
หัวใจมังกร บทที่ 5 : โชคชะตา
โดย : สิรี กวีผล
หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co
“เฮียไปโดนอะไรมาเนี่ย” ถิงถิงรีบเข้ามาดู
“โดนเกี่ยวมานิดหน่อยเอง” สีหน้าของคนเป็นแผลไม่ได้บ่งบอกว่านิดหน่อยตามที่ปากพูดเท่าไรนัก ผิวจากที่ขาวอยู่แล้วก็ขาวขึ้นไปอีกจนเรียกว่าซีดเสียมากกว่า คนฟังแทบจะไม่ได้ฟังตามที่ได้ยินเพราะสภาพของชางแทบจะเป็นลมเพราะเสียเลือดเยอะกว่าที่ร่างกายจะทนไหว
“ไม่หน่อยแล้ว มาๆ นั่งก่อนเดี๋ยวหมวยทำแผลให้”
ถิงถิงเข้าไปประคองชางมานั่งที่เก้าอี้ไม้สีแดงตั้งเรียงรายอยู่ข้างในศาลเจ้าประจำตระกูลฟู่ แล้วรีบกุลีกุจอเดินกลับเข้าไปด้านหลัง กลิ่นควันธูปเป็นเอกลักษณ์ประจำศาลเจ้าแห่งนี้ กระถางทรงกลมขนาดใหญ่วางอยู่บนแท่นหน้าเทพเจ้าที่เป็นประธาน ฝั่งซ้ายและขวามีเทพเจ้าวางบูชาอยู่เป็นระยะสวยงาม อาคารที่สร้างแห่งนี้เป็นทรงภูเขาตามความนิยมของจีนมีอายุมากกว่าเขาหลายทศวรรษ เป็นที่นับถือสักการะของคนในชุมชนในละแวกนี้ ระหว่างทางเดินเข้าศาลเจ้าพบเห็นเสาขนาดใหญ่พันรอบด้วยมังกรสีแดงเขียวขาวเป็นลักษณะเด่นของเสา 2 ต้นนี้ รวมทั้งหัวมังกรบนหลังคาที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล
สมัยเด็กๆ ชางชอบมาวิ่งเล่นที่นี่ มากิน นอน แทบจะเป็นเด็กเฝ้าศาลเจ้า ครั้นอายุ 15 ชางเข้ามาดูพิธีสาบานตนของตระกูลฟู่ เป็นพิธีคล้ายๆ ดื่มน้ำสาบานจะไม่ทรยศต่อพี่น้องและเข้าร่วมสมาคมเป็นคนของตระกูล สมัยนั้นเขาวิ่งเล่นซนจนไปชนมังกรหินหล่นแตก น้องชายของเขาช่วยเก็บเพราะไม่อยากโดนดุ ส่วนเหลียงรีบวิ่งไปฟ้องพ่อ ฟ้องอาแปะ จนชางโดนตีและทำโทษให้นั่งคุกเข่าขอโทษเทพเจ้าอยู่เป็นวัน หลังจากนั้นชางก็พยายามซ่อมมังกรหินโดยการใช้เหล็กเชื่อม เขาพยายามไปหาช่างตีเหล็กเพื่อให้สอนการฝังเหล็กไว้ในหินเพื่อเชื่อมรูปปั้นมังกรที่เขาทำแตก จนสุดท้ายวิชาความรู้เกี่ยวกับการตีเหล็กก็ถูกสอดแทรกอยู่ในฝีไม้ลายมือของชางไปอีกอาชีพหนึ่ง ชางนั่งมองมังกรหินที่เขาเอากลับมาวางไว้ที่เดิม ร่องรอยการแตกก็ยังคงมีอยู่แต่ทว่ามังกรสามารถเชื่อมต่อที่หัวและแท่นวางรวมทั้งช่วงตัวได้อย่างสวยงาม แถมยังขยับได้จากรอยต่อตรงส่วนหัว ทุกครั้งที่ชางแวะเวียนมาที่ศาลเจ้าแห่งนี้ เขาจะคอยมาลูปหัวมังกรตัวเล็กๆ ของเขาเสมอ
