
กานต์ปรียา บทที่ 7 : บอกมาว่าคุณรู้สึกอย่างไร
โดย : ดารัช
![]()
กานต์ปรียา นิยายสืบสวนดราม่า โดย ดารัช กับเรื่องราวที่ว่าด้วยเส้นบางๆ ระหว่างความรัก ความหลงใหล และการล้ำเส้นสู่ Cyberstalking ที่อาจบานปลายเป็นอาชญากรรม เรื่องราวของความสัมพันธ์ซ่อนเร้น การหายตัวไปอย่างปริศนา และเบาะแสที่อาจเปิดเผยความจริงอันมืดดำในโลกออนไลน์ อ่านได้แล้วที่ อ่านเอา www.anowl.co

มาริษามองตัวเองในกล้องหน้าโทรศัพท์มือถือ ลิปสติกสีกุหลาบกับบลัชออนสีเดียวกันช่วยให้สีหน้าเธอสดใสอย่างที่คิด การหลบไปแต่งหน้าช่วงพักเบรกช่วยให้รู้สึกสดใสขึ้นจริงๆ เวลาแต่งหน้าแต่งตัวสวยๆ ฉีดน้ำหอมกลิ่นดอกไม้เขตร้อนกลิ่นโปรด ทำให้หญิงสาวรู้สึกเหมือนโลกใจร้ายกับเธอน้อยลง เรียกว่าเป็นเวทมนตร์ของเครื่องสำอางได้ไหมนะ
หญิงสาววางโทรศัพท์ เอามือประสานกันแล้วเหยียดแขนออกเพื่อบิดขี้เกียจ จากนั้นเอามือขวาจับขมับด้านซ้าย ยืดเหยียดคอมาทางขวาสามสิบวินาที แล้วทำสลับกับอีกด้าน การนั่งโต๊ะทำงานแปดชั่วโมงต่อวันมีของแถมเป็นอาการปวดคอบ่าไหล่ โรคยอดฮิตของชาวออฟฟิศ ยังไม่รวมเวลาเธอเผลอนั่งหลังโก่ง ตัดต่อคลิปวิดีโอเพื่อลงช่องยูทูบราวสี่ถึงห้าชั่วโมงต่อวันหลังเลิกงานอีกนะ
มาริษาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ จอคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะยังเปิดหน้าโปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดที่เธอกำลังสรุปงานรายเดือนส่งหัวหน้า ยังต้องเกลาภาษาและหาข้อมูลประกอบอีกนิดหน่อย เธอเหลือบตามองเวลาที่มุมขวาล่างของหน้าจอคอมพิวเตอร์ เที่ยงสิบห้าแล้ว หญิงสาวหิวนิดหน่อย แต่ไม่อยากทานอะไร เธอเอาแต่คิดถึงภาพตอนที่ณัฐนนท์ขุดดินไปเจอชิ้นส่วนมือปริศนา แม้ไม่อยากนึกถึง แต่มาริษายังจำสภาพเปื่อยยุ่ยและกลิ่นซากศพได้
เธอถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอีกครั้ง ส่งยิ้มหวานให้กล้อง เอียงหน้าไปทางซ้ายเล็กน้อย เพราะสิ่งสำคัญในการถ่ายรูปคือควรรู้มุมของตัวเอง รอยยิ้มในภาพดูสดใส ผมลอนยาวสีดำทิ้งตัวสวย มาริษาปรับแสงและแต่งภาพอีกหน่อย ก่อนอัปลงเพจในเฟซบุ๊ก
‘เมอร์รี่รายงานตัวค่ะ พักอยู่โรงพยาบาลไปสามวัน ตอนนี้กลับมาเป็น QA สาวของบริษัทเครื่องสำอางแล้วค่ะ’
