หัวใจมังกร บทที่ 11 : ความรักของดอกโบตั๋น

หัวใจมังกร บทที่ 11 : ความรักของดอกโบตั๋น

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

ความรักของดอกโบตั๋น

หน้าผากร้อนๆ ของกัญญ์กุลณัชเริ่มดีขึ้น หลังจากกัญญ์กุลณัชทานยาไปจนเกือบครบโดสตามที่หมอสั่ง เธอสามารถลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาได้โดยไม่หน้ามืดหรือทรมานจากพิษไข้ที่ซมเธออยู่หลายวัน มามิเข้ามาห้องของกัญญ์กุลณัชเพื่อมาดูอาการของเพื่อนสนิท

“ไข้ก็เริ่มลดลงแล้ว นอนพักคืนนี้พรุ่งนี้ก็น่าจะหายแล้ว” มามิเอามือแตะหน้าผากเพื่อนเพื่อเช็กความร้อนในตัวของกัญญ์กุลณัช

“ขอบใจมากนะแก อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อน”

“สบายมาก ฉันหอบงานมาทำบ้านแกดีกว่าอยู่คอนโดตัวเองหลายเท่า ไม่เหงาด้วย” มามิเพื่อนของเธอเป็นนักเขียน เขียนทุกอย่างที่ได้เงิน ตั้งแต่นิยาย ละคร คอนเทนต์ต่างๆ มามิชอบย้ายถิ่นฐานตัวเองเพื่อให้สมองแล่นอยู่บ่อยๆ เดี๋ยวก็พาตัวเองไปอยู่ในป่า บ้างก็ไปติดเกาะ บ้างก็ไปต่างประเทศ หายตัวไปเขียนงานเป็นเดือนๆ จนเพื่อนเริ่มเป็นห่วง

“เออ แล้วงานแกล่ะ ป๊าม้าบอกให้ไปเช็กงานลูกค้าจีนรายนึงไม่ใช่เหรอ ไปไหวไหมเนี่ย” มามิเตือน

“นั่นสิ ลืมไปเลย ยังไม่ได้หาข้อมูลน่ะสิ” กัญญ์กุลณัชเครียดขึ้นมาทันที

“เรื่องงานน่ะลืมไปก่อน แต่เรื่องผู้ชายที่แกว่า ฉันจะได้เจอไหม”

“ไหนว่าไม่เชื่อ”

“ก็พอไปนอนคิดๆ ดูแล้วเรื่องแต่งนิยายมันก็อ้างอิงจากเรื่องจริง เรื่องของแกก็มีสิทธิ์เป็นไปได้เหมือนกัน ดูอย่างทวิภพสิ เจ้าคุณยังได้เจอรักแท้เป็นแม่มณีได้เลย หรือบ่วงบรรจถรณ์แค่เตียงยังพาไปพบรักได้ แล้วทำไมกระบี่ด้ามนี้จะพาเจ้าชายรูปงามมาหาเพื่อนฉันบ้างไม่ได้จริงปะ” มามิครุ่นคิด เดินไปดูกระบี่ใกล้ๆ ทันใดนั้นกระบี่ก็มีแสงสีเหลืองนวลประหลาดคล้ายสายฟ้ากะพริบถี่ๆ อยู่ที่ฟันกระบี่

“แก กระบี่แกมีไฟ” มามิตกใจผงะถอยหลัง กัญญ์กุลณัชพยุงตัวเองขึ้นจากเตียงจ้องกระบี่ไม่กะพริบตา

“คุณกัญ” เสียงชายหนุ่มคุ้นหูดังขึ้น กัญญ์กุลณัชมองหาต้นตอของเสียง

“แก มีอะไร มองหาอะไร” มามิเริ่มลุกลี้ลุกลน พนมมือเพราะกลัวเจอผีของจริงขึ้นมา

“แหม เมื่อกี้ยังไม่กลัวอยู่เลย” กัญญ์กุลณัชแซว

“ก็แหม ฉันไม่เคยเห็นของ…” มามิยังพูดไม่ทันจบ แสงสว่างจ้าก็พุ่งออกมาจากกระบี่ดำดอกโบตั๋นนำพาร่างสูงใหญ่ ผิวขาวนวลสะอาดตา และรอยยิ้มที่มีลักยิ้มพร้อมเขี้ยวน้อยๆ มาอยู่ตรงหน้าของกัญญ์กุลณัชและมามิ