“เฮียดื่มน้ำหวานเสียหน่อย แล้วก็ถอดเสื้อออกก่อน เดี๋ยวหมวยเช็ดแผลให้” คำพูดของน้องสาวต่างพ่อมีอิทธิพลมากมายเหลือเกิน น้ำเสียงกิริยาท่าทางทำให้ชางปฏิเสธไม่ได้ทุกครั้งไป ในมือของเธอเต็มไปด้วยผ้าพันแผล อุปกรณ์ล้างแผลต่างๆ นานา ชางถอดเสื้อแขนยาวด้านนอกออกเผยให้เห็นเสื้อกล้ามสีขาวนวลที่คอยปกปิดร่างกายที่บัดนี้เปื้อนไปด้วยเลือด กล้ามเนื้อสมส่วนของชางดึงดูดใจสาวๆ หลายคนให้หันกลับมามอง แต่ทว่าถิงถิงกลับไม่รู้สึกขวยเขินแม้แต่น้อย เพียงเพราะความคิด ความรู้สึกของเธอมองเห็นผู้ชายตรงหน้าเพียงแค่พี่ชายเท่านั้น
“เฮีย เสื้อเปื้อดเลือดไปหมดเดี๋ยวหมวยเอาไปซักให้” ชางถอดเสื้อกล้ามตัวสุดท้ายที่ปกปิดร่างกายออก รูปร่างของเขาสมส่วน กล้ามเนื้อของชายชาตรีในวัย 25 ปี สมเป็นรูปร่างที่พร้อมจะสร้างครอบครัว เช่นเดียวกับถิงถิงชุดเสื้อคอหลวมผ้าแพรสีอ่อนขับผิวข่าวผ่องให้ดูสะอาด นวลเนียน อายุอานามก็พอที่จะมีร่องมีเนินสวยงามพอที่จะดึงดูดสายตาและหัวใจของชายหนุ่ม ชางกลับคิดถึงแต่หญิงสาวในฝันจนเผลอยิ้มให้กับคนตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว ถิงถิงทำแผลให้ชางอย่างนุ่มนวล เวลาที่ชางและชุนมีแผลกลับบ้าน พวกเขามักจะแวะที่ศาลเจ้านี้ก่อนทุกครั้งเพียงเพื่อให้ถิงถิงและอาเจ็กจางหย่งคอยช่วยทำแผลให้ เพราะไม่อยากให้ป๊าม้าเป็นห่วง
“ฝีมือเฮียเหลียงอีกแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่หรอก” ชางเลี่ยงไม่ตอบ
“เฮียหลอกหมวยไม่ได้หรอก รอยแบบนี้กรรไกรขาเดียวชัดๆ” ถิงถิงโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ ดูปากแผล ค่อยๆ เอายาคอยซับไปรอบๆ ปากแผล คนเจ็บสะดุ้งเมื่อถูกยาป้ายใกล้ๆ แผล ทำให้ตัวของเขาเซมาใกล้ถิงถิงจนแทบจะกอดกัน มือแข็งแรงอีกข้างหนึ่งของชางค้ำร่างกายของเขาและเธอไว้กับเก้าอี้ตัวน้อย ถิงถิงล้มลงก้นกระแทกพื้น เข่าของชางปักลงพื้นหาฐานที่มั่นเพื่อยื่นวงแขนแข็งแรงโอบตัวเธอเอาไว้ ทว่าความรู้สึกนี้กลับตรงกันข้ามกับเวลาที่เขากอดกับกัญญ์กุลณัช ภาพทั้งสองใกล้ชิดกันปรากฏแก่สายตาชุน เมื่อเขาก้าวเข้ามาในศาลเจ้า ในมือของเขามีช่อดอกไม้เล็กๆ สวยงามสีแดงสดใสอยู่ 1 ช่อ ดอกไม้ในมือสั่นระรัวแทบจะร่วงลงกับพื้น
“ฮ้าว เฮียชุน” ถิงถิงเห็นชุนก็รีบถอนตัวออกจากมือชางที่กำลังโอบตนเองอย่างร้อนใจ ชางยันตัวขึ้นนั่งเหนื่อยๆ สังเกตเห็นปฏิกิริยาของน้องทั้ง 2 คนก็เข้าใจได้ทันที
