หัวใจมังกร บทที่ 13 : อดีตของฉัน ปัจจุบันของเรา

หัวใจมังกร บทที่ 13 : อดีตของฉัน ปัจจุบันของเรา

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

เสียงมอเตอร์ไซค์วิ่งกันขวักไขว่บนถนนแคบๆ หน้าตึกริมน้ำขนาดใหญ่ กระจกสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ แสงแดดแรงๆ ในช่วงสายของวันเริ่มกระจายความร้อนไปทั่วบริเวณ ร้านค้าริมทางเนืองแน่น กลิ่นหอมของก๋วยเตี๋ยวไก่มะระแตะจมูกใครหลายคนจนโต๊ะเต็มไปหมด ร้านน้ำชงคนแก้วดังไม่หยุด เสียงทอดกระทะเล็กๆ กำลังทำให้ลูกชิ้นเสียบไม้พองเต็มเตา

เสียงสูดเส้นดังกระหึ่มเหมือนกำลังเล่นวงมโหรีความอร่อย เหงื่อหยดจนเสื้อผ้าเปียก แต่ไม่มีใครวางมือจากตะเกียบเลยสักคนรวมทั้งชาง ชามก๋วยเตี๋ยวถูกเสิร์ฟมาเรื่อยๆ นับๆ ดูเป็นชามที่ 3 เห็นจะได้ กัญญ์กุลณัชมองหน้าชายหนุ่มตรงหน้าอย่างมีความสุข ชางกินอร่อยจนหลายคนเริ่มมอง เส้นบะหมี่ถูกคีบเข้าปากอย่างไม่กลัวความร้อนใดๆ ทว่าเหมือนเจ้าตัวจะเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนมองก็ผ่านเวลาไปนานอยู่พอสมควร น้ำซุปถูกยกซดจนหยดสุดท้าย

“อาตี๋ ต่ออีกไหม” เจ้าของร้านตะโกนถาม

“อิ่มแล้วครับเถ้าแก่” ชางตอบอย่างรู้ว่าเจ้าของร้านถามเขาแน่นอน และก็ใช่จริงๆ เพราะทุกคนที่นั่งอยู่ต่างมองชางเป็นตาเดียว ชางยิ้มหล่อๆ แก้เขิน

“คุณกัญกินน้อยจัง”

“กินขนาดคุณก็ไม่ไหวนะ” กัญญ์กุลณัชขำๆ เธอรู้สึกเป็นตัวของตัวเองทุกครั้งที่อยู่กับชาง เธอไม่จำเป็นต้องแสดงหรือแกล้งทำ ไม่ต้องสนใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง เธอไม่เคยได้กินอาหารสตรีตฟูดแบบนี้กับเควินเลยสักครั้ง เขามักจะมองเหยียดและทำท่าทางอวดรวยเวลานั่งกินข้าวกับเธอเสมอ ผิดกับชางต่อให้เธอกินเลอะเทอะ น้ำซุปกระเด็น เขากลับหยิบทิชชูคอยเช็ดปากให้เธอ อีกทั้งมีเสียงหัวเราะเสมอเวลาผักติดฟัน เรื่องเล็กๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ กัญญ์กุลณัชรู้สึกว่าความรักจริงๆ อาจไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าความเข้าใจที่มีให้แก่กัน

ลูกชิ้นเสียบไม้เรียงรายอยู่ในถุงหูหิ้ว ลูกชิ้นปลา ลูกชิ้นหมู ไส้กรอก ปูอัด ราดด้วยน้ำจิ้มหวานปนเผ็ดอยู่ในมือชางเรียบร้อย โดยมีกัญญ์กุลณัชคอยถือแก้วน้ำที่เขาสนใจอยากลองกินน้ำโซดาอย่างแดงมะนาวโซดาเป็นครั้งแรก ความซ่าของโซดาปาดปากชางไปเต็มๆ ในอึกแรก แต่กลับกลายเป็นความสดชื่นที่เขาชื่นชอบ ชางตื่นตาตื่นใจกับบ้านเรือนทั้ง 2 ฝั่ง

