ฉันจะทำไงล่ะ”

“ก็ต้องพักที่นี่อยู่ดีนั่นแหละ หรือแกจะออกไปนอนกลางถนน”

“งั้นก็ช่วยโกหกสักหน่อยก็ได้ ให้ฉันเข้าใจว่าไม่มีผีน่ะ”

“ก็แกตัดสินไปแล้วว่ามีไม่ใช่หรือไง” ตรีสิทธิ์กล่าวพลางถอนหายใจ “ถ้าเห็นว่าเป็นคนก็ตามนั้นแหละ ไปทักมากๆ เดี๋ยวผีก็โผล่ออกมาจริงๆ หรอก”

ธนันต์เบ้ปากยอมปล่อยผ่านอย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินไปถึงที่พักของตนเอง

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว จุรีกับสิริก็ช่วยกันแกะกล่องอาหารพลาสติกที่ซื้อมาจากตลาด อาหารตามสั่งเป็นกับข้าวที่มีขายกันทั่วไป มีทั้งกะเพราหมู ต้มยำเห็ด และผัดผักอีกสองอย่าง

ไม่นานนักตรีสิทธิ์กับธนันต์ในชุดเสื้อคอกลมสีเข้มแต่งลายสกอตที่กระเป๋าเสื้อกับกางเกงขายาวผ้าฝ้ายเดินเข้ามาร่วมวงด้วย ท้องฟ้ายามกลางคืนที่ควรเต็มไปด้วยดาวระยับกลับปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกจางๆ ที่ไม่เคยเลือนหายเลย นับตั้งแต่ก้าวเข้ามาในรีสอร์ตแห่งนี้

“ที่นี่กลางคืนอากาศหนาวเหมือนกันนะ” จุรีบ่นก่อนกระชับเสื้อกันหนาวสีครีมให้มิดชิดมากขึ้น

“ที่จริงทิวทัศน์ที่นี่ก็ไม่แย่นะ แค่ไม่มีอินเทอร์เน็ตเท่านั้น” สิริกล่าวเสริม

“บรรยากาศก็เงียบสงบ…”

“แล้วตอนแกจัดของ แกเอามันไปไว้ไหนล่ะ” เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นโดยที่ธนันต์ยังพูดไม่ทันจบประโยค

ทั้งสี่คนหันมองตามเสียงจึงเห็นว่าเป็นบ้านพักของชายร่างท้วมกับชายร่างผอมคนเดียวกับที่เห็นเดินไปสูบบุหรี่เมื่อตอนเย็น พวกเขายังคงทะเลาะกันต่อ

“ฉันว่าแกจงใจทำหายมากกว่า” ชายร่างผอมโวยวายเสียงดังลั่น “ไอ้ก้องมันก็แวะมาไม่ใช่หรือ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าพวกแกรวมหัวกัน”

สิ้นเสียงชายร่างผอมก็มีเสียงโครมครามดังขึ้นสองสามครั้งก่อนจะเงียบหายไป ตรีสิทธิ์รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศ ราวกับว่ามันกำลังกระตุ้นอารมณ์ด้านลบของผู้คน ธนันต์วางจานข้าวที่เหลืออยู่ครึ่งจานก่อนจะกล่าวอย่างหัวเสีย

“ทำไมเราต้องมานั่งฟังคนทะเลาะกันด้วย ทั้งที่มาเที่ยวพักผ่อนแท้ๆ”

“อย่าไปโมโหเรื่องของคนอื่นเลย เขาก็อยู่ส่วนเขา” สิริกล่าวปราม “ถ้าอิ่มแล้วก็วางจานไว้ เดี๋ยวฉันกับจุรีเก็บล้างเอง”

“ที่จริงฉันก็รู้สึกเพลียแปลกๆ เหมือนกัน” จุรีบ่นขึ้นบ้าง “วันนี้คงต้องเข้านอนเร็วหน่อย ไม่อยู่คุยนานนะ”

“งั้นทานเสร็จแล้ว พวกผมก็จะกลับที่พักไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้าเพราะรถคุณดำรงออกตอนแปดโมงแน่ะ” ตรีสิทธิ์พูดเมื่อเห็นสีหน้าของเพื่อนแต่ละคนไม่สู้ดีนัก

“ทำไมรู้สึกไม่เหมือนมาเที่ยวเลย เสียอารมณ์จัง” สิริหงุดหงิดเล็กน้อยพลางเก็บจานและเศษอาหาร เธอเองก็อิ่มแล้วเช่นกันทั้งที่ข้าวยังเหลือเต็มจาน

 



Don`t copy text!