“เอาดอกไม้มาให้หมวยเหรอ” ชางยิ้มให้น้องชายและถิงถิง
“เปล่าสักหน่อย อั๊วเอามาไหว้พระต่างหาก” ผู้ร้ายปากแข็งยืนอยู่ตรงหน้าชาง ชุนเห็นเสื้อที่เปื้อนเลือดของชาง ก็รีบวางดอกไม้ลงแล้วเข้ามาจับตัวพี่ชายพลิกไปพลิกมาจนคนเจ็บร้องโอ๊ยขึ้นมา
“เฮียเหลียงอีกแล้วใช่ไหม”
“เห้อ เหมือนกันเลยนะทั้งคู่” ชางยิ้มแบบมีเล่ห์ให้กับน้องๆ
“อั๊วจะไปเอาเลือดมันออกซะบ้าง” คิ้วเข้มๆ ของชุนขมวดติดกัน มือหนากำแน่นโกรธแค้นแทนพี่ชาย
ชางรั้งข้อศอกคนใจร้อนไว้ “พอเลย เฮียไม่ได้เป็นอะไรมาก แถมหมวยก็ทำแผลให้แล้วเดี๋ยวก็หาย”
“อาแปะกับอาซ้อจะไม่ถามเหรอ” ถิงถิงเป็นห่วง
“เดี๋ยวเฮียก็เลี่ยงตอบได้เหมือนเดิม” ชุนไม่พอใจเหลียงมาก หลายครั้งแล้วที่เหลียงพยายามทำร้ายตัวเขาและพี่ชาย ชุนรอดมาได้ทุกครั้งเพราะชางคอยเข้ามาปกป้องและทุกครั้งก็เป็นชางที่ได้รับบาดเจ็บแทนตนเองมาตลอด ถิงถิงประคองชางลุกขึ้นเพื่อจะเดินออกจากศาลเจ้าประจวบเหมาะกับเฉิงและจางหย่งเดินเข้ามาเห็นพอดี เฉิงเห็นลูกชายตัวเองและว่าที่ลูกสะใภ้อยู่ด้วยกัน ใกล้ชิดกัน ก็ยิ่งคิดว่าตนเองคิดถูก แตกต่างกับชุนที่มองถิงถิงอยู่ข้างหลังก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ จางหย่งสังเกตเห็นแววตาของชุนที่มองลูกสาวตนเองก็รู้สึกว่า ชุนน่าจะมีใจให้กับถิงถิง แตกต่างกับชางที่อยู่ข้างๆ แต่กลับไม่มีสายตาหรือการแสดงออกที่บ่งบอกว่าจะคิดกับคนข้างๆ แบบชู้สาว ชางขยับตัวออกห่างจากถิงถิงเพื่อรักษาระยะและให้เกียรติเธอ ถิงถิงรับรู้ได้ว่าเฮียของเธอไม่ได้คิดกับเธอมากกว่าความเป็นน้องสาว ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะหัวใจของเธอมอบให้ชุนไปตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
“อยู่ที่นี่กันทุกคนพอดี” ทุกคนมองเฉิงอย่างตั้งคำถาม “พรุ่งนี้ป๊าเรียกทุกคนมาที่นี่ มีเรื่องจะประกาศ พวกลื้อก็ต้องมาด้วย เข้าใจนะ” พูดจบเฉิงก็เดินเข้าไปไหว้เทพเจ้าทันที ไม่รอให้คนสงสัยได้ตั้งคำถาม ชางขอแยกตัวจากทุกคน ชุนอาสาเดินไปส่งถิงถิงกลับบ้าน จางหย่งพยักหน้ารับเป็นสัญญาณเชิงอนุญาตให้ชุนพาลูกสาวของเขากลับ ชางเดินครุ่นคิดไม่ห่างจากศาลเจ้าเท่าไรนัก แสงไฟจากเทียนไขและเต็งลั้งยังคงส่องสว่างเป็นเพื่อนเขาในยามเย็นที่ชวนให้เขาคิดถึงผีสาวในฝันของเขา