กัญญ์กุลณัชเป็นคนนำทางพาชางไปดูบ้านเรือนตามทาง ยิ่งลึกเข้าไปความคุ้นตาของชางก็ยิ่งมากขึ้น เขาพอจะจำตรอกซอกซอยได้บ้างที่เป็นตรอกยาพี้ หรือตรอกชุมชนคนจีนแถวบ้านของเขา แต่ตอนนี้บ้านเรือนเปลี่ยนไปมาก มีตึกแปลกตาเรียงรายติดต่อกัน บ้างก็เป็นห้องไม้เก่าขายกาแฟหรือที่กัญญ์กุลณัชบอกเขาว่ามันคือคาเฟ่ ชางเดินตามกัญญ์กุลณัชไปเรื่อยๆ ความคุ้นเคยเริ่มก่อตัว กำแพงรั้วขนาดใหญ่ประดับด้วยลายเส้นสายน้ำ ต้นไม้ ดอกไม้ และภูเขาเป็นกำแพงที่คุ้นตา เขาจำได้ว่านี่คือกำแพงเรือนอาศัยของเขาเอง แต่กลับทรุดโทรมจนแทบจำไม่ได้ ลายเส้นสีบนกำแพงจางหายไปแทบจะหมดสิ้น อย่างดอกไม้ที่ประดับอยู่บนกำแพงตอนนี้ก็ไม่มีเสียแล้ว ประตูไม้สีแดงไม่สดเหมือนตอนที่เขาอยู่ กลับกลายเป็นสภาพพุพังจนต้องค้ำยัน ภาพลายมังกรลายนกที่บินสีกร่อนล่อนออกมาจากกำแพง ชางมองไปด้านบนมีตัวอักษรภาษาจีนสีทอง 富 (ฟู่) ที่แทบจะมองไม่เห็นถ้าไม่ได้เพ่งดู ตรงปากทางเข้ามีป้ายเล็กๆ เขียนไว้เหมือนมีร้านคาเฟ่อย่างที่กัญญ์กุลณัชพูด สระบัวตรงกลางหายไปกลายเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่เขียนป้ายไว้ว่า ‘สอนดำน้ำ’ ชางตาแดงๆ เหมือนมีน้ำคลออยู่ กัญญ์กุลณัชจับมือเขาเบาๆ

“ผมขอเดินดูรอบๆ ได้ไหม” กัญญ์กุลณัชพยักหน้า เธอเดินเข้าไปจัดการค่าเข้าชมให้ชางและตัวเอง

เรือนไม้ขนาดใหญ่กินพื้นที่หลายตารางวา เรือนยกสูงขึ้นมีใต้ถุนเรือนที่กลายเป็นที่เก็บของขนาดใหญ่ พื้นไม้พุพังจนต้องเดินอย่างระมัดระวัง ชานเรือนทรุดตัวลงจนมีป้ายติดห้ามเข้า ห้องปีกด้านขวาที่เคยเป็นที่ห้องนอนของเขากับชุนบัดนี้ถูกปิดคล้องด้วยโซ่ลงกุญแจดอกใหญ่ไว้ ชางมองไปข้างในเห็นข้าวของคุ้นตามากมายกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น เขาเดินมาถึงโถงกลางเรือนขนาดใหญ่ยังมีเต็งลั้งแขวนเอาไว้ ที่ประตูมีสลักข้อความภาษาจีนทิ้งไว้จนบัดนี้อ่านแทบไม่ออก เรือนใหญ่ทรุดเอนไปด้านหลัง ห้องต่างๆ ถูกปิดผนึกไว้จนมองไม่เห็นข้างใน ทว่าเก้าอี้ที่คุ้นตายังคงวางอยู่ที่เดิม กรอบรูปบางรูปยังคงตั้งไว้แต่รูปในนั้นเขากลับไม่รู้จัก ปีกอีกด้านของเรือนถูกปิดตายไว้เช่นกัน แต่เรือนของถิงถิงกลับเข้าไปดูไม่ได้

“นี่คือเรือนของผม” เสียงชางสั่น “หรือเพราะผมไม่อยู่ เรือนของผมเลยมีสภาพแบบนี้” ชางเป็นห่วงครอบครัวของเขา