ไม่นานก็มีแจ้งเตือนจากปุ่มถูกใจ รักเลย ห่วงใย และว้าวจากแฟนคลับในเพจ มาริษายิ้มน้อยๆ รู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง เธอยิ้มหวานให้ชื่อ ‘นนท์ ณัฐนนท์’ ที่กดปุ่มห่วงใยให้
Merry MerryMe : น้องเมอร์รี่ รู้สึกยังไงบ้าง แน่ใจนะว่าทำงานไหว
แฟนคลับคนแรกๆ ของหญิงสาวทักเธอในข้อความแช็ต มาริษามองรูปโพรไฟล์ของอีกฝ่ายซึ่งเป็นภาพตัวเธอประคองแก้วกาแฟ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังคุยอยู่กับตัวเองอย่างไรก็ไม่รู้
Merry Everyday : เมอร์รี่โอเคค่ะ ขอบคุณมากเลยนะคะ
Merry MerryMe : แต่ใจจริงพี่อยากให้พักอีกสักหน่อยนะครับ เพิ่งเจอเรื่องแย่ๆ มา ตอนที่น้องเมอร์รี่ไลฟ์ที่โรงพยาบาล หน้าซีดมากๆ เป็นห่วงนะครับ
มาริษาถอนหายใจ Merry MerryMe เอาแต่ทักมาหาเธอแบบนี้ทุกวันนับแต่เกิดเรื่อง เธออยากจะบอกว่าการที่เจ้าตัวเอาแต่ถามย้ำๆ แบบนี้ รังแต่จะทำให้เธอนึกถึงเรื่องที่ไม่อยากนึก สู้ปล่อยให้หญิงสาวเพ่งความสนใจไปที่งานยังจะดีกว่า แต่คำว่าเป็นห่วงของแฟนคลับก็ทำเอาเธอพูดไม่ออก
Merry Everyday : ว่าแต่นี่ก็เที่ยงแล้ว คุณ Merry MeryMe ทานอาหารอร่อยๆ หรือยังคะ
Merry MerryMe : ทานไม่ลงครับ มัวแต่เป็นห่วงน้องเมอร์รี่ แล้วน้องเมอร์รี่ทานอะไรหรือยังครับ อย่าอดข้าวนะ ยิ่งตัวเล็กๆ อยู่ เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมาจะทำยังไง
มาริษาส่งสติกเกอร์ขอบคุณให้เขา ใจจริงอยากให้ Merry MerryMe จบการสนทนาเสียที แต่ไม่รู้จะบอกยังไง มาริษาแค่อยากทำงานของตัวเองเงียบๆ แต่อีกฝ่ายเอาแต่พูดถึงเหตุการณ์ที่เธออยากลืมไม่หยุด
“เมอร์รี่ เห็นคนอื่นๆ บอกว่าเราไม่ไปทานมื้อเที่ยง พี่เลยซื้อแซนด์วิชกับสลัดมาฝาก” หัวหน้าแผนกในชุดสูทสีน้ำเงินเข้มกับกางเกงสีเดียวกันเดินมาหา วางถุงอาหารกลางวันให้ ภคินีอายุสี่สิบสอง ผมซอยสั้นระต้นคอ ท่าทางทะมัดทะแมง บุคลิกจริงจังและเนี้ยบ แต่มาริษาสัมผัสถึงความห่วงใยที่อีกฝ่ายมีให้ลูกน้องได้ แม้จะไม่ได้พูดออกมา
“ขอบคุณนะคะพี่หนึ่ง” เธอพนมมือไหว้ “งั้นเมอร์รี่จัดการแซนด์วิชกับสลัดเลยนะคะ” เธอส่งยิ้มให้หัวหน้าแผนกที่เพิ่งกลับมาทานอาหารข้างนอก รีบพิมพ์บอก Merry MerryMe ว่าเธอต้องคุยกับหัวหน้า ก่อนบอกลาเพื่อจบการสนทนา