“กรี๊ด…ด ผะ ผะ ผีหลอก” มามิกรี๊ดลั่นหน้าซีดแขนขาอ่อนแรงคล้ายจะล้ม ชางเห็นรีบพุ่งตัวเข้าไปรับตัวมามิที่กำลังจะล้มลงไว้ได้ทันเหมือนกับหนังจีนกำลังภายในที่พระเอกมีพลังวิเศษว่องไวมาก มามิเห็นหน้าชางใกล้ๆ ก็ยิ่งตกใจ หายใจไม่ทัน ปากสั่นมือสั่นดวงตาเบิกกว้าง เธอพยายามจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าชางยิ่งโอบกอดตัวเธอไว้เธอยิ่งหายใจไม่ออก ความกลัวพุ่งตรงเข้าที่สมองจนเธอสลบไปในอ้อมแขนชาง กัญญ์กุลณัชเห็นสภาพเพื่อนตัวเองก็หัวเราะท้องแข็ง ขำความเป็นมามิที่พูดเป็นน้ำท่วมทุ่งพอเจอของจริงเข้าไปกลับพูดอะไรไม่ออก

“อั๊วทำอะไรผิด” ชางยืนงง พยายามพยุงมามิมานอนที่โซฟา

“คุณมาไม่ให้สุ้มให้เสียงต่างหาก” เสียงกัญญ์กุลณัชยังแหบอยู่นิดๆ

“คุณกัญไม่สบายเหรอ” ชางไม่รอช้าเขาเดินตรงมาที่ข้างเตียงของเธอ หน้าผากอุ่นๆ ของเขาประกบเข้ากับหน้าผากของเธออย่างไม่รอช้า ทำเอากัญญ์กุลณัชตกใจสะดุ้งผลักชางออกจากตัวเองเบาๆ ทั้งที่ในใจของเธอเต้นแรงมาก

“คุณทำอะไร”

“ผมก็แค่วัดไข้ คุณตัวร้อนๆ เป็นอะไรมากไหมครับ แล้วไปทำอะไรมาถึงนอนซมขนาดนี้” ชางถามด้วยความเป็นห่วง ถามไม่หยุดจนกัญญ์กุลณัชต้องเอามือปิดปากคนตรงหน้า

“ไม่มากค่ะ ใกล้จะหายแล้ว กินยาเรียบร้อย” กัญญ์กุลณัชชี้ถุงใส่ยาที่อยู่ข้างเตียงให้เขาดู ชางหยิบขึ้นมาอย่างพิจารณาว่าสิ่งที่อยู่ในถุงคืออะไร ยาที่กัญญ์กุลณัชเรียกไม่เหมือนยาหอม ยาสมุนไพรต้มร้อนอย่างที่เขาเคยกินเวลาป่วย

