บุปผาตีตรา บทที่ 4 : เอื้อยชอบแบบนี้

บุปผาตีตรา บทที่ 4 : เอื้อยชอบแบบนี้

โดย : สีน้ำฟ้า

Loading

บุปผาตีตรา โดย สีน้ำฟ้า นวนิยายสะท้อนอคติและพลังคำพูด ผ่านชีวิต “นวลปราง” ที่ใช้การศึกษาโต้กลับคำครหา และ “อุรา” ผู้หลงทางจนกลายเป็นเมียเช่า เรื่องราวในอีสานยุคสงครามเวียดนาม ถ่ายทอดมิตรภาพ ความรัก และบาดแผลจากการถูกตีตรา ชี้ให้เห็นว่าคำพูดบางคำอาจผลักดันหรือทำลายชีวิตคนได้ อ่านออนไลน์ได้แล้วบนเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ค่ำแล้วเสียงจักจั่นเรไรเริ่มร้องดังระงม วันนี้มีเสียงกบเขียดเหมือนฝนจะตกแต่คงไม่ตกเพราะฟ้าใสสว่าง ดวงจันทร์เริ่มลอยเด่นฟ้า

เมื่อเสร็จงานบ้าน นวลก็เดินไปนั่งที่โถงบ้านข้างแม่ที่กำลังสอยตะเข็บปลายขากางเกงของพ่อ กางเกงตัวนี้พ่อชอบ ใส่จนขอบยุ่ยก็ยังไม่ยอมทิ้ง มองออกไปทางชานนอกไม่มีหลังคา พ่อนอนหงายชันเข่าเอาขาอีกข้างก่ายหัวเข่าอีกข้างหนึ่งท่าทางสบาย นานๆ ทีจะคีบบุหรี่มาดูดแล้วพ่นควันลอยไปในอากาศ กลิ่นบุหรี่กำจายไปทั่วบริเวณไม่มียุงมากวนอารมณ์ แม่เอาขนมไปวางไว้ก็ไม่กิน

คนเป็นแม่รามือจากงาน ลุกขึ้นเดินไปหยิบจานขนมใกล้ตัวพ่อส่งมาให้ลูกแล้วนั่งสอยผ้าต่อ ปากก็ชวนคุย

“แม่พบอีน้อยมันกลับมาเยี่ยมบ้าน คราวนี้แต่งตัวสวยแต่แต่งหน้ายังกับพวกยี่เก ปากแดงแช้ดเลย เจ้าพบมันบ่นวล”

น้อยที่แม่พูดถึงเป็นเพื่อนรุ่นพี่ข้างบ้านที่ไปทำงานในเมืองเวลากลับบ้านมามักมีของกินแปลก ขนมอร่อยๆ มาฝากเสมอ ไม่ทันจะได้ตอบอะไรเสียงแจ๋วๆ ของคนข้างบ้านก็มา

“แม่”

อุราตะโกนเรียกแม่เสียงสูง เสียงมาตั้งแต่ยังไม่เห็นตัว พอเธอเดินโผล่พ้นบันได ทันเห็นพ่อขยับตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ รีบทักทายทันที

“ฮั่นแน่ วันนี้ใส่เสื้อหล่อนะพ่อ อากาศเย็นแล้วสิ”

“อื่อ” พ่อตอบรับสั้นๆ เสียงอยู่ในลำคอ

อุราค้อมตัวเดินผ่านพ่อไปด้านใน หย่อนตัวลงนั่งบนพื้นกระดานไม้เย็นๆ อย่างไม่รังเกียจ เพราะนวลถูพื้นจนเงาวับนั่งตรงไหน นอนตรงไหน ก็สบายตาสบายใจ