ภคินียืนนิ่งเหมือนลืมไปแล้วว่ากำลังคุยกับเธอ แถมยังไม่มีทีท่าจะเดินกลับห้องทำงานด้วย…ห้องทำงานแผนกของเธอเป็นโต๊ะหันหน้าเข้าหากันสี่ตัว มีเพียงห้องทำงานของหัวหน้าแผนกสาววัยสี่สิบห้าที่แยกเป็นส่วนตัว
มาริษารู้สึกว่าภคินีกังวลใจจนติดจะเหม่อลอยด้วยซ้ำ “พี่หนึ่งคะ” เธอเรียกซ้ำ
“อ๋อ เอ่อ จ้ะ ทานให้อร่อยนะ” หัวหน้าแผนกหันมาตอบ พอสังเกตดีๆ ใต้ตาของภคินีดำคล้ำ แถมยังแต่งหน้าทำผมเหมือนขอไปที
มาริษาขมวดคิ้ว ลอบสำรวจอีกฝ่าย ด้วยความที่เธอเป็นเด็ก จะให้เสนอตัวรับฟังปัญหาก็ดูจะล้ำเส้นเกินไป หญิงสาวไล่สายตาไปหยุดที่นาฬิกาข้อมือของภคินี เผลออุทานออกมาเสียงดัง
“มีอะไรเหรอ” รุ่นพี่ถาม
มาริษาเอียงคอ ยังคงจ้องนาฬิกาข้อมือของอีกฝ่าย
“ทำไมเหรอ” หัวหน้าแผนกยกมือข้างที่สวมนาฬิกายื่นมาตรงหน้าเธอ
“เหมือนเมอร์รี่เคยเห็นนาฬิกาเรือนนี้ คุ้นมากๆ แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนน่ะค่ะ”
“ไม่น่าใช่แล้วละ” ภคินีพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “นี่เป็นนาฬิกาสั่งทำ คุณพ่อทำให้เป็นของขวัญพี่กับน้องชายก่อนท่านจะเสียน่ะ”
“เป็นนาฬิกาที่มีแค่สองเรือนในโลกสินะคะ” มาริษาพยักหน้า “งั้นเมอร์รี่คงเข้าใจผิดไปเอง ว่าแต่เมอร์รี่เพิ่งรู้นะคะว่าพี่หนึ่งมีน้องชายด้วย หล่อไหมคะ” เธอทำหน้าทะเล้น หวังเรียกรอยยิ้มจากอีกฝ่าย
ภคินีสีหน้าเจื่อน “เป็นน้องชายต่างแม่น่ะ ไม่ได้ติดต่อกันเท่าไหร่หรอก มีแค่วันครบรอบวันตายพ่อที่จะมาเจอกัน นั่งดื่มอะไรทำนองนั้น แต่…”
“มีอะไรเหรอคะ”
หัวหน้าแผนกถอนหายใจ “ดูเหมือนวันครบรอบวันตายของพ่อรอบนี้ จะมีแค่พี่ไปดื่มให้พ่อน่ะ” ภคินีมีสีหน้าเลื่อนลอยครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับมาเป็นผู้หญิงมาดขรึม มั่นใจในตัวเองคนเดิม “เอาเถอะ แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องในครอบครัว เมอร์รี่เองถ้าไม่ไหวก็ลางานได้นะ ไลน์มาบอกพี่ไว้ก็พอ พี่อนุญาต”
พูดจบ ภคินีก็เดินเข้าห้องทำงาน หลังตรง จังหวะฝีเท้าดูมั่นใจอย่างที่เคย