“กินเม็ดๆ พวกนี้แล้วหายด้วยเหรอ เดี๋ยวอั๊วไปต้มยามาให้” กัญญ์กุลณัชไม่ทันได้ห้าม

ชางรีบเดินออกจากห้องไปทันทีโดยลืมคิดหน้าคิดหลังว่าเขาไม่มีตัวตนในบ้านหลังนี้ เมื่อคิดได้ก็ พยายามเดินอย่างเงียบเชียบคล้ายกำลังย่อง หลบซ้ายทีขวาที ก้มๆ เงยๆ กลัวเจอคนในบ้าน ทว่าเมื่อเดินลงมาเรื่อยๆ กลับไม่เห็นใครอย่างที่คิดไว้ เขามองไปรอบๆ บ้านของกัญญ์กุลณัช เหมือนกำลังอยู่ในเขาวงกต ชางลืมไปแล้วว่าห้องไหนที่เขาเดินออกมา เพราะประตูห้องเหมือนกันไปหมด ชั้นล่างมีโต๊ะตัวใหญ่คล้ายโต๊ะอาหาร มีเก้าอี้ แต่ว่าสีสันดูแปลกตาไปจากที่เขาเคยเห็น พลันสายตาเหลือบมองไปเห็นถ้วยชามโบราณจีนตกแต่งเรียงรายอยู่ในตู้โชว์สวยงาม ถัดไปตามเสาหรือมุมบ้านประดับตกแต่งด้วยแจกันหลากหลายใบ หนึ่งในนั้นทำให้ชางสะดุดตา แจกันจีนลายนกยูงสวยงามกลับกลายเป็นแจกันเก่าๆ จากสีขาวนวลที่เขามีที่บ้านกลับกลายเป็นคราบเหลืองน้ำตาล มีรอยแตกร้าวตามการใช้งาน เขาจำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเอาดินปั้นแปะไว้ใต้ฐานแจกันแล้วเอาไฟลนเพื่อปกปิดรอยรั่ว เขาหยิบแจกันขึ้นมาดูก็พบรอยดังกล่าว ชางเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ

เท้าของเขาก้าวไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ มองหาห้องครัวที่ใกล้เคียงบ้านเขาที่สุด และแล้วเขาก็พบหม้อ กระทะ จาน ชาม ทำให้ชางสรุปให้กับตัวเองว่าห้องนี้คือห้องครัว ชางคว้าหม้อขึ้นมาพยายามเดินหาตุ่มใส่น้ำรอบๆ ห้อง ทว่าไม่เจอ พลันสายตาเหลือบไปเห็นตุ่มใหญ่ใบหนึ่งนอกบ้าน เขาเข้าใจว่ากัญญ์กุลณัชเอาไว้รองน้ำฝนกิน รีบคว้าหม้อเดินออกจากบ้าน กัญญ์กุลณัชลากสังขารตัวเองออกจากเตียง ฤทธิ์ยาทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นจนเกือบเป็นปลิดทิ้ง เธอรีบออกจากห้องมามองหาชางแต่ไม่เห็นแม้แต่เงา

“โอ๊ย หายไปไหนอีกล่ะเนี่ย” กัญญ์กุลณัชบ่นกับตัวเอง เธอลงมาชั้นล่างมองซ้ายมองขวาก็ยังหาไม่เจอ เริ่มรู้สึกหวั่นใจว่าจะเกิดเรื่อง เธอมองไปรอบๆ บ้าน พลันสังเกตเห็นหลังของชางกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ที่สวนข้างบ้าน ชางกำลังเปิดฝาตุ่มน้ำ ใช้หม้อใบหนึ่งกำลังตักน้ำขึ้นมาจากตุ่ม

“ตายแล้ว” กัญญ์กุลณัชร้องเสียงหลง ขณะที่กำลังวิ่งออกไปข้างบ้าน แขนของชางถูกดึงไว้อย่างรวดเร็ว ทำให้น้ำในหม้อกระเซ็นหกเลอะเทอะเต็มกางเกง

“คุณกัญทำอะไร”

“คุณต่างหากกำลังทำอะไร”

“อั๊ว เอ้ย ผมก็กำลังจะเอาน้ำในตุ่มไปต้มยาให้คุณกินไง” ชางกำลังจะตักน้ำอีกรอบ กัญญ์กุลณัชรั้งแขนเข้าไว้อีกคราวนี้น้ำในหม้อสาดเข้าหน้าเธอไปเต็มๆ

“คุณกัญ!” ชางรีบวางหม้อ ถอดเสื้อกล้ามสีขาวเพื่อเช็ดหน้าให้เธอ กล้ามเป็นมัดๆ เผยให้เห็นเต็มตาของกัญญ์กุลณัช เธอมองซิกซ์แพ็กอย่างตาโต ภายในใจรู้สึกว่าชางหุ่นดีมาก ทั้งหล่อ ขาว สูง หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้อยู่ แถมนิสัยของเขาก็จริงใจ แสดงออกตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน ไม่ต้องเดา เหมือนชายหนุ่มหลายๆ คนที่เข้ามาในชีวิตเธอ เสื้อกล้ามของชางลูบไล้ไปตามใบหน้าที่เปรอะน้ำ ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาประชิดใบหน้าของเธออีกครั้ง และทุกครั้งที่เธอรู้สึกหลงรักสัมผัส รวมถึงลมหายใจอุ่นๆ ของเขา เหมือนเป็นลมหายใจและสัมผัสที่คุ้นเคย โหยหามาโดยตลอด