บ้านนี้ไม่มีทีวี แต่มีวิทยุเครื่องเล็กวางติดอยู่ริมเสากลางบ้าน เหนือขึ้นไปเป็นกรอบรูปในหลวงรัชกาลที่ 9 คู่กับราชินีใส่กรอบกระจกไม้ขอบสีทอง เป็นภาพที่มีทุกบ้าน เพราะมาจากแหล่งเดียวกันคือรถเร่ขายของ บ้านอุราก็มีรูปเหมือนกันเป๊ะเลย ต่างกันตรงบ้านนี้ นวลตัดภาพจากปฏิทินเก่ามาแปะข้างฝาไว้ บนสุดเป็นรูปในหลวงกับราชินี และต่ำลงมาเป็นภาพดาราภาพยนตร์ชายและหญิงที่สวมเสื้อผ้าสีสดสวย นวลมักเปลี่ยนภาพดาราพวกนี้ไปตามปีปฏิทิน แต่รูปในหลวงจะไม่เคยเปลี่ยน อีกทั้งจะดูแลทำความสะอาดไม่มีฝุ่นจับเลย

“กินข้าวกันหรือยัง”

อุราถามแบบทักทาย ไม่ได้ต้องการคำตอบที่แท้จริง เพราะรู้ดีว่าเลยเวลาอาหารเย็นของบ้านนี้ไปแล้ว เธอหย่อนก้นนั่ง อุราสวมเสื้อผ้าชุดใหม่สะอาดสะอ้าน ตัวหอมกลิ่นแป้งเด็กจางๆ พื้นยังไม่ทันอุ่น อุระก็โผล่หน้าตามมา เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาแล้วเช่นกัน มองพิศแล้วจะเห็นว่าชายหนุ่มดูดีมากถึงแม้ตัวผอมสูงแต่ก็ล่ำบึ้ก หน้าอกผาย ไหล่ผึ่ง เท่ไม่น้อยเลยละ

อุราขยับตัวมาเบียดแม่ แม่ขยับให้ อุระคลานไปนั่งด้านในสุดใกล้นวลที่นั่งชิดข้างฝา เธอหยิบขนมปังเป็นแท่งเล็กด้านปลายแท่งมีเคลือบครีมถั่วที่อยู่ในจานเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

“เขาเรียกขนมอะไรนิแม่ อร่อย ขนมปังแผ่นๆ เคยรู้จัก กินมาแล้วเอื้อยน้อยเคยซื้อมาให้กิน อันนี้รสชาติเหมือนขนมปังกรอบแต่เป็นแท่งชุบน้ำตาลกับถั่ว หวาน มัน เคี้ยวเพลิน อร่อยจริงๆ” คำชมไม่ขาดปาก แถมยังหยิบใส่ปากอีกแท่ง

อุระอยู่ไม่ไกลลองขยับมาหยิบขนมใส่ปากเคี้ยว พยักคอเห็นด้วยว่ามันอร่อยจริง

“ไม่รู้เหมือนกัน แม่แกะใส่จานเอากล่องทิ้งไปแล้ว แกะออกมาตั้งนานขนมปังแท่งโดนลมไม่นุ่มรึ ได้ยินเสียงเคี้ยวกร้อบกรอบ นี่ก็เป็นขนมที่อีน้อยให้เหมือนกัน เอ้อ…แล้วพวกเจ้าพบมันแล้วบ่”

“อืม…อร่อย” อุราเคี้ยวอย่างเมามัน ติดใจในขนมออกหวานปนเค็มปะแล่ม

“บ่ บ่ได้เจอเลย เมื่อเย็นตอนไปต้อนควาย นวลตกควายเลยแยกย้ายกันไว ไม่ได้ไปไหนกันต่อนี่ข้อยอาบน้ำ กินข้าวเสร็จแล้วก็มานี่แหละ” อุระเป็นคนตอบเสียงของเขานุ่ม ทุ้มน่าฟัง

“เอ้า ตกควาย…ไสบ่บอกแม่”

แม่เลิกใส่ใจชื่อขนม หันมาทางนวลมองว่ามีแผลตรงไหนหรือเปล่า อุราเงียบไปพลางหยิบกินอย่างเอร็ดอร่อย

“ไม่เจ็บแล้ว อายตอนตกควาย เพื่อนล้อ” นวลอุบอิบแต่อุราหัวเราะก๊าก ขนมในปากที่กำลังเคี้ยวอยู่เกือบพุ่งรีบเอามือปิดปาก สำลักขนมติดคอ ไอค็อกแค็กๆ