พออยู่คนเดียว มาริษาก็รู้สึกวังเวงขึ้นมาหน่อยๆ เธอหยิบปากกามาจดรายการที่ต้องหาข้อมูลเพิ่ม สุดท้ายก็ถือปากกาค้างไว้
เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์มือถือทำเอาหญิงสาวสะดุ้งโหยง
“เมอร์รี่ รู้สึกยังไงบ้าง” น้ำเสียงกังวลของณัฐนนท์ทำให้เธอผุดรอยยิ้ม ทั้งที่เป็นคำถามที่มาริษานึกรำคาญมาตลอดวัน แต่พอเปลี่ยนคนพูด ก็ทำให้หัวใจพองโตขึ้นมา
“อืม ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ไม่ค่อยกลัวแล้ว แถมพอมาทำงานก็ได้โฟกัสกับเรื่องงาน ไม่ต้องคิดอย่างอื่นด้วย” เธอตอบ คลิกเมาส์ไล่ทวนรายงานที่พิมพ์ค้างไปพลาง
“พอดีตำรวจโทรหาพี่น่ะ เรื่องเมมกล้องในวิดีโอที่เขาขอไป จะยังขอยึดไว้ก่อนเป็นของกลาง” ณัฐนนท์หมายถึงเมมโมรี่ในกล้อง DSLR ที่ถ่ายในวันพบมือลึกลับ “แล้วพอเขารู้ว่าพวกเราพักโรงแรมเซเรเนดมา ก็เลยจะขอดูเมมกล้องที่เหลือด้วย พี่เลยบอกไปว่าหลักๆ จะใช้กล้องกับเมมของเมอร์รี่ เพราะเมอร์รี่เป็นคนตัดต่อคลิป อีกอย่างกล้องพี่เสียตั้งแต่เดือนก่อน ยังไม่ได้ซ่อม เลยไม่น่าเกี่ยวกับคดี” ปกติเวลาถ่ายวิดีโอเพื่อลงเพจ จะใช้กล้องของมาริษาเป็นหลัก สลับกับกล้องของณัฐนนท์ แต่มาริษาเป็นคนเก็บเมมกล้องเพราะต้องตัดต่อคลิปวิดีโอและอัปลงยูทูบ
“ว่าแต่เรื่องไปพักโรงแรมเซเรเนดเกี่ยวด้วยเหรอคะ” เธอสงสัย
“โรงแรมอยู่ใกล้ภูเขาน่ะ ทางตำรวจเลยขอยืมเผื่อเอาไว้กรณีพวกเราจะบังเอิญถ่ายติดอะไร”
“เมอร์รี่เก็บกล้องกับเมมไว้ที่บ้าน ในห้องนอนน่ะค่ะ เดี๋ยวตอนเย็นกลับไปเอา” เธอบอก
“ให้พี่ไปรับที่ทำงานไหม จะได้ไปเป็นเพื่อนกัน” เขาถาม
“ได้เหรอคะ” เธอพูด
“หืม ทำไมเหรอ” น้ำเสียงณัฐนนท์ฟังดูงุนงง
มาริษากัดริมฝีปาก นั่นสิ ทำไมจะไม่ได้ เขาคือรุ่นพี่ แถมยังเป็นตากล้องให้ช่องยูทูบของเธอ ไหนจะเจอเหตุการณ์ชวนสยดสยองด้วยกัน แม้จะไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ณัฐนนท์จะมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ จนเธอเคยชินกับการเอาแต่พึ่งพาเขา
“งั้นรบกวนพี่นนท์ด้วยนะคะ” มาริษากัดริมฝีปาก เธอพึ่งพาเจ้าตัวอีกแล้วสิ