“ใจเย็นๆ นะคุณ ตามประวัติที่นี่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี เป็นมรดกตกทอดกันมาหลายรุ่นเลยนะ” กัญญ์กุลณัชพาชางไปอ่านประวัติที่ป้ายแนะนำสถานที่ ชางตั้งใจอ่านจนจบ เขาไม่รู้เลยว่าตัวเขาเองเป็นต้นตระกูลของที่แห่งนี้ ภาพของเขากลายเป็นอดีตในวันนี้ไปเสียแล้ว

“ผมเป็นอดีตของที่นี่ ผมควรกลับไปอยู่ในที่ที่ผมควรอยู่มากกว่า ป๊าม้าน้องชายผมจะเป็นยังไงถ้าผมไม่อยู่ ต้องตกอยู่ในสภาพไหนกัน” ชางทรุดเข่านั่งลงที่ขั้นบันไดบ้าน

“แต่ตอนนี้คุณเป็นปัจจุบันของฉันนะ” กัญญ์กุลณัชจับมือชาง

“แล้ววันนึงผมจะเป็นอดีตของคุณไหม คุณกัญ ผมไม่อยากเป็นอดีต ผมอยากมีตัวตนในปัจจุบันของคุณตลอดไป” ชางจับมือกัญญ์กุลณัชแน่น กัญญ์กุลณัชหยิกแก้มชางทั้ง 2 ข้างคล้ายหยอกล้อเพื่อให้เขายิ้ม

“นี่ไงคุณมีตัวตน คุณคือปัจจุบันของฉัน” กัญญ์กุลณัชพูดจบก็ขโมยหอมแก้มชายหนุ่มไปหนึ่งฟอด ทำเอาชางเขินและยิ้มได้ “อย่าเพิ่งคิดอะไรไปไกลเลยนะคุณ อนาคตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น วันนี้ที่เราได้เจอกันถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตฉันเลยนะ” กัญญ์กุลณัชเผลอพูดออกไปตามความรู้สึกตัวเอง พอฉุกใจนึกได้ก็เห็นชายหนุ่มตรงหน้ามองจ้องเธออย่างไม่ละสายตา

“ผมอยากอยู่กับคุณกัญตลอดไป” ชางจับมือกัญญ์กุลณัช คำพูดทุกอย่างถูกถ่ายทอดผ่านสายตาและภาษากายเหล่านั้นจนหมดสิ้น

 

คืนนี้ช่างยาวนานเหลือเกินสำหรับชุน หลังจากที่ป๊ากับม้าเข้าห้องนอนของตนเองจนบ้านปิดไฟกันเกือบหมดเรือน เหลือเพียงไฟเล็กๆ น้อยๆ ตามเต็งลั้งที่คอยส่องสว่างให้เรือนไม่มืดเกินไป ชุนออกมานั่งริมสระบัวถอนหายใจ ครุ่นคิดเครียดถึงจดหมายที่เฮียเหลียงให้เด็กวิ่งมาส่ง ถึงเวลานัดเจอช่วงเที่ยงคืนนี้ ซึ่งคือในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ชุนพาตัวเองที่หนักอึ้งออกจากเรือนตระกูลฟู่ตรงไปที่ตรอกยาพี้ ค่ำคืนที่เงียบสงัด ไร้ผู้คนกลับมีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งกำลังสุมหัวรวมตัวกันอยู่เป็นเงาดำภายในตรอก

“มาแล้วเหรอไอ้ลูกหมา” เหลียงตบไหล่ชุน

“เฮียมีไรก็ว่ามา อั๊วไม่อยากอยู่นาน” ชุนสะบัดตัวออกจากเหลียงอย่างไม่พอใจ

“คืนนี้ลื้อต้องเดินยาให้พวกอั๊ว” เหลียงและสมุนยืนล้อมรอบตัวชุนอย่างกดดัน เหลียงยัดถุงยาภายในมีฝิ่นเป็นจำนวนมากใส่มือชุน “อย่าให้โปลิศมันจับลื้อได้ก็พอ” เหลียงหัวเราะอย่างสะใจ เขาเตรียมการกับโปลิศที่รู้จักกัน เมื่อไหร่ที่ชุนส่งฝิ่น ชุนจะโดนล้อมจับทันที