“สมน้ำหน้า เอาๆ เดี๋ยวไปหยิบน้ำให้” นวลบ่นแต่รีบลุกขึ้นไปตักน้ำฝนในตุ่มใส่ขันมาส่งให้อุรา

“เห็นไหมแม่ อุราตัวดี หัวเราะดังกว่าใคร”

นวลกำลังลูบหลังให้อุราที่หยุดไปพยายามจิบน้ำไปทีละอึกๆ แม่มองไปที่เด็กสองคน เหมือนจะรักกัน แต่ก็ชอบแกล้งกันให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง

“แล้วไป นึกว่าเจ็บอะไรมาก โรงหมอโรงยาก็อยู่ตั้งไกล จะพาไปกลางค่ำกลางคืนคงลำบาก”

“ไม่ต้องหรอกแม่ นวลกระดูกแข็ง ไม่เป็นอะไร ว่าแต่แม่กับพ่อไม่กินรึขนม อุรากินจวนหมดแล้วนั่น”

นวลหยั่งเชิงเพราะจานขนมเริ่มพร่องลงไปแล้ว นวลกินแล้วแต่เธอไม่ชอบของหวานเท่าไร กินแค่ชิมรู้รสก็ไม่เอาอีก

“เอ้า พูดถึงขนม มีอีกนะ ไม่ใช่ขนมฝรั่งแบบนี้หรอก แม่เกือบลืมแล้วนะนี่ นวลลุกไปหยิบขนมหมากบวบลมปิ้งมาทีสินวล อยู่บนแคร่ในครัว แม่เอามาอุ่นไว้แล้วลืม”

เธอแปลกใจแต่ลุกขึ้นไปหาขนมที่แม่บอก หาๆ เจอบางอย่างเป็นชิ้นแข็งๆ วางอยู่จึงตะโกนถาม

“เห็นแต่อะไรแข็งๆ เท่านิ้วโป้งวางอยู่สี่ห้าอัน ใช่ไหมแม่”

“อื้อ ใช่ เอามาเลย พวกเจ้าลองกินดู เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักแล้วมั้ง” แม่มองแต่ไม่กินด้วยเพราะอิ่มแล้ว

ทุกคนมองนวลที่หยิบขนมปิ้งใส่จานเดินถือเข้ามาวาง แล้วนั่งลงที่เดิม เป็นอุราอีกแล้วที่คว้าขึ้นมาก่อนเพื่อน ยกขนมปิ้งที่ว่าขึ้นมาดม ได้กลิ่นกะทิกับข้าวเหนียว เหมือนจะมีถั่วดำด้วยเพราะมีสีออกดำๆ ขาวๆ มองไม่ชัดมากนักเพราะแสงไฟฟ้าส่องสว่างได้ไม่เท่าแสงพระอาทิตย์ส่องตอนกลางวัน

“กินยังไงอะแม่ เหมือนข้าวหลามบ่ หอมๆ ได้กลิ่นกะทิกับกลิ่นอะไรไม่รู้ ไม่เคยกิน”

“อื้อ เขาทำเหมือนข้าวหลามนั่นแหละ เอาข้าวสารผสมเกลือ น้ำตาล คลุกให้เข้ากัน จับหยอดลงไปในหมากบวบ หยอดข้าวเสร็จก็หยอดน้ำกะทิตามลงไป บางทีก็ใส่ถั่วดำ ใส่กล้วยก็ได้แล้วแต่คนทำ” คนพูดเล่าอย่างมีความสุข

“สมัยเด็กบ้านแม่ไม่มีขนมแบบที่น้อยซื้อมาให้นี่หรอก มีแต่แบบนี้แหละ”