‘เดจาวู เป็นภาษาฝรั่งเศส เป็นคำที่เอมีล บัวรัก ใช้ในหนังสือลาเวอนีร์เดซีย็องส์ปซีชิก (L’Avenir des sciences psychiques) หมายถึง อาการคลับคล้ายคลับคลาว่าเหตุการณ์ที่พบเจอนั้นเคยพบเจอมาแล้ว เป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นได้กับทุกคนและทุกเวลา ไม่ว่าหลับหรือตื่น เหมือนกับที่ฉันเจอตอนนี้เลย ไม่รู้ทำไมคุ้นกับนาฬิกาข้อมือของรุ่นพี่ที่ทำงานมากๆ เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน’
มาริษาทวนข้อความที่ตัวเองพิมพ์ แล้วกดแชร์ในเฟซบุ๊กไม่นาน ทั้งแฟนเพจ ทั้งคนรู้จักก็เข้ามากดไลก์และแสดงความคิดเห็นกันอุ่นหนาฝาคั่ง
หลินหลิน มัสลิน : ดูหนังเยอะไปแล้วพี่เมอร์รี่
ครรชิต เกิดทองทา : ชักอยากเห็นนาฬิกาที่ว่าแล้วสิ แล้วที่บอกว่ารุ่นพี่ที่ทำงานนี่ใครอะ
Merry MerryMe : นาฬิกาอะไรเหรอครับเมอร์รี่ ถ้าเมอร์รี่อยากได้ พี่ซื้อส่งไปให้ได้นะ
“โลกเรียกเมอร์รี่ ได้ยินแล้วตอบด้วย ถึงบ้านแล้วครับคุณผู้หญิง”
เสียงณัฐนนท์ดึงมาริษากลับมายังโลกออฟไลน์ พอเงยหน้ามองทางก็พบว่ารถทรงสปอร์ตสีเทาเข้มจอดหน้าบ้านชั้นเดียวพื้นที่ราวร้อยหกสิบตารางเมตร ตัวบ้านประกอบด้วยห้องหลักติดกัน มีโซนห้องอาหารแยกออกมา ใช้โทนสีขาว-น้ำตาลเป็นหลักให้ความรู้สึกอบอุ่น
“ถึงบ้านตอนไหนเนี่ย ไม่รู้ตัวเลย” หญิงสาวส่งยิ้มแก้เก้อ
“ให้ไปเอาเมมกล้องเป็นเพื่อนไหม” ณัฐนนท์ถาม
“หาเรื่องเข้าห้องสาวสวยเหรอ” เธอเย้า ทำเอาชายหนุ่มหลังพวงมาลัยหัวเราะพรืด “เมอร์รี่เข้าไปคนเดียวได้ นี่บ้านตัวเองนะ ถ้าไม่กล้าแม้แต่จะเดินเข้าบ้านตัวเองก็ไม่ใช่แล้ว พี่นนท์รออยู่นี่แหละค่ะ เดี๋ยวกลับมา”
“เมอร์รี่” ณัฐนนท์เรียก มาริษาหันมามอง เธอทันได้เห็นแก้มแดงๆ เหมือนจะเขินอายของเขา
“คะ” หญิงสาวรับคำ “มีอะไร…”
พูดยังไม่ทันจบ ณัฐนนท์ก็ส่งกล่องเครื่องประดับมาให้ พอเปิดดูก็เห็นสร้อยคอเงินที่มีจี้รูปกล่องของขวัญประดับ หญิงสาวไม่อาจกลั้นยิ้มได้ ในใจเต้นรัวจนแทบคุมไม่อยู่
“ในสร้อยติดตั้งอุปกรณ์ติดตามตัว แล้วก็สั่งทำพิเศษจะได้ใช้เป็นเครื่องประดับได้ด้วย” รุ่นพี่อธิบาย “พี่อยากให้เมอร์รี่ใส่ติดตัวไว้อย่างน้อยก็ช่วงนี้ รอให้ตำรวจจับตัวคนร้ายคดีฆ่าหั่นศพได้ อย่างน้อยพี่จะได้อุ่นใจถ้ารู้ว่าเราอยู่ที่ไหน มันจะเชื่อมกับแอปในมือถือของพี่น่ะ” ชายหนุ่มอธิบาย
