หัวใจมังกร บทที่ 18 : ลูกสาวคนที่ 2 ของตระกูลฟู่

หัวใจมังกร บทที่ 18 : ลูกสาวคนที่ 2 ของตระกูลฟู่

โดย : สิรี กวีผล

Loading

หัวใจมังกร โดย สิรี กวีผล เรื่องของ ชายหนุ่มทายาทตระกูลจีน ถูกพรากคนรักและพรากชีวิตด้วยกระบี่ในอดีต ปาฏิหาริย์แห่งคำสาบานก่อนตายนำพาเขาและเธอกลับมาพบกัน ทว่าต่างภพชาติ ชายหนุ่มต้องเลือกระหว่างหน้าที่และครอบครัว หรือความรักที่เขารอคอยมานานนับร้อยปี อ่านเรื่องราวนี้ได้ทาง เพจอ่านเอา และ www.anowl.co

โต๊ะกลมหลาย 10 โต๊ะ ถูกจัดเรียงเต็มบริเวณรอบสระบัวในเรือนของเฉิง ประตูรั้วสีแดงขนาดใหญ่ถูกประดับตกแต่งด้วยเต็งลั้งสีแดง ช่วงเวลาโพล้เพล้แขกเรื่อเริ่มทยอยกันเข้ามาแสดงความยินดีกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว บางคนแปลกใจที่เจ้าบ่าวไม่ใช่ชาง บางคนเริ่มซุบซิบนินทา เฉิง จ้าน จางหย่ง ต่างมองหน้ากันว่าจะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร

“ปล่อยไปเถอะค่ะเฮีย เราห้ามปากคนไม่ได้” ซูลี่เดินเข้ามาพร้อมกับหลี่จิ้ง

“ใช่ค่ะ เถ้าแก่ คนไทยเขาว่าคนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก เพียงแค่ครอบครัวของเราเข้าใจ และเด็กๆ รักกันก็เพียงพอแล้วค่ะ” หลี่จิ้งเกาะแขนจ้านอย่างเอาใจ

“ลื้อล่ะ อาเหลียง เมื่อไหร่จะมีคู่กับเขาสักที” จางหย่งเบี่ยงประเด็นไปหาหลานชาย

“โถ่แปะ ใครจะมารักคนปากเสีย นิสัยเสียอย่างอั๊วกัน” เหลียงไม่รู้ร้อนรู้หนาว เขารู้สึกว่าชีวิตเขายังไม่พร้อมสร้างครอบครัว เพราะตอนนี้เขาอยากใช้เวลากับป๊าม้าแทนเวลาที่หายไปมากกว่า

“แล้วนี่อาชางไปไหน” จ้านชะง้อมองหาชางแต่ก็ไม่พบ

“นั่นไงกลับเข้ามาแล้ว” เฉิงเบือนหน้าไปเห็นพอดี เห็นชางเดินหน้าตาเศร้าหมองกลับเข้ามาในเรือนที่มีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ รวมทั้งเวทีหน้าเรือนใหญ่กำลังจะจัดแสดงงิ้วเพื่อฉลองให้กับคู่แต่งงานใหม่ อาหารต่างๆ ค่อยๆ ถูกทยอยเข้ามาเสิร์ฟบนโต๊ะ เก้าอี้ทุกตัวถูกจับจองจนเต็ม เจ้าบ่าวเจ้าสาวพากันเดินไปต้อนรับแขกเพื่อแสดงความขอบคุณตามโต๊ะต่างๆ

 

กัญญ์กุลณัชเดินกึ่งวิ่งมาจนถึงเรือนไม้จีนโบราณ คฤหาสน์ที่ชางเคยบอกว่าเป็นบ้านของเขาในสมัยที่เขาอยู่ เธอได้ยินเสียงคนอื้ออึงดังมาจากในเรือนหลังนั้นทั้งๆ ที่ภายในแทบไม่มีคนเดินเข้าออก หรือจะเป็นคนที่อยู่ในคาเฟ่ด้านในกันแน่ กัญญ์กุลณัชนึกคิด ระหว่างนั้นขาก้าวแรกที่เธอก้าวเข้าไปในเรือนไม้ขนาดใหญ่มีแสงสีขาวนวลสว่างจ้าขึ้น ภายในมีผู้คนเต็มไปหมดเหมือนเรือนไม้หลังนี้กำลังจัดงาน