“หมากบวบลม มันคืออะไร ทำไมข้อยไม่เคยเห็น”   นวลถามอย่างสงสัย

“หมากบวบลม มันเป็นยาเป็นเถาเลื้อยเกาะตามต้นไม้ อย่างพวกต้นจิก ต้นไทร ในป่าพุ้นละ เมียตาสุกเขาไปเก็บมา ใบมันกินได้ ผลมันจะเป็นลูกๆ เท่านิ้วโป้ง นิ้วชี้ เปลือกข้างนอกแข็ง ข้างในเป็นโพรงลมมีเมล็ดด้วยนะ ตัดหัวมันออก ควักมันออกมาเหลือแต่เปลือก”

“โอ้ คือหลายขั้นตอนแท้ มันเลื้อยขึ้นต้นไม้ปานกาฝากบ่แม่” นวลตั้งใจฟังแต่อดไม่ได้ที่จะถามต่อ

“ไม่ใช่ มันเป็นเถาเหมือนพวกตำลึงนั่นแหละ ลูกสุกเปลือกมันแห้งและแข็งนิดหน่อย ตัดหัวควักไส้ ควักเมล็ดออกมาเหมือนควักพุงปลาแหละ คนทำต้องใจเย็นตัดหัวมันทิ้งล้างให้สะอาด ข้างนอกเป็นสีเขียวข้างในเป็นสีม่วง พอเอายัดข้าวเข้าไป ก็เอาไปนึ่งหรือปิ้ง เหมือนปิ้งปลา หอมเวลากะทิหยดใส่เตาถ่าน รสชาติก็อร่อยมันๆ”

อุราเคี้ยวตุ้ยๆ หมดไปหนึ่งชิ้น ทำท่าจะเอื้อมมาหยิบลูกที่สองเป็นผลพิสูจน์ว่ามันอร่อยจริง นวลแกล้งปัดมือเพื่อนแล้วหยิบมากินบ้าง อุระรีบชิงมาก่อนมันจะหมด เด็กๆ กินขนมกันอย่างเอร็ดอร่อย ลืมขนมที่น้อยให้มาไปเสียสิ้น

แม่มองเด็กๆ แล้วมองพ่อที่นอนเล่นอยู่นอกชาน

“กินไหมพ่อมัน”

“กินแล้วทันพวกเด็กไหมล่ะ” พ่อตอบเสียงกลั้วหัวเราะ แล้วชวนเปลี่ยนเรื่องคุย

“บ้านเฮาปีนี้แล้งหล้ายหลายอีกแล้ว”

นวลมองไปทางพ่อ ไกลเกินกว่าจะอ่านสีหน้าพ่อ

“อีกสองมื้อ บ้านเฮาจะขนข้าวมาบ้านแล้ว นวลกับแม่ต้องทำกับข้าวเลี้ยงเพิ่น อุรา เจ้าไปเฮ็ดเวียกเฮ็ดงานที่ไหนบ่” พ่อถามเจาะจงมาที่อุรา

“บ่ แม่ข้อยบอกแล้วให้มาช่วยนวล อ้ายอุระด้วย ไม่ต้องไปนา อยู่นี่เผื่อแม่ใช้ให้ยกอะไรหนักจะได้มีผู้ชายช่วยงาน”

“อื่อ ขอบใจหลาย”

“ปีนี้อุราใหญ่แล้วพ่อ เก่งด้วย ทำแกงเป็นหลายอย่างแล้ว” อุรารีบเสนอตัวเอาหน้า

นวลเห็นแต่ควันบุหรี่ที่ลอยวนอยู่ในอากาศ เลยอ้อมแอ้มถามออกไป

“พ่อ พ่ออยากให้นวลไปเฮ็ดงานในเมืองเหมือนเอื้อยน้อยเพิ่นบ่”

พ่อลุกขึ้นยืนหันมาสบตากับนวลตอบด้วยน้ำเสียงปกติ

“พ่อว่าเราขายข้าวปีนี้ก็น่าจะพออยู่ได้ บ่เป็นหยังหรอกนวลเอ้ย อยู่กับพ่อกับแม่นี่ละ”

“ข้อยก็พอมีแฮง ไปตัดหญ้าคามาให้นวลกับอุรามันไพหญ้าคาส่งขายในตลาดดีไหมพ่อ”