มาริษาหน้าเจื่อนลง “เอาไว้ติดตามตัวสินะคะ” เธอเผลอคิดได้ยังไงว่าณัฐนนท์ตั้งใจซื้อเครื่องประดับให้ หญิงสาวส่งรอยยิ้มสดใสให้อีกฝ่าย “ขอบคุณนะคะพี่นนท์ งั้นเมอร์รี่สวมไว้เลยดีกว่า”
เธอมองจี้รูปกล่องของขวัญบนสร้อยคอ คิดว่าตัวเองคงไม่มีวันถอดสร้อยคอเส้นนี้ตลอดกาล
มาริษาเดินไปในตัวบ้าน ผ่านห้องรับแขกตกแต่งสไตล์มินิมอล ปกติเธอจะเจอพ่อแม่ของเธอนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน พ่อจะเอนกายบนเก้าอี้หวายทรงกลม ไขว่ห้าง จิบชาจีนในชุดถ้วยชาเบญจรงค์สีน้ำเงินสุดรักสุดหวง ส่วนแม่จะนั่งระบายสีไม้ในสมุดภาพระบายสีสำหรับผู้ใหญ่ตรงชุดโซฟารับแขกสีครีม แต่วันนี้ทั้งคู่ไปร่วมงานแต่งงานญาติที่ต่างจังหวัด จะว่าไปหญิงสาวก็โล่งใจที่ได้ครอบครองบ้านคนเดียว เธอเหนื่อยกับการแสร้งทำเป็นสบายดีเพื่อไม่ให้พ่อแม่ต้องเป็นห่วง แม้ว่าตัวเองจะยังคงฝันร้ายถึงเหตุการณ์พบชิ้นส่วนศพบนภูเขาก็ตาม
พอเลี้ยวขวาจากห้องรับแขก ก็มาถึงห้องที่ทาประตูสีชมพูพาสเทล มีภาพสติกเกอร์คิตตี้สวมชุดเจ้าหญิงแปะไว้หน้าห้อง มาริษาชอบเจ้าเหมียวไม่มีปากมาตั้งแต่จำความได้จนอายุยี่สิบสี่ปี และคิดว่าคงชอบต่อไปเรื่อยๆ เธอเปิดประตูเข้าห้องนอนส่วนตัว
หญิงสาววางกระเป๋าถือ บิดขี้เกียจ แล้วกระโจนไปบนเตียงนอนหกฟุต สัมผัสนุ่มๆ ทำให้รู้สึกง่วงขึ้นมา เธอเอาคางเกยตุ๊กตาคิตตี้ตัวใหญ่ มือยื่นไปลิ้นชักหัวเตียงซึ่งเป็นที่ที่ใช้เก็บเมมโมรี่กล้อง แต่กลับสัมผัสเพียงความว่างเปล่า
ไม่มี
แต่…จะเป็นไปได้ยังไง ตอนออกจากโรงพยาบาล เธอเป็นคนเอามาเก็บไว้ในลิ้นชักกับมือ!
มาริษาทะลึ่งตัวพรวด สาวเท้าไปตู้เก็บกล้อง กล้อง DSLR สีดำมันวาวยังคงวางในนั้น หญิงสาวหยิบกล้องมาแกะดูเผื่อตัวเองจำผิด เผลอใส่เมมทิ้งไว้ แต่ก็ไม่มี อีกอย่าง ถ้าคิดตามหลักเหตุผลแล้วไม่มีทางที่เธอจะลืมเมมไว้ในกล้องแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะวันที่ขึ้นเนินเขา เธอเป็นคนใส่เมมอันใหม่ที่บันทึกเหตุการณ์ตอนเจอชิ้นส่วนมือ และเมมอันนั้น ทางตำรวจก็ยึดไว้เป็นของกลางเรียบร้อยแล้ว จะว่าตกหล่นที่ไหนก็ไม่น่าเป็นไปได้
ถ้าจะให้สรุปคือ เมมโมรี่เหตุการณ์ตั้งแต่มาริษาไปพักที่โรงแรมเซเรเนดหายไปอย่างไร้ร่องรอย!