“ผมทำคุณกัญไม่สบายอีกแล้ว” ชางเริ่มรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร ฉันสบายดีแล้ว ยาเหลืออีกแค่วันนี้วันเดียวก็ครบโดส หายแน่นอน” ชางฟังกัญญ์กุลณัชพูดไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่ความหมายที่ฟังน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่หญิงสาวตรงหน้าของเขากำลังจะหายหวัด

กัญญ์กุลณัชพาชางไปเปลี่ยนเสื้อผ้าของณัฐนันท์ ชางใส่ได้พอดีเพียงแค่ฟิตไปหน่อย พี่ณัฐของเธอร่างบางกว่าชาง ชางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของกัญญ์กุลณัชที่แม้เธอจะป่วยแต่ความเป็นห่วงเป็นใยของเธอที่มีต่อเขาทำให้เขาประทับใจ ยิ่งเขาเข้าใกล้เธอมากเท่าไร ความรู้สึกคุ้นเคย สัมผัสที่เคยใส่ชิด รอยจูบที่เขาหลงรักยิ่งเพิ่มพูนขึ้นทุกเวลา ชางไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เขารอที่จะพบเจอหญิงสาวอย่างกัญญ์กุลณัช ไม่ว่าจะมีสาวที่เพียบพร้อมจากที่ป๊าคอยแนะนำหรือคนที่เขาต้องตา แต่ทว่าไม่เคยต้องใจเขาเลยสักคนเดียว กัญญ์กุลณัชเพียงได้เจอในความฝันไม่กี่ครั้ง เธอก็เหมือนรักที่เขาตามหามาทั้งชีวิต และยิ่งภาพในนิมิตที่เขาโอบกอดเธอไว้ในอดีต แม้จะเลือนราง ชางเชื่อมั่นว่าเธอคือคนรักที่เขาตามหามาตลอด เป็นส่วนหนึ่งของหัวใจที่ขาดหายไปของเขา

เสียงลงเท้าหนักๆ เป็นจังหวะเดียวกันคล้ายคนกำลังวิ่ง เสียงประตูห้องต่างๆ ถูกปิดเปิดอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเสียงเรียกชื่อกัญญ์กุลณัชดังมาเป็นระยะๆ

“เจอจนได้ แก ฉันเห็นผี” มามิที่ตื่นมาหลังจากสลบเพราะตกใจที่เห็นชาง ก็รีบวิ่งหากัญญ์กุลณัช แขนของกัญญ์กุลณัชถูกเขย่าแรงๆ “นี่แกไม่ตกใจบ้างเหรอ ผีนะ โผล่มาจากกระบี่ของแก” มามิพูดไปมองหน้ากัญญ์กุลณัช พร้อมกับมองรอบๆ กัญญ์กุลณัชจับตัวมามิหันไปหาชาง ทันทีที่สายตาของมามิปะทะกับชาง ชางยิ้มให้มามิพร้อมกับโค้งตัวทักทาย เพียงแค่นี้ก็ทำเอามามิตัวแข็งทื่อ มือชี้ไปที่ชายหนุ่ม ปากกำลังจะกรี๊ดออกมา

“แก ไม่ต้องตกใจ นี่คนไม่ใช่ผี ฉันพิสูจน์มาแล้ว” กัญญ์กุลณัชเรียกสติเพื่อน มามิมองหน้าเพื่อนสลับกับชายหนุ่ม

“คุณ นี่มามิ เพื่อนฉันเอง มามิ นี่ ชาง” ชายหนุ่มยื่นมือมาให้จับ มามิยังตกใจค่อยๆ เอานิ้วตัวเองไปจิ้มที่มือหนาๆ ของเขา เมื่อได้สัมผัสก็รับรู้ว่าเขามีเลือดเนื้อไม่ใช่ผีหรือวิญญาณอย่างที่เธอตกใจ มามิจับมือชางหมุนไปหมุนมา พลิกซ้ายขวาสำรวจว่าไม่ใช่ผีอย่างที่เธอคิด