ยิ่งกว่าดอกเตอร์สเตรนจ์อีกนะเนี่ย หรือนี่มันประตูโดราเอมอน กัญญ์กุลณัชนึกขำในใจ เธอก้าวเข้าไปในเรือนใหญ่พบชางยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลจากประตูเรือนสักเท่าไร

“นายชาง!” เสียงคุ้นหูเรียกชื่อของเขา ชางหันหลังกลับไปทันที แสงสว่างจ้าทำเอาทุกคนในงานต่างมองมาเป็นตาเดียว กัญญ์กุลณัชในชุดกางเกงยีนส์ขายาวรองเท้าผ้าใบ เสื้อพลิ้วเป็นริ้วแขนกุด ปรากฏตัวอยู่ตรงกลางแสงสว่างของประตูเรือนตระกูลฟู่

“คุณกัญ!” ชางแทบจะกระโดดเข้าไปกอดหญิงสาวร่างบางไว้ในอ้อมแขนทันที ขายาวๆ ของเขาบัดนี้ดูเหมือนก้าวได้สั้นกว่าทุกครั้ง ชางสวมกอดกัญญ์กุลณัชไว้ในอ้อมแขนโดยไม่สนใจแขกทุกคนในงาน เขาหอมแก้มซ้ายทีขวาทีของเธอต่อหน้าทุกคน จนหญิงสาวเริ่มเขิน

“นาย ที่นี่คือ…”

“บ้านผมเอง คุณข้ามมาได้ยังไง กระบี่หักไปแล้วนะ” ชางคลายอ้อมกอดของเขา แต่จับมือกัญญ์กุลณัชไว้แน่นเหมือนกลัวเธอจะหายไป

“คุณพระ!” กัญญ์กุลณัชตกใจมาก หันกลับไปดูข้างหลังบรรยากาศไม่เหมือนตอนเข้ามาที่ดูเงียบสงบ เรือนของชางดูใหม่และมีชีวิตชีวามากกว่ายุคของเธอเป็นร้อยเท่า เธอมองชางที่แต่งตัวชุดจีนเต็มยศคล้ายกำลังจัดงานยิ่งใหญ่อะไรสักอย่างสลับกับมองชุดตัวเองก็รู้สึกเหมือนตัวเองมาผิดที่ผิดเวลา

“ผมดีใจที่เจอคุณกัญ ดีใจที่สุด คิดถึงที่สุด” ชางจับมือเธอขึ้นมาหอมไม่หยุด จนกัญญ์กุลณัชตีมือดังเพียะ

“พอค่ะ นี่ฉันหลงเข้ามาในยุคของนายเหรอเนี่ย แล้วนี่บ้านนายมีงานเลี้ยงอะไร”

“งานแต่งงานน่ะ” ชางตอบ

“นายแต่งเหรอ” กัญญ์กุลณัชถามซื่อ

“ผมจะแต่งได้ไง เจ้าสาวผมไม่อยู่ แต่เอ๊ะ…เจ้าสาวมาแล้วแต่งเลยไหม” ชางกระแซะแซวหญิงสาว

ชุนในชุดเจ้าบ่าวสีแดงปักเลื่อมทองเดินจับมือมากับถิงถิงในชุดเจ้าสาวสีเดียวกัน ทั้ง 2 เข้ามายกมือไหว้หญิงสาวแปลกหน้าที่พอจะเดาได้ว่าเป็นคนรักของเฮียชาง ทุกคนในครอบครัวต่างเข้ามายืนอยู่ข้างๆ ชางเพื่อเข้ามาทำความรู้จักหญิงสาวที่มากับแสงประหลาดและที่ทำให้ลูกชายหลานชายของเขากระโดดกอดหอมแก้มต่อหน้าธารกำนัล

“คุณกัญ นี่ป๊ากับม้าของผม” กัญญ์กุลณัชยกมือไหว้สวยงามประหนึ่งนางงามรับตำแหน่ง “ส่วนคนนี้อาเจ็กจ้าน กับอาซิ่มหลี่จิ้ง ส่วนคนนี้คืออาแปะจางหย่ง” กัญญ์กุลณัชยกมือไหว้ตามลำดับอย่างมีมารยาท

“แล้วจะไม่แนะนำให้เฮียรู้จักบ้างเหรอ” เหลียงเข้ามากอดคอน้องชาย มองกัญญ์กุลณัชด้วยสายตาละลาบละล้วง จนโดนชางเอาศอกกระทุ้งแรงๆ