โทรศัพท์มือถือกรีดเสียงเรียก มาริษาสะดุ้งเฮือก เบอร์ไม่คุ้นเลย แต่อาจเป็นเบอร์ที่ทำงาน หรือทางตำรวจโทร.มา
“สวัสดีค่ะ เมอร์รี่พูดค่ะ” เธอกรอกเสียงใส่เบอร์แปลก แต่อีกฝ่ายกลับไม่พูดอะไร หญิงสาวพูดฮัลโหลไปอีกครั้ง ปลายสายยังคงเงียบ
“ถ้าไม่พูดอะไรจะวางแล้วนะคะ” เธอคิดว่าอีกฝ่ายอาจโทร.ผิด หรือไม่ก็มีการแกล้งกันเล่น คราวนี้เธอได้ยินเสียงบางอย่าง จึงลองตั้งใจฟัง
ฟืด…ฟาด…
มาริษาขมวดคิ้ว เงี่ยหูฟังอีกรอบ
ฟืด…ฟาด…
เสียงที่ได้ยิน ฟังยังไงก็เหมือนคนอีกฝั่งของโทรศัพท์กำลังหายใจแรงรดใส่มือถือ แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไร แต่กลับให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างบอกไม่ถูก!
หญิงสาวร้องกรี๊ด แทบทำมือถือตกพื้น เธอรีบกดวางสาย เซไปพิงผนังด้วยความตกใจ
“เมอร์รี่ เกิดอะไรขึ้น!” ณัฐนนท์คงมารอในบ้านและได้ยินเสียงเธอ เขาเคาะประตูหน้าห้องถี่รัว หญิงสาวเดินไปเปิดประตู ตัวสั่นเทา
“มีอะไร เกิดอะไรขึ้น”
“แค่…แค่มีคนโทรผิดน่ะค่ะ” เธอตอบ แต่เสียงยังไม่วายสั่น
“แค่คนโทรผิด แล้วทำไมดูกลัวขนาดนี้”
หญิงสาวส่ายหน้า ทรุดตัวลงบนพื้น “ไม่รู้ เมอร์รี่ไม่รู้อะไรด้วยแล้ว”
อ้อมกอดของรุนพี่แข็งแรงและอบอุ่น มาริษาค่อยๆ ปรับลมหายใจ ดึงสติกลับมา หญิงสาวเงยหน้ามองอีกฝ่าย “เมอร์รี่คงสติหลุดไป” เอาจริงๆ มาริษาก็ไม่แน่ใจว่าสายที่โทร.มาคือคนโรคจิต หรือเธอแค่หลอนไปเอง
ณัฐนนท์คลายอ้อมกอด “เอาเถอะ ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไร ว่าแต่ได้เมมกล้องมาหรือยัง”
มาริษาเพิ่งนึกขึ้นได้ เธอขมวดคิ้ว “ไม่มีค่ะ”
“หมายความว่าไง ลืมทิ้งไว้เหรอ หรือยังไง” ชายหนุ่มสีหน้าสับสน
“ไม่ได้ลืมค่ะ เมอร์รี่วางไว้หัวเตียง จำได้แม่นเลย ไม่มีทางลืมเด็ดขาด” พอพูดจบ ความรู้สึกเย็นเยียบก็แล่นปราดจากปลายเท้าสู่ไขสันหลัง มาริษาสบตาณัฐนนท์ แล้วตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม เธอมั่นใจมากว่ามีใครบางคนบุกรุกห้องนอนของเธอ!
- READ กานต์ปรียา บทที่ 9 : ผมให้คุณเป็นที่หนึ่ง
- READ กานต์ปรียา บทที่ 8 : บทเรียนเรื่องจักรวาลที่ชื่อว่าคุณ
- READ กานต์ปรียา บทที่ 7 : บอกมาว่าคุณรู้สึกอย่างไร
- READ กานต์ปรียา บทที่ 6 : กล่องความทรงจำในดินแดนที่ถูกลืม
- READ กานต์ปรียา บทที่ 5 : คุณรักฉันมากแค่ไหน
- READ กานต์ปรียา บทที่ 4 : เรื่องทั้งหมดที่ฉันชอบ
- READ กานต์ปรียา บทที่ 3 : อยากชำแรกเข้าไปในทุกห้วงความคิด
- READ กานต์ปรียา บทที่ 2 : เส้นทางที่ไม่อาจหวนคืน
- READ กานต์ปรียา บทที่ 1 : อ้อมกอดแนบแน่นราวพยายามกลืนกินอีกฝ่าย