แสงไฟน้อยๆ สั่นไหวตามแรงลมเบาๆ ทว่ากำลังของเปลวไฟน้อยนั้นมีมากพอที่จะต้านทานสายลมอ่อนๆ ที่พัดมาเบาๆ ให้ไม่ดับลง ไส้เทียนที่ทำหน้าที่เผาไหม้เทียนเพื่อให้แสงสว่างกำลังจะละลายหยดลงที่แท่นวาง น้ำตาเทียนร้อนๆ หยดลงเพื่อเป็นฐานให้แท่งเทียนได้ยึดเกาะ จากแสงสว่างจุดหนึ่งถูกจุดเพิ่มอีกหนึ่งพื้นที่หน้าโต๊ะหมู่บูชาสว่างไสวด้วยกำลังไฟน้อยๆ จากเทียนไข จุดไฟสีส้มเล็กๆ จากปลายก้านธูป ควันธูปลอยขึ้นเป็นเกลียววน กลิ่นของธูปไม่ได้เย้ายวนสักเท่าไร ทุกวันนี้ผู้คนมากมายต่างรณรงค์ลดการจุดธูปเพราะควันธูปสามารถสร้างคาร์บอนไดออกไซด์ไปทำร้ายบรรยากาศโลกได้เช่นเดียวกับการเผาผลาญพลังงานอื่นๆ
“มาไหว้พระก่อนนะลูก วันนี้วันพระใหญ่” ภัทราชวนลูกสาว
“คุณพ่อล่ะคะคุณแม่ หนูไม่เห็นตั้งแต่เช้า”
“รายนั้นไปอยู่ที่งานประมูลกับพี่ณัฐเรียบร้อย” ภัทราก้มกราบลาพระที่อยู่ตรงหน้า ก่อนที่กัญญ์กุลณัชจะคลานเข้ามาจุดธูปไหว้ พรที่เธอขอในวันนี้มีมากเป็นพิเศษ เธอใช้เวลาอยู่นานเสียจนขี้ธูปหล่นโดนหัวเข่าจนสะดุ้งด้วยความร้อน ก่อนจะกราบลาเช่นเดียวกับแม่ของเธอ
“รอธูปหมดแล้วเราไปด้วยกันนะคะ” เธอนั่งสมาธิรอเวลา กัญญ์กุลณัชไม่รู้จะทำอะไรจึงได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ
“นั่งด้วยกันสิคะคุณลูกสาว แหม ห่างวัดห่างวาแล้วก็อย่าห่างพระในบ้านเลยนะจ๊ะ” ภัทราเป็นสาวหัวสมัยใหม่ เธอมักพูดกับลูกสาวเป็นเหมือนพี่สาวและเพื่อนเสียมากกว่า แต่ใช่ว่ากัญญ์กุลณัชจะไม่เคารพหรือพูดเล่นกับแม่ของเธอได้เสมอ ยามสงบแม่ของเธอเหมือนสายน้ำ แต่เมื่อโมโหมาเมื่อไหร่เหมือนไฟที่พร้อมทำลายล้างเช่นกัน เธอหลับตาลงตั้งสมาธิอย่างที่แม่ของเธอกำลังทำอยู่
ระหว่างชางเดินทอดอารมณ์คิดถึงผีสาวในฝัน พลันสายตามองไปเห็นหญิงสาวผมยาวนั่งหลับตาอยู่ริมแม่น้ำหลังศาลเจ้า ทว่ารูปร่างนั้นคุ้นตา เธอนั่งเบือนหน้าหนีแสงไฟเพียงมีเงาสะท้อนบางๆ ให้เห็นแก้มเนียนสวย แสงไฟส่องสะท้อนเป็นเงาทำให้เห็นหน้าไม่ชัดเท่าไรนัก
“ผีหมวย” ชางยิ้มแก้มปริ เดินเข้าไปพร้อมตะโกนใส่ จนกัญญ์กุลณัชที่นั่งทำสมาธิอยู่สะดุ้งจากภวังค์ ไม่มีคำใดหลุดออกมาจากปากกัญญ์กุลณัช เธอหันซ้ายทีขวาทีมองภาพที่ไม่คุ้นเคยเบื้องหน้า สลับกับมองชายหนุ่มหน้าตี๋ที่หลุดมาจากซีรีส์จีนที่เธอคิดถึง
“นายช้าง ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ย”