“อั๊วไม่ทำ เรื่องอะไรต้องเสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง” ชุนปล่อยให้ฝิ่นในมือตกพื้น เหลียงขยับมาใกล้ๆ กระซิบอย่างแผ่วเบา

“ไม่งั้นเรื่องลื้อกับถิงถิงรู้ถึงอาแปะแน่” เสียงหัวเราะเหลียงดังสะใจ ผิดกับคนฟังที่หน้าบอกบุญไม่รับ

“แล้วอั๊วต้องไปส่งที่ไหน” เหลียงยิ้มพอใจ เข้าตามแผนที่เขาวางไว้

 

เรือขนาดใหญ่แล่นกันอยู่ทั่วผืนน้ำ น้ำสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวจนเกิดระลอกคลื่นซัดเข้าหาตลิ่ง คันกั้นน้ำเต็มไปด้วยตะไคร่ เสียงเรือหางยาวนำขบวนลากเรือบรรทุกทรายขนาดใหญ่ เรือโดยสารข้ามฟากแล่นฝ่ากลางลำน้ำด้วยความชำนาญ ผิดกับคนบนเรือที่กำลังพะอืดพะอมจนต้องถือถุงพลาสติกติดมือไว้ ชางหน้าซีดจนไม่มีชิ้นดี เรือข้ามฟากแล่นทะยานสู่กลางลำน้ำเจ้าพระยา ชางจับมือกัญญ์กุลณัชแน่นอีกมือถือถุงพลาสติกไว้แน่นเช่นเดียวกัน สายตาคนบนเรือต่างมองชางเป็นตาเดียว

“คุณนี่ใช้ไม่ได้เลย” กัญญ์กุลณัชล้อ

“บ้านเมืองคุณนี่อันตรายสุดๆ” ยังไม่ทันขาดคำ เรือข้ามฟากจอดที่โป๊ะกระแทกยางรถยนต์ที่ผูกไว้พอดีกับของในกระเพาะอาหารชางที่ออกมา

“ขอบคุณพื้นดิน” ชางแทบจะลงไปกราบพื้น ขาสั่นเหมือนเดินขึ้นเขาสัก 3 ลูก

“ไปหาอะไรกินกัน ฉันว่าคุณน่าจะเอาออกไปหมดเกลี้ยงท้องแล้วละ”

แสงไฟสว่างระยิบระยับตกแต่งให้ตึกเบื้องหน้าสวยงาม ทอแสงสีทองไปทั่วพื้นที่ น้ำพุเต้นระบำเล่นกับแสงไฟยามเย็นเป็นจังหวะเพลงอย่างสวยงาม ชางยืนมองด้วยความประทับใจ กัญญ์กุลณัชแนะนำไปพลางพาชางเดินชมไปพลาง ชางถือวิสาสะจับมือเธอ ปฏิกิริยาของเธอไม่ได้ขัดขืนหรือรังเกียจทำให้ชางกุมมือเธอไว้อย่างหวงแหน ห้างใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งตระหง่านต้อนรับนักท่องเที่ยว ขาช็อป ขากินดื่ม ทั้งไทยและต่างประเทศ ผู้คนมากหน้าหลายตาเดินกันขวักไขว่

“เอ้านี่” กัญญ์กุลณัชแวะไปซื้อกระปุกยาดมขนาดเล็กมายื่นให้ชาง “เปิดฝาแล้วดม คุณจะรู้สึกดีขึ้น” ชางทำตามอย่างว่าง่าย สูดดมครั้งแรกเหมือนจะแรงไปหน่อยแสบไปถึงตาจนต้องสำลักหลับตา แต่พอจมูกได้รับรู้ถึงกลิ่นหอมๆ ชวนผ่อนคลาย ต่อๆ มาเหมือนจะชื่นชอบไม่น้อย

“หอมจัง” ชางพูดใกล้ๆ กัญญ์กุลณัช

“แน่นอนสิ ยาดมยี่ห้อนี้ขึ้นชื่อจะตาย”

“หมายถึงคุณน่ะ หอมจัง” ชางพูดใกล้ๆ ต้นคอหญิงสาว

“หายเมาเรือก็พูดเก่งเลยนะ แล้วอยากกินอะไร ฉันจะได้พาไปกินถูก”