“ทำเอาตกใจหมด แต่นี่แก เรื่องจริงเหรอที่นายคนนี้มาจากกระบี่” มามิยังไม่อยากจะเชื่อ “ฉันนึกว่าจะมีแต่ในนิยาย”

“นิยาย คืออะไร” ชางไม่เข้าใจ

“ก็ในหนังสือนั่นแหละคุณ” กัญญ์กุลณัชบอก ชางพยักหน้ารับ

“ขอยืมตัวยัยกัญก่อนนะคะ คุณชาง” มามิบอกเสียงหวาน เพราะมองหน้าชางใกล้ๆ แล้วเหมือนพระเอกหนังจีน หล่อ ขาว สูง กล้ามเป็นมัดๆ ครบจบในคนเดียว

“คุณไปรอในห้องฉันก่อน เดี๋ยวฉันตามไป” ชางพยักหน้ารับคำสั่งกัญญ์กุลณัช

 

“นี่น่ะเหรอที่แกเล่าให้ฉันฟัง หนุ่มในฝัน” มามิยิ้มไม่หุบ “ฉันขอเอาไปเขียนในนิยายเรื่องใหม่ของฉันเลยนะ” เธอตื่นเต้นมาก ผิดกับกัญญ์กุลณัชที่ครุ่นคิดจะบอกที่บ้านยังไง “สีหน้าแกดูไม่ดีใจเลยนะ”

“ก็ไม่รู้จะบอกที่บ้านยังไงว่าจู่ๆ ก็มีผู้ชายจากไหนไม่รู้โผล่มาในห้องนอนตัวเอง”

“แต่บ้านแกก็ไม่มีใครอยู่แล้วนิ กว่าจะกลับก็อีกนาน เดี๋ยวนายชางสุดหล่อก็กลับไปเอง” มามิพูดจบก็จับสังเกตสีหน้าเพื่อนตัวเองได้ “หรือว่าแกไม่อยากให้เขากลับไป”

กัญญ์กุลณัชพยักหน้ารับ “เออน่ะสิ ฉันไม่เคยรู้สึกกับใครแบบหมอนี่มาก่อนเลย มันเป็นความรู้สึกโหยหา คิดถึง อบอุ่น แต่ก็รู้สึกเหมือนใจหายเป็นช่วงๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยฝันประหลาดว่ากอดเขาแต่เหตุการณ์ดูโบราณมากๆ”

“ฉันว่าแกสองคนต้องผูกพันกันมาก่อนแน่ๆ กระบี่เล่มนี้น่าจะมีประวัติอะไรสักอย่าง แกลองสืบดูสิเผื่อได้รู้อะไรเพิ่มเติม” มามิตั้งข้อสังเกต กัญญ์กุลณัชคิดตาม

ภายในห้องกัญญ์กุลณัช ชางเดินเข้ามาด้วยความคุ้นชินหลังจากที่หมกตัวอยู่ในห้องนี้ 3 วันก่อนหน้าที่ไม่เคยแตะต้องอะไร วันนี้เขาเริ่มปรับตัวได้มากขึ้น ชางหยิบรีโมตสีดำขนาดพอดีมือขึ้นมาดูพบกับปุ่มตัวเลข สัญลักษณ์แปลกๆ เต็มไปหมด แถมยังมีภาษาประหลาดที่เขาไม่เข้าใจ มือซนของเขาก็ไม่อยู่นิ่งกดปุ่มสีแดงลงไปเต็มๆ ทีวีเครื่องใหญ่ปลายเตียงของกัญญ์กุลณัชเปิดขึ้น มีทั้งภาพและเสียงประหลาด ชางตกใจหลบไปมุดอยู่ข้างๆ เตียง มือกดปุ่มไปเรื่อยๆ เพื่อปิดภาพและเสียงประหลาด ทว่ายิ่งกดก็ยิ่งเห็นภาพต่างๆ เปลี่ยนไป จนกระทั่งกลายเป็นซีรีส์หนึ่งในช่องที่กัญญ์กุลณัชเปิดทิ้งไว้ ชางเห็นภาพชายคนหนึ่งกำลังจะหยิบดาบขึ้นมา ภาพนั้นซูมหน้าเปื้อนเลือดเต็มไปหมด ดาบในมือกระชับขึ้นเหนือหัว ชางรีบกระโดดไปคว้ากระบี่ดำดอกโบตั๋นมาถือไว้ในมือ ชายหนุ่มในซีรีส์กำลังจะวิ่งเข้ามาแทงชายอีกคนในเรื่อง ชางตะโกนห้ามเสียงดัง จนกัญญ์กุลณัชกับมามิตกใจต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก

“ตาบ้านั่นทำอะไรอีก” กัญญ์กุลณัชบ่น หญิงสาวทั้ง 2 รีบวิ่งมาที่ห้อง เห็นชางกำลังง้างกระบี่พุ่งตรงไปที่ทีวีของเธอ กัญญ์กุลณัชรีบวิ่งเข้าไปหยิบรีโมตกดปิดทีวีได้ทันก่อนที่จะได้ซื้อทีวีเครื่องใหม่

“คุณทำอะไรของคุณ” ชางมองทีวีที่ดับไปสลับกับกัญญ์กุลณัช ยังตกใจไม่หาย

“ก็ผมเห็นคนกำลังจะตรงมาฆ่าผม”

“โอ๊ยคุณ นี่มันคือทีวี” ชางไม่เข้าใจ กัญญ์กุลณัชเปิดทีวีขึ้นมาอีกครั้งภาพเก่ายังค้างอยู่ ทว่าเป็นภาพนิ่งที่ชายในทีวีไม่ขยับ

“เอ้ย เขาไม่ขยับตัว” มามิอดขำไม่ได้

“คุณชางคะ นี่คือซีรีส์ คือหนัง เป็นการถ่ายทำภาพยนตร์เพื่อให้คนได้รับชม รับฟัง เรื่องที่เกิดขึ้นในนี้เป็นเรื่องสมมติ แต่งขึ้น ทั้งหมดก็เป็นสเปเชียลเอฟเฟกต์ทั้งนั้น” มามิยิ่งพูดคนฟังก็ยิ่งงง

“มันก็เหมือนเล่นงิ้วในยุคของคุณ แค่ยุคนี้เขาสามารถบันทึกเก็บไว้ดูได้เท่านั้น” กัญญ์กุลณัชขยายความสั้นๆ ชางยังไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็เลิกกลัวไปเมื่อรับรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง

“ฉันพอจะเข้าใจแกแล้วละ ยัยกัญ เรื่องใหญ่แน่ๆ งานนี้” มามิปวดหัวแทน เมื่อเห็นชางที่กำลังสนุกสนานเหมือนเด็กๆ ที่กำลังดูทีวีอย่างไม่วางตา พร้อมกับแบมือขอรีโมตคืนจากกัญญ์กุลณัช

“เออ คุณกัญ เมื่อกี้ผมเห็นบ้านคุณมีของเก่าเยอะแยะ แต่บางอันก็ปลอมนะ คุณไปได้มาจากไหน” ชางพูดขึ้นลอยๆ ไม่ได้สนใจอะไร ผิดกับกัญญ์กุลณัชที่ตกใจหนักมากเพราะของเก่าทุกชิ้นประมูลมาได้จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ อีกทั้งแม่ของเธอก็เป็นคนเช็กเองอย่างละเอียด “ถ้าคุณมีอะไรให้ผมช่วยเรื่องของพวกนี้บอกได้เลย ถือว่าเป็นคำขอบคุณที่คุณดูแลผมที่นี่” ชางพูดไปกดรีโมตเปลี่ยนช่องไป

“ฉันรู้แล้วว่าจะหาทางออกเรื่องนี้ยังไง” กัญญ์กุลณัชพูดกับมามิ

 