“อั๊วชื่อชาง อั๊วควรถามลื้อมากกว่า ผีหมวยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง หรือจริงๆ แล้วเป็นผีเฝ้าศาลเจ้า”
กัญญ์กุลณัชสับสนไปหมด เธอขยี้ตาแรงๆ มองภาพข้างหลังม้าหินของเธอเห็นว่าเธออยู่ที่ศาลเจ้าจีนแห่งหนึ่ง เธอลุกขึ้นพรวดพราดจะเดินหนี ทว่ามือหนาของชางจับแขนเธอรั้งไว้ กัญญ์กุลณัชไม่ได้อยู่ในจังหวะชีวิตที่มีสติครบถ้วน แรงดึงเบาๆ ของชายหนุ่มทำให้เธอหันกลับไปซบเข้าที่อกกว้างของเขาทั้งตัว เสียงหัวใจของชายหนุ่มดังแรงจนเธอสัมผัสได้ มือบางของเธอสัมผัสหัวใจเขาพอจับจังหวะสั่นไหวระรัวได้ไม่ต่างจากหัวใจของเธอ ทั้ง 2 สบตากันเนิ่นนานเหมือนกำลังสื่อสารภาษากาย และถ่ายทอดความรู้สึกที่อยู่ในส่วนลึกของจิตใจให้กันและกัน ตกอยู่ในภวังค์แห่งห้วงเวลา พลันสายตาที่สบกันไม่นานสถานที่นั้นก็เปลี่ยนแปลงไปคล้ายมีใครเอาฉากเก่าในป่าสมัยโบราณมาตั้งวางไว้ เสียงอึกทึกครึกโครมโหวกเหวกจนทั้ง 2 ได้สติ สภาพเปลวเพลิงร้อนระอุอยู่ไม่ห่างตัว ไฟเผาไหม้ต้นไม้ใหญ่ลามมาใกล้ถึงตัว
“หาพวกมันให้เจอ” เสียงคุ้นหูที่ดังขึ้นก้องป่า กัญญ์กุลณัชตกใจพยายามหยิกตัวเองให้ตื่นจากภวังค์ ทว่าความเจ็บนั้นชัดเจน เธอตบหน้าชางเหมือนเรียกสติให้ตื่นพอที่จะพาเธอกลับไป แต่ที่ไหนได้ ชางกลับกลายเป็นนักรบจีนสมัยจิ๋นซีฮ่องเต้ เธออนุมานนึกคิด ภาพชายหนุ่มใส่ชุดเกราะกำลังแกว่งกระบี่ไปมาเหมือนคอยปกป้องเธอจากศัตรู กัญญ์กุลณัชมองชุดที่ตนเองใส่อยู่เหมือนหลุดมาจากหนังจีนกำลังภายในก็ไม่ปาน
“ในที่สุดก็เจอจนได้ ตายซะเถอะ” ภาพเหลียงในอดีตกระโจนมาพร้อมดาบ ง้างมือขึ้นเหนือศีรษะหมายฟันชางให้ตาย ชายหนุ่มทั้ง 2 ต่อสู้กันเลือดอาบไปทั้งตัว ชางโดนฟันเข้าที่แขนจนเขาไม่มีแรงจับกระบี่
“อั๊วจะไม่ยอมให้พวกลื้อรักกันให้เสื่อมเสียชาติพันธุ์” สิ้นเสียงเหลียงในชุดนักรบจีนโบราณ กระบี่ดำดอกโบตั๋นอาวุธคู่ใจของแม่ทัพฝั่งตรงข้ามเสียบแทงทะลุเสื้อเกราะของเขาขณะที่กำลังกอดกัญญ์กุลณัช กระบี่ตรงเสียบเข้ากลางหน้าอกทะลุออกด้านหลังของเธอ ชางกระอักเลือดไม่ต่างจากเธอที่รู้สึกเจ็บที่หน้าอก ความรู้สึกนี้เหมือนจริงเกินบรรยายออกมาเป็นตัวอักษรและความรู้สึกของเธอ
“แม้ชาตินี้จะมีอุปสรรคขวางกั้น ชาติหน้ามีจริงอั๊วจะขอรักลื้อหมดหัวใจอย่างนี้ตลอดไป”
“ฉันจะรอรักจากคุณคนเดียว ขอให้ชาติภพนำมาให้เราได้กลับมารักกัน” สิ้นคำพูดทั้ง 2 คนก็แน่นิ่งไป อ้อมกอดนั้นอบอุ่นถึงหัวใจ
