ด้ายแดง บทที่ 4 : คำทำนาย
โดย : พัทชุลี
ด้ายแดง เรื่องราวของความผูกพันของสมาชิกในครอบครัวที่มีวิถีชีวิตและความเชื่อตามขนบธรรมเนียมจีนโบราณที่แม้ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อมีเรื่องของธุรกิจเข้ามา ความบาดหมางจึงเกิดขึ้น นวนิยายเนื้อหาเข้มข้นโดย พัทชุลี ในรูปแบบ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
***********************************
– 4 –
ชายชราร่างผอมก้าวลงมาจากรถ ยี่สิบกว่าปีก่อนเขาก็ได้มาที่นี่ มาเพื่อทำนายดวงชะตาของผู้สืบทอดของตระกูล มาวันนี้ดวงชะตาของคนผู้หนึ่งดับสูญไปแล้ว แต่ดวงชะตาของคนอีกคนมีทั้งด้านมืดและสว่างในทางเดียวกัน เดิมทีเขาคิดว่าจะไม่มาที่นี่อีก แต่เมื่อคุณหนูรองส่งคนไปขอร้อง บอกว่าการมาครั้งนี้ของเขาสำคัญต่อการมีหรือสิ้นสุดของตระกูลมหามงคล เขาจึงต้องมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง
เหม่ยอิงก้าวออกไปที่หน้าตึกมองร่างของซินแสเฒ่า ดวงตายาวรีของเธอมีแต่ร่องรอยความกังวล
“ซิงแซ (1)” เหม่ยอิงพูดออกไปเมื่อเห็นร่างของซินแสอู่ก้าวเข้ามาในบ้าน ชายผู้นั้นมีร่างผอม ผมเป็นสีดอกเลาทั้งหัว ดวงตาข้างหนึ่งขุ่นขาวไม่เหมือนตาของคนปกติ เขาเดินมาพลางยิ้มให้กับเหม่ยอิง
“คุณนายเหม่ยอิง” ระหว่างที่เหม่ยอิงเดินพาซินแสอู่มาที่ห้องโถง ซูซี่ที่มองเห็นแต่ไกลก็เอ่ยขึ้นมาว่า
“ใครคะ…หมอดู?” เหม่ยซิงจึงหันไปตอบว่า
“ซินแสอู่เป็นคนเก่าแก่ของอาปา แกหายหน้าหายตาไปตั้งนาน ตั้งแต่…” เสียงนั้นเงียบหายไปในลำคอ เหม่ยซิงหันไปพูดกับเจียเฟิงแทน “นึกไม่ถึงว่าพี่เจียเฟิงจะอุตส่าห์ไปตามมาให้” เสียงนั้นเน้นหนักราวกับต้องการถามจุดมุ่งหมาย
“ฉันก็อยากรู้กับเขาด้วยไง ว่าตอนนี้ดวงชะตาของพี่หลงเหว่ยดีหรือร้าย จะยังเหมือนที่ซิงแซเคยทำนายเอาไว้ตอนเด็กๆ หรือเปล่า” คำพูดนั้นซ่อนความหมายบางอย่างไว้ แม้เจียเฟิงจะแย้มยิ้มเหมือนไม่มีอะไร แต่ผู้เป็นน้องกลับไม่ชอบคำพูดนั้นนัก เพราะฟังๆ ไปแล้วดูเหมือนไม่ค่อยหวังดีเท่าไร ความจริงหญิงสาวก็ว่าจะถามต่อเหมือนกันแต่ติดที่แม่พาซินแสอู่เข้ามานั่งก่อนแล้ว เธอจึงไม่ได้ถามออกไป
“ไม่เจอกันนาน ซิงแซ สบายดีนะ”
“สบายดี…ไม่นึกว่าจะได้กลับมาที่นี่อีก”
“ก็เกรงใจ ไม่อยากไปรบกวนซิงแซ ไม่นึกว่าเจียเฟิงจะไปพามา” ซินแสอู่ส่ายหน้าไปมาพลางตอบออกไปว่า
“ไม่ได้รบกวนอะไร เรานับถือกันมานาน…เคยดูแลกันมา ก็ต้องดูแลกันต่อไป…คนนี้ใช่ไหม เจ้าสาวของหลงเหว่ย” เขาเอ่ยพลางมองใบหน้าของซูซี่อย่างเพ่งพิศ
อา…น่าสงสารนัก…โชคร้ายเหลือเกิน