ภายในห้างตกแต่งอย่างหรูหรา โคมไฟระย้าห้อยลงมาต้อนรับ มีร้านค้าตั้งอยู่มากมาย ไหนจะเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แม้กระทั่งรถเครื่องหรือรถยนต์อย่างที่กัญญ์กุลณัชเคยบอก แถมยังมีแท่งอะไรดำๆ ที่เคลื่อนที่จากบนลงล่าง ล่างขึ้นบน ผู้คนต่างพากันไปยืน

“ไปชั้นบนกัน” กัญญ์กุลณัชเดินนำไปที่แท่งสีดำขนาดใหญ่ ผู้คนต่างก้าวเท้าขึ้นไปยืนบนนั้นอย่างง่ายดาย ชางยืนดูสักพักรู้สึกลายตา จับจังหวะก้าวขาไม่ถูก พอเอามือไปจับราวบันไดสีดำ แขนกลับถูกลากขึ้นไป ชางตกใจทำอะไรไม่ถูก ขาพันกันเป็นพัลวัน จนกัญญ์กุลณัชต้องดึงตัวกลับมา ชางกอดกัญญ์กุลณัชไว้แน่นเหมือนแม่พาลูกขึ้นบันไดเลื่อนครั้งแรกก็ไม่ปาน ทำเอาคนแถวนั้นกลั้นขำกันยกใหญ่

“ก้าวตามฉันก็พอ” กัญญ์กุลณัชจับมือชาง ชางมองขากัญญ์กุลณัชไว้ก้าวตามเธออย่างช้าๆ ชั่วพริบตาเขาก็ขึ้นมายืนบนขั้นบันไดสีดำตัดเหลือง

“นี่เรียกว่าบันไดเลื่อน บันไดเลื่อนจะคอยพาเราขึ้นลงโดยที่เราไม่ต้องออกแรงเดินขึ้นบันได” กัญญ์กุลณัชอธิบาย

“ทำไมเขาไม่ใช้บันได” ชางไม่เข้าใจ

“เพราะมันสะดวกสบาย ประหยัดแรง บันไดเลื่อนทำให้คุณไม่เหนื่อยใช่ไหมล่ะ” ชางหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับสูดยาดมไปด้วย ก็รู้สึกสบายอย่างที่หญิงสาวบอกจริงๆ กัญญ์กุลณัชขำกับความป้ำๆ เป๋อๆ ของชาง คิดในใจหากพาขึ้นลิฟต์ไม่ตกใจกว่านี้หรือ นึกขำก็อยากจะแกล้ง เธอนำเขาไปยังลิฟต์ที่อยู่ไม่ไกล เป้าหมายคือชั้นบนสุด ไม่นานเสียงของลิฟต์ก็ดังขึ้น ประตูลิฟต์สีทองสวยงามเปิดออกข้างในมีคนยืนอยู่ภายในกล่องเหล็กขนาดใหญ่ ชางมองซ้ายมองขวาไม่รู้จัก กัญญ์กุลณัชลากเขาเข้าไปในลิฟต์ประตูลิฟต์ก็ปิดทันที หมายเลขชั้นถูกกด เขาสัมผัสได้ว่ากล่องเหล็กกำลังถูกยกให้สูงขึ้น ชางเริ่มรู้สึกสนุกเขากดเลขปุ่มที่แผงวงจรเสียทุกชั้น โชคดีเหลือเกินที่คนข้างในเหลือแค่ชายหญิงคู่หนึ่งเท่านั้นและออกที่ชั้น G กลับกลายเป็นกัญญ์กุลณัชที่หวังจะแกล้งกลับโดนชางกดปุ่มเล่นเสียทุกชั้นกว่าจะถึงชั้นบนสุดเล่นเอาเธอปวดหัวแทน