“นี่เฮียเหลียง ลูกชายอาเจ็ก” ชางแนะนำส่งๆ ไป กัญญ์กุลณัชยกมือไหว้ เหลียงคว้ามือเธอ ทว่าชางไวกว่าจับมือเหลียงไว้ทัน สายตาของชางดุกว่าที่เคย

“ล้อเล่นน่ะ เห็นเฮียเป็นคนยังไง”

“อึ้มม้อ” เสียงชางกับชุนดังขึ้นพร้อมกัน ทำเอาทุกคนหัวเราะกันยกใหญ่ ยกเว้นกัญญ์กุลณัชที่แปลไม่ออกยืนงงอยู่คนเดียว

“มัวแต่ยืนคุยกัน พาอากัญขึ้นเรือนไปกินน้ำกินท่า เดี๋ยวม้าหาชุดเปลี่ยนให้” ซูลี่เดินเข้ามารวบตัวกัญญ์กุลณัชพาขึ้นเรือนโดยมีหลี่จิ้งคอยเดินตาม

“สวยมากเลยเฮีย” ชุนพูดขึ้น

“สวยแบบเฮียยอมแลกทุกอย่าง” เหลียงเสริม ชางหันมามองหน้าทั้ง 2 คน

“คุณกัญเป็นคนรักของอั๊ว ใครหน้าไหนก็ห้ามยุ่ง” ชางหึงขึ้นมาทันที

“สวยกว่าอั๊วอีกหรือคะเฮียชุน” ถิงถิงในชุดเจ้าสาวเสียงเข้มขึ้นมาทันที มือตีเข้าที่แขนของชุนไปเต็มๆ เรียกเอาเสียงหัวเราะของชางและเหลียงได้ทันที

เจ้าบ่าวโอบกอดเจ้าสาวของเขาแทนการตอบรับ ในสายตาของชุนไม่มีใครสวยงามทั้งรูปกายและจิตใจได้กับเจ้าสาวของเขาอีกต่อไป เช่นเดียวกับแววตาของชางในตอนนี้ น้ำในตาของเขาระยิบระยับเปล่งประกายยามได้เจอกับคนรักของเขาอีกครั้ง ไม่รู้เป็นเพราะโชคชะตา ปาฏิหาริย์ หรือพรจากภพภูมิไหนที่ทำให้เขาและเธอได้โคจรมาเจอกันในที่ที่ต่างภพต่างเวลาแบบนี้

ชุดกี่เพ้าสีขาวปักเลื่อมสีทองตัวเล็กเข้ารูปได้สัดส่วน กระโปรงยาวคลุมข้อเท้า มีรอยผ่ากระโปรงสูงมาเหนือเข่าเล็กน้อยเพื่อให้คนสวมเดินได้สะดวก ผมถูกมัดรวบตึงไว้เป็นมวยเสียบด้วยปิ่นปักผมสีน้ำตาลไม้แกะสลักรูปนกยูงสวยงาม รองเท้าผ้าใบถูกเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าทอมือปักดิ้นสีขาวนวลเข้ารับกับชุดที่กัญญ์กุลณัชใส่ ความสูงของเธอทำให้ดูสูงโปร่งโดยไม่ต้องพึ่งรองเท้าส้นสูงเลยแม้แต่น้อย บานประตูถูกเปิดมีลมพัดเข้ามาเหมือนรู้ว่ามีคนกำลังเดินออก สายตาของทุกคนจับจ้องหญิงต่างชาติคนเดียวที่เข้ามาในเรือนตระกูลฟู่และดูเหมือนเป็นคนพิเศษ ชายหนุ่มทุกคนในงานต่างตะลึงงัน หญิงสาวก็เช่นกันมองความสวยงามของกัญญ์กุลณัชเป็นตาเดียว

“คุณกัญ” ชางยืนอึ้งเมื่อเห็นคนรักของเขาในชุดกี่เพ้าสีขาวปักเลื่อมสีทอง กัญญ์กุลณัชดูเปล่งปลั่งงดงามเหมือนหลุดออกมาจากทุ่งดอกไม้ สวยงามราวกับนางฟ้าที่เข้ามาทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว ชางยืนนิ่งก้าวขาไม่ออก จนชุนกับเหลียงต้องสะกิดให้เขาหลุดจากภวังค์