ซูซี่ยิ้มให้กับซินแสเฒ่าอย่างงงๆ สำหรับเธอแววในดวงตาขาวขุ่นที่จ้องมองมานั้น ราวกับมีอะไรบางอย่างที่หนักอึ้งไปถึงหัวใจเธอ มีบางอย่างที่เธอรู้สึกว่าต่อจากนี้ไป คงมีเรื่องยุ่งยากอีกแน่ๆ ซินแสอู่มองหน้าเธอนิ่งแล้วจึงถอนหายใจออกมา เขาไม่พูดอะไรอีกนอกจากหันไปหาเหม่ยซิงที่นั่งอยู่ข้างๆ แววตาของเขาดูผ่อนคลายมากกว่าตอนจ้องหน้าซูซี่มาก
“ลูกสาวคนรองของคุณนายใช่ไหม” เหม่ยอิงพยักหน้า ซินแสอู่บอกสั้นๆ ว่า
“เธอเป็นคนดี สักวันครอบครัวจะได้พึ่งพาเธอ” เขาเอ่ยแค่นั้นก่อนจะพลิกตำราดูอยู่ครู่หนึ่งและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเลย ว่าแล้วเขาก็เขียนวันฤกษ์ดีส่งให้กับเหม่ยอิง เธอรับมาดูแล้วจึงเอ่ยถามออกไปว่า
“ว่ายังไงบ้าง ซิงแซ”
“เร็วที่สุดก็วันนี้” วันนี้ที่ซินแสหมายถึงถูกเขียนไว้ในกระดาษแล้ว เหม่ยอิงพูดออกมาว่า
“อีกสามอาทิตย์”
“ดีจังเลย ขอบคุณซิงแซมากนะคะ ฉันกลัวแทบตายว่าจะต้องรอนานๆ” ซูซี่พูดออกมาอย่างโล่งอก เหม่ยซิงที่อยู่ข้างๆ ก็ส่งยิ้มเพื่อปลอบใจ
“นี่โชคดีมากนะคะพี่สะใภ้ บางคู่หมั้นแล้วต้องรออีกเป็นปีๆ กว่าจะมีฤกษ์แต่ง”
“แสดงว่าเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ…ทุกอย่างปุ๊บปั๊บทันใจไปหมด”
“เจียเฟิง” เหม่ยอิงพูดเหมือนปราม
“จะห้ามทำไมคะ คนกันเองทั้งนั้น ไม่ใช่ใครที่ไหน ถึงไม่พูด อีกเจ็ดเดือนซิงแซก็ต้องรู้อยู่ดี ว่าซูซี่มีลูก” แต่เหม่ยอิงไม่ได้กังวลเรื่องนั้นเท่าไร ยิ่งเห็นว่าซินแสอู่มองหน้าซูซี่แล้วถอนหายใจออกมา พลิกตำราสองสามทีเธอก็แน่ใจว่าคงมีเรื่องอะไรอีกเป็นแน่
“มีอะไรหรือเปล่า ซิงแซ” ซินแสอู่มองหน้าเหม่ยอิง แล้วตัดสินใจพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“มี” ได้ยินเช่นนั้นเหม่ยอิงก็ใจหล่นวูบ น้ำเสียงแบบนี้ หน้าตาแบบนี้ เธอเคยเจอมาแล้ว เป็นเรื่องไม่ดีแน่ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เหม่ยอิงสั่งให้ทุกคนออกไปจากห้อง เจียเฟิงเห็นเช่นนั้นจึงขอตัวกลับบ้านก่อน แต่เธอก็กำชับให้คนขับรถไปส่งซินแสอู่ด้วย ฝ่ายหลงเหว่ยกลับมาถึงบ้าน ซูซี่ก็เข้าไปกอดเขาด้วยความดีใจ
“ฮันนี่…กลับมาแล้วเหรอคะ คิดถึงจังเลยค่ะ” ชายหนุ่มยิ้มให้แล้วจึงตอบ
“เป็นไงบ้าง อยู่บ้านทำอะไรบ้างวันนี้”
“ก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกค่ะ คุยกับคุณแม่เรื่องงานแต่ง แล้วก็มีหมอดูมาดูฤกษ์ อีกสามอาทิตย์ที่จะถึงนี้นะคะ”
“อือ…เร็วทันใจดีจัง แล้วไง ไม่ชอบเหรอ หรือเตรียมงานไม่ทัน” หลงเหว่ยเอ่ยพลางยิ้ม