ห้องสีครีมสะอาดตาถูกทำความสะอาดอย่างเรียบร้อย ถังน้ำที่มีน้ำสีเทาหม่นกับผ้าขี้ริ้วผืนหนึ่งพาดไว้ เหงื่อเต็มตัวชายหนุ่มกล้ามแน่นที่บัดนี้เหลือเพียงกางเกงหนึ่งตัวเพื่อทำความสะอาดเท่านั้น ผมเผ้าเปียกคล้ายหนุ่มญี่ปุ่นที่ชอบทำผมสไตล์เวดลุคมากๆ ชางเป็นคนเสนอตัวทำความสะอาดห้องด้วยตัวเอง ทั้งที่กัญญ์กุลณัชและมามิเสนอตัวที่จะช่วยเหลือ แต่เขาเป็นผู้อาศัยจะให้หญิงสาวทำก็ดูจะไม่เหมาะ ชางไม่ค่อยได้ทำความสะอาดบ้านเท่าไรนักเพราะงานบ้านเป็นงานของผู้หญิง แต่กัญญ์กุลณัชทำให้เขาเปลี่ยนไป เขาเห็นพ่อของเธอคอยช่วยแม่ปัดกวาดเช็ดถูเล็กๆ น้อยๆ แม้บ้านเธอจะมีแม่บ้านอยู่แล้ว แถมเขายังเห็นพ่อล้างรถเครื่องด้วยตนเองอีก ชางจึงอยากให้กัญญ์กุลณัชประทับใจในตัวเขา

“ผมขอทีวีห้องคุณกัญด้วยได้ไหม” ชางยิ้มพร้อมกับเหงื่อที่ไหลเป็นน้ำ รอยยิ้มเซ็กซี่ของเขาทำเอาหญิงสาวแทบละลาย กัญญ์กุลณัชยืนตาค้างจ้องมองหน้าหล่อๆ ของเขาพร้อมกับกล้ามที่เต็มไปด้วยเหงื่อ ทำเอามามิต้องกระทุ้งศอกใส่เพื่อเรียกสติ

“สายตาเธอจะกินเขาไปทั้งตัวแล้วจ๊ะเพื่อน” มามิกระซิบ

“บ้า” กัญญ์กุลณัชหันมาตีมามิเบาๆ กลบเกลื่อนหน้าแดงระเรื่อ

“ห้องนี้ก็มี เดี๋ยวฉันสอนเปิดปิดให้”

ระหว่างที่ทั้ง 3 คนอยู่ในห้องรับแขก เสียงประหลาดคล้ายคนเดินบนหินเป็นจังหวะเบาๆ ชางได้ยินก็เริ่มตั้งสติ เงี่ยหูฟัง เขานิ่งไปสักพักจนแน่ใจว่าเสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงฝีเท้าของคนแน่นอน แต่ทว่าหญิงสาวทั้งคู่ไม่มีใครทันสังเกต

“มีอะไรหรือเปล่า” กัญญ์กุลณัชเห็นชางเงียบไป

“วันนี้บ้านคุณกัญมีใครอยู่บ้าง” ชางถามเสียงนิ่งเรียบและแผ่วเบา

“มีแค่เราสามคน ทำไมเหรอ” กัญญ์กุลณัชเริ่มสงสัย

“ผมว่าเรามีแขกไม่ได้รับเชิญ” ชางเดินไปปิดไฟห้องรับแขกลง พยายามทำทุกอย่างให้อยู่ในความสงบ เขาค่อยๆ พาตัวเองมาที่ริมระเบียงเพื่อสังเกตการณ์หน้าบ้านของกัญญ์กุลณัช หญิงสาวทั้ง 2 ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ค่อยๆ ย่องตามเขามาติดๆ สายตาของทั้ง 3 คนเห็นชายแปลกหน้าสวมผ้าคลุมเพื่อปิดบังใบหน้าเดินอยู่ กำลังมุ่งตรงมาที่ประตูบ้าน ชางให้กัญญ์กุลณัชและมามิรออยู่ในห้องรับแขก เขาเดินออกจากห้องเพื่อสังเกตการณ์ว่าชายมีผ้าคลุมหน้าต้องการอะไร เสียงสะเดาะกุญแจดังขึ้น แขกผู้มาเยือนเหมือนรู้ว่าบ้านหลังนี้จะไม่มีใครอยู่ และรู้ว่าตรงไหนควรที่จะเดินไปหรือตรงไหนมีอะไร ผู้ไม่ได้รับเชิญมองซ้ายมองขวา เดินมุ่งหน้าขึ้นชั้น 2 ที่ชางอยู่ทันที ชางเข้ามาแอบอยู่ในห้องของกัญญ์กุลณัชซึ่งเป็นห้องในสุดด้านซ้ายมือ ผู้ไม่ได้รับเชิญไม่ลังเลที่จะมุ่งตรงมายังห้องสุดท้ายเช่นกัน หญิงสาวทั้ง 2 แอบดูก็รู้สึกคุ้นกับบุคลิกท่าทางของไอ้โม่งคนนี้

