ยาใจด้วยรัก บทที่ 6 : หลุมดำในใจ

ยาใจด้วยรัก บทที่ 6 : หลุมดำในใจ

โดย : ลิลนิล

Loading

ยาใจด้วยรัก โดย ลิลนิล เรื่องราวฟีลกู้ดของสาวไทป์แมวดำและเด็กหนุ่มไทป์หมาโกลเด้นที่จะช่วยให้คุณเข้าใจความหมายของการใช้ชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น นวนิยายโรแมนติก คอมเมดี้ อบอุ่นหัวใจ ดราม่า ที่อ่านเอาเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่จะมอบความสุขให้กับทุกคนได้อย่างแน่นอน

วันหยุดค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า แม้จะรู้ว่ามีภาระหน้าที่และความรับผิดชอบรออยู่ แต่หัวสมองและร่างกายกลับไม่ทำงาน เบสต์นอนแผ่บนเตียงพร้อมกับหายใจทิ้งไปเป็นวันๆ เธอพยายามหากิจกรรมทำ        ทั้งอ่านหนังสือและดูซีรีส์ที่เธอชอบ แต่บัดนี้มันกลับไม่สนุกเหมือนเก่า

หญิงสาวหิวแต่ไม่อยากกิน ง่วงแต่ไม่อยากนอน มันเป็นความรู้สึกว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูก ข้างในเหมือนมีหลุมดำขนาดใหญ่ เป็นความเวิ้งว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เธอไม่ได้เสียใจฟูมฟาย แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สามารถยิ้มได้ อาจจะเป็นความรู้สึกเหนื่อยก็ได้

เหนื่อยกับการพยายามพิสูจน์ตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธออยากเป็นคนเก่ง อยากเป็นที่ยอมรับ

คนเก่งย่อมเป็นที่รักของคนอื่น แล้วคนไม่เก่งล่ะเป็นอะไร…

 

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ถึงแม้จะหยุดพัก 10 วันเต็ม แต่เบสต์กลับไม่รู้สึกดีขึ้นเลย เธอยังจมอยู่ในห้วงแห่งความทุกข์จนตัวเธอเองก็รู้สึกแปลกใจ ถึงกระนั้นเธอก็ต้องฝืนสังขารมาทำงาน หญิงสาวลดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่คุ้นเคย เหม่อมองจอโน้ตบุ๊กตรงหน้าอย่างไร้ความหมาย ความคิดสร้างสรรค์และไอเดียที่เคยพวยพุ่งหายวับไปประหนึ่งมันไม่เคยมีอยู่

เวลาล่วงเลยผ่านนับตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ที่งานของเบสต์ไม่ขยับไปไหน แม้เธอจะพยายามจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์แล้วแต่สมองกลับไม่มีสมาธิ ในตอนแรกหญิงสาวคิดว่าบรรยากาศของออฟฟิศน่าจะช่วยจุดไฟให้เธอได้เหมือนเก่า แต่เปล่าเลย…

ตอนนี้ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม…

ทันใดนั้นเอง ชัยเดินมาเรียกเบสต์เข้าไปคุยในห้องทำงานส่วนตัวของเขา

ห้องด้านในสุดห้องเดิมที่บรรยากาศหนาวเหน็บกว่าทุกครั้ง เบสต์และชัยนั่งประจันหน้ากันด้วยความรู้สึกที่เปลี่ยนไปจากแต่ก่อน ชัยถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเอ่ยเสียงเรียบสั้นๆ

“ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปเธอไม่ต้องมาทำงานแล้วนะ”

สิ้นประโยค ดวงตาของหญิงสาวเบิกกว้าง ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

“บริษัทต้องไปต่อ พี่ไม่อยากกดดันเบสต์ที่ดูเหมือนสุขภาพไม่แข็งแรง พี่อยากให้เราได้พักเต็มที่นะ”

แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงห่วงใยและสีหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม แต่ในที่สุดหญิงสาวก็ต้องยอมรับความจริงว่า นี่เป็นการเสแสร้งเท่านั้น การแสดงรางวัลตุ๊กตาทองที่หลอกให้เธอเชื่อใจมาตลอดหลายปี เบสต์รู้สึกจุกในอก พูดไม่ออก หญิงสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยรู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง ความรู้สึกเสียใจพรั่งพรูอยู่ภายใน แต่ก็ไม่มีหลักฐานแสดงออกมายังภายนอก ชัยค่อยๆ หยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกมา

ใบลาออก

“เธอเซ็นซะนะ จะได้ไม่เสียประวัติว่าถูกไล่ออก”

เขากล่าวด้วยความหวังดีจอมปลอมอีกครั้ง ถ้าเป็นคนมีสติก็คงจะรู้ตัวว่าถูกหลอกให้เซ็นจะได้ไม่ต้องจ่ายเงินชดเชย แต่เวลานี้หญิงสาวไม่ได้มีเหตุผลคิดไตร่ตรองอะไรขนาดนั้น เธออยากพาตัวเองออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เบสต์จึงยอมเซ็นแต่โดยดี

ขณะที่หญิงสาวทยอยเก็บของ เธอสังเกตเห็นสายตาเพื่อนร่วมงานที่เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ คนที่ก่อนหน้านี้มักมาขอความช่วยเหลือ มาชวนคุย กินข้าวกลางวันด้วยกัน บัดนี้กลับยืนมองเธออยู่ห่างๆ ด้วยสีหน้ารังเกียจ

“ดีแล้วละที่ไปได้ซะที”

เสียงซุบซิบนินทาทำให้หญิงสาวหยุดชะงัก

“พักหลังนี้อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคนเป็นบ้า ทำงานด้วยแล้วกลัวจะประสาท” 

“จู่ๆ ก็ทำงานผิดรัวๆ สงสัยตั้งใจเท ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนแทงข้างหลังเพื่อน”

เมื่อไม่มีผลประโยชน์ต่อกันแล้ว มนุษย์ก็จะแสดงธาตุแท้ที่เก็บซ่อนเอาไว้ออกมา หญิงสาวหัวเราะเย้ยหยันในลำคอให้กับความโลกสวยของตัวเอง โลกสวยที่คิดว่าถ้าเราจริงใจกับใครแล้ว เราจะได้รับสิ่งเดียวกันเป็นการตอบแทน

“อย่าว่าเบสต์แบบนั้นนะ!” เสียงของคะนิ้งดังขึ้นปกป้องเธอจากเสียงนินทาว่าร้าย แต่เบสต์กลับไม่รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เพื่อนสาวทำให้เลยแม้แต่น้อย ขณะนั้นมินนี่กล่าวแทรกขึ้นแสดงความเห็น

“พี่คะนิ้งยังปกป้องมันอยู่อีกเหรอ มินนี่เห็นนะ ว่าพี่ต้องทำงานหนักขึ้นเพราะว่าใครบางคนจงใจทิ้งปัญหาไว้ให้อะ”

คำพูดนั้นเหมือนหอกเสียบลงที่กลางใจของเบสต์ เธอไม่ได้มีเจตนาจะสร้างความเสียหายให้ใคร ความรู้สึกผิดหนักอึ้งถาโถมในใจทว่าร่างกายอ่อนล้าเกินกว่าจะโต้เถียง

“เบสต์เค้าไม่ได้ตั้งใจ ตอนนี้เค้าป่วยอยู่ยังไม่หายดี ถึงยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ไม่ใช่เหรอ” คะนิ้งว่าพลางแสดงสีหน้าเป็นห่วง เบสต์ได้ยินดังนั้นเธอกระตุกรอยยิ้มขึ้นที่ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้

“เพื่อน…เพื่อนงั้นเหรอ” เธอย้ำคำทำให้คะนิ้งมีสีหน้าแปลกใจ

“เบสต์…”

“เราเลิกเป็นเพื่อนกันเถอะ” เบสต์กล่าวสิ่งที่อัดอั้นในใจมานาน ถึงเหตุการณ์นี้จะเหมือนเธอสูญเสียเพื่อนรักไปแต่ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่เคยมีมันมาตั้งแต่แรก คะนิ้งได้ยินดังนั้นเธอรู้ได้ทันทีว่าเบสต์คงจะรู้ความลับของเธอกับชัยเข้าให้แล้ว

“เบสต์ ถ้าเราทำอะไรผิดไปเราขอโทษนะ ดีกันนะ เราบอกแล้วไงว่าเรื่องตำแหน่งเราไม่ได้ตั้งใจ” คะนิ้งเริ่มบีบน้ำตา แสดงความอ่อนแอบอบบางให้กับคนอื่นได้สงสาร จนมินนี่ทนไม่ไหวต้องมายืนข้างๆ สาวร่างเล็ก