“ตอนเห็นน้องหมวย อั๊วก็อาการเดียวกับเฮียแหละ” ชุนกระซิบ แต่ชางเหมือนไม่ได้ฟัง เขาเดินตรงไปหากัญญ์กุลณัช ก้มหัวโค้งให้เธอ 1 ครั้งก่อนจะขออนุญาตจับมือเธอมาวางไว้ที่แขนของเขา อย่างที่เขาได้ดูหนังตอนอยู่บ้านของเธอ

“นี่นายจำมาจากไททานิคหรือไง” กัญญ์กุลณัชแซว

“เห็นในทีวีเขาทำกันเลยอยากทำบ้าง พอทำจริงๆ ก็รู้สึกเขินๆ นะ” ชางยิ้มหน้าแดง

“พาน้องไปนั่งที่โต๊ะได้แล้ว” ซูลี่บอกชาง

การแสดงงิ้วเรื่องอะไร หรือพูดอะไรกัญญ์กุลณัชไม่เข้าใจ แต่พอรับรู้ได้คร่าวๆ ว่าน่าจะพูดถึงเรื่องของความรักของหนุ่มสาวที่ได้ลงเอยแต่งงานกัน เมื่องิ้วแสดงเสร็จงานพิธีการเกิดขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย เพราะใกล้ถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าเรือนหอ

“อั๊วขอบคุณทุกคนที่มางานแต่งลูกชายคนเล็กของอั๊วในวันนี้ และต้องขออภัยที่ไม่ได้แจ้งเรื่องการเปลี่ยนแปลงตัวเจ้าบ่าวของเรา เพราะอั๊วคิดว่าเป็นเรื่องของคนในครอบครัว” เสียงเฉิงเข้มขึ้นเพราะรู้ว่าตลอดงานมีแต่คนนินทา กระแนะกระแหนครอบครัวของตน

“วันนี้มีเรื่องยินดีที่อาชุนกับอาถิงได้เป็นหนึ่งเดียวกัน” เฉิงยกแก้วเหล้าขึ้น ทุกคนทำตาม พร้อมกับดื่มให้กับบ่าวสาวครั้งหนึ่ง “เรื่องที่น่ายินดีอีกเรื่องคือ อาชาง” ชางสะดุ้ง เฉิงกวักมือเรียกเป็นเชิงให้ขึ้นมาบนเวที

“เหมือนลื้อจะพาลูกสาวคนใหม่มาให้ป๊ารู้จักใช่ไหม” ชางยืนเขินยิ้มอยู่บนเวที “เอาละ และที่สำคัญที่สุดที่อั๊วเชิญทุกคนมางานในวันนี้ อั๊วจะวางมือ” ทุกคนในงานต่างเงียบกริบ ไม่มีใครคาดคิดว่าเฉิงจะไม่เป็นผู้นำตระกูลฟู่อีกต่อไป

“เถ้าแก่แล้วกิจการอั๊วล่ะ” เจ้าสัวต่างๆ ต่างตกใจไปตามๆ กัน

“ไม่ต้องห่วง ผู้นำตระกูลฟู่มีแน่นอน อั๊วขอแต่งตั้งให้เหลียง” เฉิงประกาศเสียงดัง ชางกระซิบบอกป๊าขอกลับลงไปนั่งกับกัญญ์กุลณัชเช่นเดิม เฉิงยื่นมือไปทางเหลียงเป็นสัญญาณขอให้หลานชายขึ้นมายืนข้างๆ เหลียงที่ยืนอยู่กับจ้านและหลี่จิ้งยังสับสนงุนงงกับสิ่งที่อาแปะของเขาประกาศ

“เหลียงจะขึ้นมาเป็นผู้นำตระกูลฟู่และช่วยกันทำงานกับอาชุน” เฉิงผายมือไปหาชุนที่ยืนอยู่ข้างเวที เหลียงและชุนยืนขนาบข้างเฉิงด้วยความสับสนต่างมองหน้ากันและกัน

“ต่อไปนี้จะไม่มีผู้นำตระกูลเพียงแค่หนึ่ง ลูกหลานของตระกูลฟู่จะช่วยกันดูแลกิจการทุกกิจการของตระกูล แบ่งหน้าที่ช่วยเหลือกันและกันเมื่อมีปัญหาอั๊วขอให้ช่วยกันแก้ไข ยามตกลงกันไม่ได้ขอให้ฟังเสียงของคนรอบข้างให้จงหนัก แต่ยามตัดสินใจขอให้ฟังจากสมองและสองมือของตนเอง” เฉิงมองไปที่โต๊ะแต่ละตัว แขกเหรื่อในงานต่างพยักหน้ารับพร้อมกับแสดงความยินดีให้กับเถ้าแก่คนใหม่ของตระกูลฟู่ทั้ง 2 คน เขาโอบไหล่หลานชายและลูกชายคนเล็กของเขาด้วยความภาคภูมิใจ