ไม่นานนักอาหารอิตาเลียนก็ถูกเสิร์ฟอยู่ตรงหน้าทั้ง 2 คน มีทั้งพิชซ่า สปาเกตตี ขนมปัง ซุป หรือแม้กระทั่งแซลมอนยำที่ดูจะต่างจากพวกก็วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะอาหาร ชั้นดาดฟ้าเผยให้เห็นคุ้งน้ำสวยงามตึกรามบ้านช่องประดับไฟระยิบระยับ ลมเย็นๆ พัดมาเป็นระยะ ชางมองอาหารตรงหน้าอย่างไม่คุ้นเคย

“ลองดูสิคุณ อร่อยนะ” กัญญ์กุลณัชตักพิชช่าใส่จานตรงหน้าชายหนุ่ม เขาไม่ใช่ผู้เริ่มรับประทานอาหารคนแรก ชางมองไปรอบๆ เห็นบางคนใช้มีดตัดแล้วใช้ส้อมพาอาหารเข้าปาก บางคนใช้มือหยิบพิชซ่าที่กัญญ์กุลณัชเรียกกิน เขาเงอะงะรอดูว่าหญิงสาวจะกินอย่างไร เธอเห็นปฏิกิริยาของชางก็พอจะเข้าใจ เธอหยิบพิชซ่ายื่นไปให้ชาง ชายหนุ่มชะงักเล็กน้อยก่อนจะอ้าปากโดยอัตโนมัติ รสชาติพิชซ่าคำนี้อร่อยมัดใจเขาเต็มๆ

“ผมอยากให้คุณป้อนทุกคำ” ชางพูดไปเคี้ยวไป

“เกินไปละคุณ แล้วฉันจะได้กินตอนไหน” กัญญ์กุลณัชยังพูดไม่จบ ชางหยิบพิชซ่าขึ้นมาบ้างแล้วยื่นไปที่กัญญ์กุลณัช เธอยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะกินคำนั้นเข้าไป พิชซ่าที่กินมาไม่รู้กี่ถาดเทียบไม่ได้กับพิชซ่าแค่คำนี้คำเดียว

“มันไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าอาหารอร่อยไหม มันขึ้นอยู่ว่าเรากินอาหารพวกนี้กับใครมากกว่า สำหรับผม อาหารจะถูกจะแพง อร่อยหรือไม่อร่อย แต่ถ้าได้กินกับคนที่ผมรัก ทุกอย่างก็อร่อยเสมอ” ชางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง สายตาของเขามั่นคงและซื่อตรงกับคำพูดจนคนฟังแทบจะเขินจนมุดแผ่นดินหนี กัญญ์กุลณัชยัดพิชซ่าในมือใส่ปากชางจนแก้มตุ่ย เธอยิ้มรับกับคำพูดและทุกๆ อย่างของเขา จนตอนนี้กัญญ์กุลณัชรู้สึกได้ว่าเธอเริ่มจะกลัว กลัวว่าชางจะหายไป

หนึ่งวันของชางหมดลง สภาพสะบักสะบอม ทั้งเขาและเธอกลับบ้านด้วยสภาพอิดโรย เป็นวันที่เหนื่อยแต่สนุกของชาง เสียงหัวเราะกะหนุงกะหนิงเดินเข้าบ้าน ทว่าเมื่อก้าวเข้ามากลับเจอณัฐนันท์ยืนเป็นยักษ์ปักหลักอยู่ที่ห้องรับแขก พร้อมกับมามิที่นั่งเล่นมือถืออยู่ข้างๆ

“กลับมาได้ละเหรอ น้องสาวตัวดี” ณัฐนันท์แย่งตัวกัญญ์กุลณัชมาจากชาง “ใช่ว่าผมจะไว้ใจคุณง่ายๆ” ณัฐนันท์พูดด้วยน้ำเสียงขึงขังต่อหน้าชาง

“คุณพี่ณัฐรู้เรื่องผมแล้ว” ชางพูดสรรพนามเรียกณัฐนันท์จนทุกคนขำ

“โอ๊ย เชื่อแล้วว่าซื่อบื้อจริงๆ” ณัฐนันท์หลุดขำอุตส่าห์วางมาดเข้ม “เรียกผมว่าพี่ณัฐก็พอ เอาละ ไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหน แต่ก็ขอบคุณที่คอยดูแล ปกป้องน้องสาวของผม” ณัฐนันท์ตบไหล่ชางเบาๆ