“พี่คะนิ้งอย่าไปง้อมันเลยค่ะ คนที่หน้าไหว้หลังหลอก ไม่สำนึกบุญคุณคนแบบนั้นน่ะ ตัดขาดกันไปก็ดี”

เด็กสาวก่นด่าใส่คนเป็นรุ่นพี่ที่ทำท่าทีแข็งกร้าวเพื่อปกป้องคนที่ดูอ่อนแอกว่า คำพูดนั้นเสียดแทงหัวใจของเบสต์อีกครั้ง หญิงสาวไม่สามารถทนกับสายตามาดร้ายของเพื่อนร่วมงานเก่าได้อีกต่อไป เธอทิ้งของที่ยังเก็บไม่เสร็จเอาไว้ตรงนั้น รีบก้าวเท้าพาตัวเองออกจากสถานการณ์เลวร้ายให้เร็วที่สุด ขณะนั้นไม่วายที่หางตาเจ้ากรรมจะเหลือบไปเห็นรอยยิ้มที่แสยะขึ้นอย่างสะใจบนใบหน้าหวานของหญิงร่างเล็ก ที่เมื่อครู่นี้เพิ่งจะร้องไห้อยู่หยกๆ

 

เบสต์กลับถึงห้องด้วยความอ่อนล้า เธอทิ้งตัวฟุบหน้าลงบนเตียงนุ่ม ร่างกายหนักอึ้งยากเกินกว่าจะขยับเขยื้อน

ไม่ไหว

หากก่อนหน้าเธอเป็นเสาไม้งามที่สามารถตั้งตระหง่านอยู่ได้ ตอนนี้เธอก็คงเป็นได้แค่เสาไม้ผุๆ พังๆ ที่โดนปลอกกัดกินข้างในจนไม่เหลืออะไรจนหักโค่นลงแล้วเท่านั้น

หญิงสาวนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่นานจนตะวันลับขอบฟ้า ฉาบห้องพักโดดเดี่ยวด้วยความมืดมิด เจ้าของผมสีดำหยิบมือถือขึ้นมาเลื่อนหาเบอร์ของคนรู้จัก เผื่อว่าการระบายกับใครสักคนจะช่วยให้เธอผ่านพ้นห้วงอารมณ์อันโหดร้ายนี้ไปได้

‘เกรซ’ เบสต์กำลังจะกดโทร.แต่ก็หยุดมือไว้ ตอนนี้ชีวิตของเกรซกำลังมีความสุข กำลังไปได้ดี เธอไม่ควรเอาเรื่องร้ายๆ ของเธอไปทำลายวันดีๆ ของคนอื่น

‘แม่’ ถ้าโทร.ไปแม่จะว่าไหมนะ แม่คงจะพูดว่า ‘บอกแล้วไม่ฟัง คนอย่างแกน่ะ ยังไงก็เอาตัวเองไม่รอดหรอก’

เบสต์เลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์อยู่นาน ทั้งเพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้อง ไม่มีใครสักคนที่เธอสามารถโทร.ไปรบกวนได้ จนกระทั้งสายตาเหลือบไปเห็นชื่อ ‘คะนิ้ง’ คนที่เคยเป็นเพื่อนรักที่สุดคนหนึ่งของเธอ

หญิงสาวกำโทรศัพท์ในมือแน่นก่อนเขวี้ยงมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสจนหน้าจอแตกร้าว

เธอเหนื่อยแล้ว เหนื่อยที่ต้องพยายาม เหนื่อยที่ต้องประสบความสำเร็จ เหนื่อยแม้กระทั่งการหายใจ

เหนื่อยที่จะต้องมีชีวิตอยู่…

ไม่รู้เมื่อไหร่ที่ขาอันอ่อนแรงพาร่างอันหนักอึ้งเดินตรงไปยังระเบียงห้อง หญิงสาวปีนขึ้นไปนั่งลงบนราวกั้นเหล็กสีดำ ห้อยเท้าเปลือยเปล่าทั้งสองข้างออกไปด้านนอกอย่างปล่อยปละ เธอหลับตาลงช้าๆ ปล่อยให้วิญญาณสัมผัสกับสายลมยามค่ำคืนที่พัดปะทะใบหน้าจนเย็นเยียบ

 



Don`t copy text!