เวลาผ่านไปเท่าไรไม่มีใครรู้ ทว่าชางลืมตาขึ้นมากัญญ์กุลณัชก็หายไปจากในอ้อมกอดของเขาเสียแล้ว น้ำตาลูกผู้ชายไหลอาบแก้มตอนไหนเจ้าตัวไม่รู้ตัว เขาสำรวจร่างกายตนเองก็แปลกใจกับภาพที่เขาเห็นในอดีต
ภัทรานั่งสมาธิในนิมิตของเธอ เธอเห็นกระบี่สีดำด้านดอกโบตั๋นวางอยู่ ทว่าไม่ใช่ที่งานประมูลแต่กลับเป็นบ้านทรงจีนโบราณ รอบๆ ตัวเธอเป็นโต๊ะ ตู้ที่ถูกแกะสลักอย่างสวยงามแปลกตาอย่างที่เธอไม่เคยเห็น ชายแปลกหน้าเดินเข้ามาในห้องที่วางกระบี่ ชายหนุ่มรูปงามผิวขาว เชื้อสายจีน ตัวสูง คิ้วเข้ม เข้ามายืนข้างๆ เธอแต่ไม่เห็นว่าเธอยืนอยู่ ชายหนุ่มเดินเข้ามาหยิบกระบี่ดูใกล้ๆ อย่างชื่นชม รอยยิ้มน้อยๆ เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กๆ เขายกกระบี่ขึ้นชูคล้ายจะฟันภัทราที่อยู่ในห้อง ภัทราตกใจผงะถอยหลังจนชนตู้ ทว่าชายหนุ่มผู้นั้นกลับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับกระบี่ นิ้วเรียวงามลูบไปตามฟันกระบี่ เสียงร้องโอ๊ยเพราะความเจ็บปวดของชายหนุ่มดังขึ้นจนภัทราสะดุ้ง เธอเห็นชายหนุ่มโดนกระบี่บาดนิ้ว เสียงร้องนั้นทำให้ภัทราหลุดออกจากภวังค์
กัญญ์กุลณัชตกใจตื่นจากภวังค์ เธอสำรวจตัวเองมองหาเลือดและรอยแผลที่เธอเพิ่งประสบพบเจอมาเมื่อไม่นานมานี้ แต่แล้วกลับเป็นแค่ภาพนิมิตอีกครั้งที่เธอเห็น ไม่นานนักภัทรากลับสะดุ้งขึ้นมาเบิกตาโพลงเหมือนกำลังตกใจหรือเห็นอะไรบางอย่าง
“คุณแม่เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“ไม่มีอะไรจ้ะ ธูปหมดพอดี ไปกันได้แล้วคุณพ่อกับพี่ณัฐรอแล้วละ” ภัทราลุกขึ้นเดินนำลูกสาว ภาพในนิมิตของเธอยังชัดเจน ชายหนุ่มหน้าตาดีสูงขาวคนนั้นเป็นใครกัน แล้วทำไมถึงมีกระบี่โบราณแบบเดียวกับที่งานประมูล
เสียงคลาสสิกของค้อนไม้หรือค้อนประธานกระทบที่วางส่งเสียงสัญญาณบ่งบอกถึงความสำเร็จของผู้ร่วมประมูลในชิ้นงานนั้นๆ สินค้าประมูลแต่ละชิ้นจะถูกฉายขึ้นโปรเจกเตอร์พร้อมลำดับหมายเลขที่กำกับสินค้านั้นๆ ความสนุกมาพร้อมความตึงเครียดที่ต้องการเป็นเจ้าของชิ้นงานโบราณปรากฏแก่ผู้เข้าร่วมงานประมูลทุกคน สีหน้าท่าทางรอยยิ้มหรือแม้แต่ความไม่พอใจบังเกิดขึ้น ความกดดันบรรยากาศไม่เป็นมิตรเริ่มคุกรุ่นเมื่อสินค้าที่เป็นที่หมายตาของใครหลายคนปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เกมการแข่งขันชิงราคาเริ่มปรากฏขึ้น กลยุทธ์แกมโกงเล็กๆ เพื่อให้ได้ราคาตามที่ต้องการเริ่มต้นขึ้น เช่นเดียวกับกัญญ์กุลณัช เธอกำลังวางแผนการเงินในบัญชีพร้อมกับสินค้าต่างๆ ในมือที่ต้องการได้มา