“อ้อ แม่ฝากมาบอกว่า อย่าลืมแนะนำตัวลูกเขยให้แม่รู้จักนะ”

“แม่รู้ได้ยังไง” กัญญ์กุลณัชมองหน้ามามิ มองหน้าชางสลับไปมา

“เห็นคุณน้าเล่าให้คุณอาฟัง พี่ก็เลยฟังด้วย เห็นว่าคุณน้า คุณแม่เราน่ะเห็นนิมิตถึงนายคนนี้มาสักพักแล้ว แล้วก็ยังบอกอีกว่าเคยเห็นในห้องเราน่ะ” กัญญ์กุลณัชแทบจะกรี๊ดออกมาดังๆ ที่เธอโดนแม่แกล้งทำเป็นไม่เห็นชาง

“แสดงซะเนียนเลยนะแม่” กัญญ์กุลณัชแค้นใจ

“ไม่มีอะไรปิดบังคุณภัทราได้หรอก เชื่อพี่เถอะ คุณน้าน่ากลัวว่านายชางนี่ซะอีก” ณัฐนันท์พูดแล้วขนลุก ไม่ต่างกับกัญญ์กุลณัชและมามิ

“งั้นแสดงว่าคุณพ่อคุณแม่คุณกัญ ก็เห็นผมยกมือไหว้ตั้งแต่วันนั้นแล้วเหรอ” ทั้ง 3 คนพยักหน้ารับ ชางไม่รู้จะทำตัวยังไงเลยได้แต่ยิ้มเกาแก้มแก้เขิน

“ถ้าอย่างนั้นผมขอลูกสาวคุณแม่เลยได้ไหม” ชางส่งสายตาให้กัญญ์กุลณัช

“ยัง!!!” ณัฐนันท์เอาตัวขวางสายตาของชางกับกัญญ์กุลณัช “เป็นสาวเป็นนางเล่นตัวบ้างนะน้องสาว” ณัฐนันท์ไม่ได้คิดจะห้ามชาง แต่เพราะรู้น้องสาวตัวเองเป็นคนคลั่งรักจนเขาต้องเข้ามาปรามเธอแทน เรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนได้

 

ทางด้านเควินที่ได้กล่องกระบี่ไป จะทำยังไงก็เปิดกล่องไม่ออก ไม่ว่าจะทุบ จะงัด จนแทบจะปาทิ้งลงพื้นให้แตกกระจายรู้แล้วรู้รอด แต่ก็ทำไม่ได้เพราะกลัวกระบี่ข้างในจะพัง

“โอ๊ย ทำไมมันเปิดยากเปิดเย็นขนาดนี้” เควินงมอยู่กับกล่องเก็บกระบี่มาทั้งวัน เขาพยายามหาข้อมูลต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตเพื่อเปิดกล่องนี้แต่ทำยังไงก็ยังหาไม่เจอ จนกระทั่งเขาลองค้นหาทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนจีน ประวัติศาสตร์จีน หรือตำนาน เทพนิยาย เขาถ่ายรูปกล่องนี้แล้วเสิร์ชเป็นรูปภาพเพื่อหาสิ่งที่เกี่ยวข้องหรือใกล้เคียง ค้นจนเขาเองต้องฟุบหลับไป โดยหารู้ไม่ว่าหน้าที่ค้างอยู่คือภาพประวัติเพียงเล็กน้อยที่สอดแทรกอยู่ในหนังสือโบราณเล่มหนึ่งที่วาดภาพกล่องนี้ไว้ ภาพเขียนสีน้ำตาลตัวอักษรเลือนรางจนแทบจะอ่านไม่ออก แต่กลับมีคนมาพิมพ์ข้างใต้ไว้ด้วยคำพูดที่ว่า

กระบี่ประจำตระกูลที่เคยล้างมลทิน เพื่อให้ตระกูลไม่แปดเปื้อนจากสตรีเลอโฉม

หนังสือเล่มนั้นเป็นหนังสือเกี่ยวกับความเป็นมาของกระบี่เล่มสำคัญต่างๆ ในประวัติศาสตร์จีน ที่มีทั้งคงอยู่และสูญหาย

 

 



Don`t copy text!