อุระอาสาน้ำเสียงกระตือรือร้น การไพหญ้าคาคือการถักสานหญ้าคาเป็นแผงนำไปมุงหลังคาบ้านซึ่งเป็นที่นิยมกันมาก ขายดีมีเท่าไรก็ขายหมด บางทีมีนายทุนออกเงินจองไว้ก็มี ได้ราคาดีด้วย สองบ้านนี้คบหากันมานานตั้งแต่นวลเกิดและจำความได้ สนิทจนเหมือนบ้านเดียวกันเข้าได้ทุกตรอกออกได้ทุกประตูเรือน

นวลมองพ่อ แต่พ่อหันไปมองหนุ่มน้อยเห็นสายตาพ่อนวลก็เข้าใจ เพราะถูกล้อจับคู่กับอุระมาตั้งแต่เด็ก พ่ออยากให้นวลแต่งงานเหมือนลูกสาวบ้านอื่น วัยนี้ถ้าไม่แต่งงานออกเรือน ก็ไปทำงานในเมืองกันหมดแล้ว นวลไม่ได้ชอบอุระแบบชู้สาว รู้สึกว่าเป็นพี่ชายมากกว่าคนรัก

“บ่เป็นหยังดอก เรายังพอมีกิน ว่าแต่วันนี้พวกเจ้ามาฟังนิทานอีกละสิ งั้นพ่อไปนอนละเด้อ”

พ่อเดินหายเข้าไปในห้องนอนแล้ว ควันบุหรี่จางหายไปในอากาศ กลิ่นก็จางไปแล้วเพราะพ่อสูบบุหรี่หมดมวนไปสักพัก เหลือแต่แม่ที่เดินตามไปแต่กลับออกมาพร้อมตะกร้าผ้าที่ซักเสร็จแล้ว เอาออกมาเพื่อพับเก็บเข้าที่

ช่วงจังหวะนี้แหละ ที่จะเป็นช่วงพักผ่อนหย่อนใจของเด็กๆ ทั้งสามมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย แม่จะเล่านิทานให้ทุกคนฟัง เมื่อเล่าจบก็ต้องแยกย้ายกันไปนอน

“แม่นอีหลี นิทานก่อนนอนไงแม่” อุรายิ้มระรื่น ที่เธอมาบ้านนี้หลังกินข้าวเสร็จก็เพื่อการนี้แหละ

“โตแล้วยังจะฟังกันอีก ไม่เบื่อรึ มีแต่เรื่องเก่าๆ” แม่ถามยิ้มๆ

“ไม่เบื่อ วันนี้ข้อยอยากฟังเรื่องผีโพง”

แม่มองอุราที่ขยับตัวยุกยิก ยืดหลังให้ตรง แอ่นอกเหมือนพร้อมจะฟังเต็มที่ อุราเป็นคนไม่กลัวผี ผิดกับนวลซึ่งขี้ขลาดเวลาพ่อแม่ไปงานศพที่ไหน กว่าจะกลับก็หลังพระสวด นวลจะไม่กล้าอยู่คนเดียว เดือดร้อนอุราต้องมานอนเป็นเพื่อนทุกคราวไป

“โอ๊ย บ่อยากฟัง ข้อยจะฟังเรื่องแก้วหน้าม้า” นวลโอด

“โห่…”   อุราส่งเสียงแล้วบ่นอุบอิบ แต่วันนี้จะตามใจนวล สงสารที่ขวัญผวาตกหลังควายมา ไม่อยากให้เพื่อนตกใจกลัวเรื่องผีอีก

เด็กๆ ล้อมวงขยับเข้าไปใกล้แม่ นวลเคยถามแม่ว่านิทานมาจากไหน แม่บอกว่ายายเล่าให้ฟัง เล่าต่อกันมา แม่ชอบฟังนิทาน ฟังบ่อยก็จำได้แล้วเอามาเล่าต่อให้เด็กๆ ฟัง เรื่องไหนที่ไม่มีที่มาแม่จะใช้คำว่า ‘เขาว่า’ อีกแน่นอน หูก็ฟังแม่ สายตาของนวลมองตามพ่อเดินไปหายเข้าห้องเงียบไป

 



Don`t copy text!