“ห้าหมื่นเก้าพัน ครั้งที่หนึ่ง ห้าหมื่นเก้าพัน ครั้งที่สอง ห้าหมื่นเก้าพันครั้งที่สาม” เสียงเคาะหนึ่งครั้งเป็นอันสิ้นสุดการประมูลของชิ้นนั้น “ห้าหมื่นเก้าพันบาท สำหรับผู้ประมูลหมายเลข 7 ครับ”
กัญญ์กุลณัชยิ้มเล็กๆ ที่ชนะการประมูลสินค้าโบราณอย่างโต๊ะไม้แกะสลักหัวสิงห์เข้าชุด ครอบครัวของเธอสนใจสินค้าชิ้นนี้เนื่องจากพ่อของณัฐต้องการนำไปขายต่อให้นักสะสมต่างชาติท่านหนึ่ง และเธอได้ราคาต่ำกว่าที่คาดไว้ การประมูลสินค้าแต่ละชิ้นจบลงค่อนข้างรวดเร็ว กัญญ์กุลณัชได้สินค้ามาในมือครบถ้วนเหลือเพียงแค่กระบี่ดำดอกโบตั๋นอีกหนึ่งชิ้นเท่านั้น
เมื่อภาพกระบี่สีดำด้านฉลุลายเงินดอกโบตั๋นขึ้นบนหน้าจอ ราคาตั้งต้นเพียงแค่ไม่กี่พันบาท นั่นเป็นเพราะตำหนิด้วยส่วนหนึ่ง กัญญ์กุลณัชยกป้ายหมายเลขของตนเองชูขึ้นเหนือศีรษะเพื่อให้ผู้คุมงานประมูลมองเห็น จำนวนเงินถูกกรอกขึ้นหน้าจออย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแค่นั้นป้ายหมายเลขของผู้เข้าร่วมประมูลท่านอื่นก็ชูขึ้นเหนือศีรษะเช่นกัน เขาคนนั้นมีชื่อเสียงในวงการสะสมดาบและกระบี่โบราณ กัญญ์กุลณัชเริ่มรู้สึกว่าเธอน่าจะแพ้ด้วยราคาเป็นแน่
“แปดพัน ครั้งที่หนึ่ง แปดพัน ครั้งที่สอง แปดพัน ครั้งที่สาม” กัญญ์กุลณัชตกใจมากที่กระบี่โบราณในยุคต้นรัชกาลที่ 6 มาอยู่ในมือเธอโดยไร้คู่แข่งอย่างนักสะสมท่านนั้น เขาคนนั้นเหมือนตกอยู่ในภวังค์บางอย่างทำให้เขาเดินออกจากห้องประมูลขณะที่ผู้คุมงานประมูลกำลังประกาศราคาของกัญญ์กุลณัชอยู่ สายตาของเธอสบตากับชายแปลกหน้าที่คุณพ่อคุณแม่ของเธอเคยพูดคุยด้วย รอยยิ้มส่งมาถึงเธออย่างอบอุ่นคล้ายแสดงความยินดี กัญญ์กุลณัชยิ้มตอบพร้อมพยักหน้าเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ งานประมูลดำเนินไปจนจบ สินค้าต่างๆ ถูกจัดเรียงไว้อยู่ด้านหลังห้องประมูลพร้อมกับหมายเลขของผู้ประมูลชิ้นงานนั้นๆ เพื่อให้ผู้ประมูลทั้งหลายได้เข้ามาเช็กสินค้า และที่สำคัญคือการชำระเงินตามจำนวนที่ต่างคนต่างประมูลไว้ได้