“เถ้าแก่ แล้วอาชางล่ะ” แขกคนหนึ่งถามขึ้น

“อั๊วอยากไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับคนที่อั๊วรัก” ชางลุกขึ้นยืนตอบอย่างไม่อายใครด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มั่นคง

 

บรรยากาศเงียบสงบกลับมาเยือนในเรือนตระกูลฟู่อีกครั้ง เมื่อทุกคนกลับกันหมด โต๊ะจีน เวทีต่างๆ ถูกทยอยเก็บอย่างเรียบร้อยเหมือนไม่เคยมีงานเลี้ยงใดๆ เกิดขึ้น กัญญ์กุลณัชนั่งอยู่ริมสระบัวโดยมีชางยืนอยู่ข้างๆ

“ผมอยากให้คุณกัญอยู่กับผมที่นี่”

“ฉันเริ่มเข้าใจนายแล้วละ” ชางทำหน้าสงสัย

“ก็เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะได้เจอกันตอนไหน หรือจะหายตัวไปตอนไหน ฉันเริ่มกลัว” กัญญ์กุลณัชรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ ยามได้เจอกันเธอดีใจจนใจหาย แต่ในยามที่ต้องพรากจากกันเธอเสียใจแทบใจจะขาด ชางกระชับกัญญ์กุลณัชไว้ในอ้อมกอด เขาเองก็ไม่อยากให้เธอหายไปจากเขาเช่นกัน กลัวยิ่งกว่าความตายที่มาพราก คือกลัวที่จะไม่ได้เห็นหน้าของกัญญ์กุลณัชอีก

“กระบี่ของคุณหักได้ยังไง” ชางสลดลงเล็กน้อย

“ป๊าผมหักมันกับมือ วันนั้นป๊าทะเลาะกับผมเรื่องแต่งงานเพราะผมยืนกรานที่จะไม่แต่งงานกับน้องหมวย” กัญญ์กุลณัชสงสัย

“เจ้าสาวในวันนี้น่ะ ป๊าผมอยากให้ผมแต่งงานกับเธอ แต่ผมไม่ได้รักเธอตั้งแต่แรก น้องชายผม ชุน เขารักถิงถิงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ผมก็เลยมีปากเสียงกับป๊า พร้อมกับที่ป๊าเห็นผมหายตัวกลับมาด้วย เรื่องก็เลยไปกันใหญ่” ชางสรุปสั้นๆ ให้กัญญ์กุลณัชฟัง

“แต่คุณกัญยังมีกระบี่อยู่ใช่ไหม” ชางยังคาดหวังว่าอีกเล่มจะยังคงอยู่ดี กัญญ์กุลณัชส่ายหน้าเป็นคำตอบ

“ไอ้เควินขโมยไป แต่ไม่รอดตำรวจตอนโดนจับเขาหล่นจากกำแพงบ้านฉันแล้วทำกระบี่หัก” กัญญ์กุลณัชพูดไปก็แค้นไป

“คงเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ป๊าผมหักกระบี่แน่ๆ ผมว่ากระบี่สองเล่มนี้คือกระบี่เล่มเดียวกัน แค่อยู่กันคนละที่ คนละเวลา”

ลมเย็นพัดเอื่อยๆ เข้ามาปะทะร่างกายของชายหนุ่มหญิงสาวที่นั่งกอดกันอยู่ริมสระบัว พระจันทร์คืนนี้ดูสดใสกว่าทุกวัน แม้ว่าบรรยากาศค่ำคืนนี้จะดูเงียบเหงาเกินไปเสียหน่อย ดวงดาวระยิบระยับตกแต่งท้องฟ้าให้มีแสงสว่าง กัญญ์กุลณัชนั่งซบลงกับอกกว้าง เธออยากจะหยุดเวลาของเธอไว้ตรงนี้ ชางแหงนหน้ามองพระจันทร์ภายในใจเขาพยายามสวดอ้อนวอนเทพเจ้าให้เขาได้ครองคู่กับกัญญ์กุลณัชจนกว่าดวงตะวันจะทอแสงสุดท้าย

 



Don`t copy text!