ประตูห้องกัญญ์กุลณัชถูกเปิดออกอย่างแผ่วเบา สายตาของผู้ไม่ได้รับเชิญกวาดไปทั่วห้องคล้ายกำลังหาบางสิ่งบางอย่าง แสงไฟดวงเล็กๆ ถูกเปิดขึ้นเพื่อหาบางสิ่งที่ต้องการจากความมืด แสงสว่างถูกฉายไปทั่วห้องจนพบสิ่งที่ต้องการบนโต๊ะทำงานของกัญญ์กุลณัช แขกผู้ไม่ได้รับเชิญเดินไปยังเป้าหมายโดยไม่รู้เลยว่าชางแอบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทำงานตัวนั้นและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด รวมทั้งหญิงสาวที่แอบดูอยู่ที่ประตูด้วยเช่นกัน มือของแขกไม่ได้รับเชิญกำลังจะหยิบกระบี่ดำดอกโบตั๋นที่วางอยู่บนโต๊ะ ทว่ามือต้องชะงักไปด้วยความตกใจ ใจหายที่จู่ๆ ก็มีมือของชางจับข้อมือของแขกไม่ได้รับเชิญทันที

“เฮ้ย” เสียงตกใจของผู้ไม่ได้รับเชิญตะโกนขึ้น แม้จะไม่ดังมากแต่หัวใจแทบตกไปที่ตาตุ่ม แสงไฟสว่างจ้าขึ้นภายในห้องกัญญ์กุลณัชทันที หญิงสาว 2 คนยืนบังประตูห้องไว้พร้อมกับเปิดไฟและอาวุธในมืออย่างไม้เบสบอลในมือกัญญ์กุลณัชกับไม้กวาดในมือของมามิ

“ลื้อเป็นใคร คิดจะมาขโมยกระบี่เล่มนี้ทำไม” ชางจับข้อมือนั้นบิดด้วยความรุนแรงจนผู้ไม่ได้รับเชิญร้องโอดครวญ สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ชางสูงและกำยำกว่าหลายเท่านัก เมื่อขโมยไม่ตอบ ชางกระแทกเข่าเข้าไปที่หลังหน้าแข้ง ผู้ไม่ได้รับเชิญทรุดตัวเข่ากระแทกพื้นอย่างแรง ข้อมือถูกบิดคราวนี้โดนรวบไปทั้งแขนจนแทบจะหัก เสียงกระดูกดังกริ๊ก ความแสบและความเสียวของแรงเสียดสีระหว่างเส้นเอ็นและกระดูกเกาะกุมไปทั่วร่างกายจนดิ้นไม่ออก กัญญ์กุลณัชอยากรู้ว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้าเป็นใคร เธอเดินมุ่งตรงมาพร้อมไม้เบลบอลในมือ พยายามเอาผ้าคลุมหน้าออก ผู้ไม่ได้รับเชิญพยายามหลบหลีก แต่ชางล็อกคอไว้เพื่อไม่ให้หนี ผ้าคลุมหน้าถูกถอดออก ผมสีน้ำตาลทองปรากฏให้เห็นเด่นชัด

“เควิน!” กัญญ์กุลณัชตะโกนออกเสียงดัง

 

 



Don`t copy text!