“ฝากด้วยนะคะคุณแม่” กัญญ์กุลณัชหันไปคุยกับภัทรา เธอเป็นคนตรวจสอบสินค้าและประเมินราคาที่ได้รับใบอนุญาตจากทางสมาคมนักประเมินราคาอิสระไทย เพียงแต่คราวนี้เธอไม่ได้มาทำงานเป็นผู้ประเมินสินค้า แต่ทุกคนในสมาคมของเก่าต่างให้ความยำเกรงภัทราเป็นอย่างมาก ด้วยความเชี่ยวชาญและความรู้ต่างๆ ของเธอ
“ทำได้ดีมากค่ะลูก” กฤตชย์เข้ามากอดกัญญ์กุลณัช “ได้ราคาดีกว่าพ่อเสียอีกนะเนี่ย สงสัยคราวหน้าต้องให้หนูทำแทนแล้วมั้ง”
กัญญ์กุลณัชยิ้มให้พ่อด้วยความปลื้มใจ ภูมิใจ
“เพราะน้องเขี้ยวมากกว่าครับคุณอา” ณัฐหัวเราะเบาๆ เช่นเดียวกับกฤตชย์ “เปลี่ยนชื่อเป็นน้องเขี้ยวเลยดีไหม” ณัฐแหย่ลูกพี่ลูกน้องของเขา
“ไม่ต้องพูดเลยพี่ณัฐ ส่วนแบ่งของน้องยังเท่าเดิมนะจะบอกให้” รอยยิ้มพิฆาตส่งตรงถึงณัฐนันท์
“ฮึ่ย ไอ้น้องเขี้ยว” ณัฐเปลี่ยนชื่อให้กัญญ์กุลณัชเรียบร้อย
“ไปค่ะ น้องหิวจนตาลาย อยากกินหมูกระทะจะแย่อยู่แล้ว พี่ณัฐเลี้ยงนะ” กัญญ์กุลณัชไม่สนใจคำคัดค้านของณัฐนันท์เดินตัวปลิวออกจากห้องประมูล กฤตชย์ตบไหล่ณัฐนันท์เบาๆ เป็นเชิงบอกให้เขาทำใจกับน้องสาวคนนี้
“คุณว่าคราวนี้การประมูลมันแปลกๆ ไหม ยิ่งตอนช่วงประมูลกระบี่เล่มนี้ ผมรู้สึกขนลุกเบาๆ อย่างบอกไม่ถูก” กฤตชย์เดินเข้ามากระซิบหูภรรยาเบาๆ ภัทราได้หยุดชะงักเมื่อได้ยินสามีของเธอพูดถึงกระบี่ แว่นขยายในมือหยุดชะงัก หันกลับมาสบตาสามีตนเองอย่างมีนัย
“ชัวร์ คุณทำหน้าแบบนี้ทีไร ผมขนลุกทุกที” กฤตชย์มองไปรอบๆ งาน “ชายแปลกหน้าคนนั้นก็หายไป นักสะสมก็หายไป เหมือนทุกคนไม่เคยมาที่นี่ยังไงยังนั้น”
“คุณรู้สึกก็ไม่แปลกหรอกค่ะ ภัทว่ากระบี่นี้ต้องมีความผูกพันบางอย่างกับลูกสาวเราแน่ๆ” ภัทราคิ้วขมวดนึกถึงชายหนุ่มเชื้อสายจีนคนในนิมิตของเธอ
“วิญญาณอาฆาตหรือเปล่าคุณ ต้องหาพระให้ลูกสวมไหม หรือผ้ายันต์ หรือเชิญพระมารดน้ำมนต์ตอนเอากระบี่กลับบ้าน” กฤตชย์พะวงเกินเหตุทุกครั้ง ความน่ารักของเขาเหมือนสมัยยังเป็นหนุ่มไม่ผิดเพี้ยน ความเอาใจใส่ ความห่วงใยเกินกว่าเหตุ และความรักที่มีต่อลูก ต่อภรรยาที่กฤตชย์มีผูกมัดหัวใจของภัทราไว้เสียสนิท
เสียงตบไหล่ไม่เบา พอๆ กับน้ำหนักมือที่ลงไปบนไหล่กว้างของกฤตชย์ ทำเอาคนดูแลสินค้าในห้องหันมามอง ภัทรายิ้มอ่อน “พอค่ะคุณ เกินไปอีกแล้วนะคะ ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอกค่ะ ภัทสัมผัสได้ ภัทรู้สึกเหมือนมีคนบางคนเฝ้ารอลูกสาวของเราอยู่นะคะ” ภัทรายิ้มเป็นเล่ห์นัย