“เปล่าค่ะ เรื่องแต่งงานไม่มีอะไร แต่มันมีเรื่องอื่น…เรื่องอะไรไม่รู้ คุยกันอยู่ดีๆ คุณแม่ก็ไล่ฉันกับเหม่ยซิงออกมา แล้วงุบงิบคุยกับซินแสสองคน แต่ฉันว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ ฉันไม่สบายใจเลย” หญิงสาวโผเข้าไปกอดคนรัก เขากอดเธอตอบพลางเอามือตบที่หลังเบาๆ ราวกับจะปลอบโยน
“ไม่เป็นไรนะ คงไม่มีอะไรหรอก” แม้จะพูดคำนั้นแต่หลงเหว่ยก็มีสีหน้าหนักใจ
อีกด้านหนึ่งในห้องบรรพบุรุษ เหม่ยอิงได้แต่จ้องมองรูปสามีน้ำตาคลอ หลายครั้งแล้วที่เธอก้มลงเอาหัวโขกอยู่หน้าป้ายบรรพบุรุษโดยมีอาจูนั่งอยู่ข้างๆ
‘เด็กในท้องมีบุญนัก แต่น่าเสียดาย ดวงชงกับหลงเหว่ย คนหนึ่งธาตุทองอีกคนธาตุดิน ดวงชะตาเป็นศัตรูอยู่ด้วยกันไม่ได้’
ซิงแซกำลังจะบอกว่า พ่อกับลูก ดวง ‘ชง’ กัน ใช่ไหม
“ฉันจะทำยังไงดีอาจู สวรรค์ทำไมกลั่นแกล้งฉันอย่างนี้ แล้วอย่างนี้ตายไปฉันจะไปสู้หน้าบรรพบุรุษได้ยังไง” ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เหม่ยอิงได้แต่พูดเช่นนี้ อาจูนั่งคุกเข่าเคียงข้างผู้เป็นนาย
“คุณนาย อย่าคิดมาก มันอาจจะไม่จริงก็ได้” คำพูดของคนสนิททุกครั้งจะปลอบใจเธอได้ แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น คำทำนายเมื่อยี่สิบปีก่อนผลเป็นยังไงเธอก็รู้ดี แล้วถ้าคำทำนายจะเป็นจริงอีกล่ะ แล้วเธอจะทำยังไง เหม่ยอิงหันมาพูดกับอาจูด้วยดวงตาปวดร้าว
“เธอก็รู้ อาจู ซิงแซพูดคำไหนคำนั้น ไม่เคยพลาด ไม่เคยพลาดเลยสักครั้งเดียว” คำพูดนั้นนำพาความทรงจำครั้งอดีตของคำทำนายจากซินแสคนเดียวกัน ในตอนนั้นเธอได้ยินเสียงของท่านเจ้าสัวดังขึ้นมาจากในห้อง เสียงนั้นดังลั่น
‘เป็นไปได้ยังไง ฉันไม่อยากจะเชื่อ’
เหม่ยอิงชะงักเพราะความตกใจ เธอได้แต่แอบมองลอดบานประตูที่เผยอไว้
ในห้องนั้นเจ้าสัวหม่าหยิบรูปถ่ายครอบครัวขึ้นมาดู มองไปที่เด็กชายทั้งสองคนอย่างเสียใจ ซินแสอู่ไม่ได้พูดอะไรนอกจากยื่นกระดาษที่เขียนเป็นภาษาจีนให้เจ้าสัว ก่อนจะย้ำคำเดิมว่า
‘เป็นความจริงท่านเจ้าสัว คนหนึ่งอยู่คนหนึ่งต้องดับ มังกรธาตุทองปีเดียวแต่ต่างเดือนต่างเวลาตกฟาก ผู้ที่เกิดก่อนอ่อนแอรอเวลาดับสูญ แต่อีกคนดวงจะแข็งกว่า ดวงชะตาของคุณชายทั้งสองเกิดมาเพื่อเป็นปรปักษ์ต่อกัน’
‘หมายความว่าลูกชายของฉันสองคน ดวง ‘ชง’ กันงั้นเหรอ’
‘ใช่ เทียนอี้กับหลงเหว่ยดวงชะตา ‘ชง’ กัน อยู่ด้วยกันก็ทำลายล้างกัน ดวงชะตาเทียนอี้อ่อนแอกว่า ถูกดวงชะตาหลงเหว่ยข่ม เพราะอย่างนี้เทียนอี้ถึงได้เจ็บป่วยบ่อยๆ ดวงหลงเหว่ยแข็งนัก’
‘แล้วจะทำยังไงดี แต่ยังไงก็ต้องเอาเทียนอี้ให้ดีไว้ก่อน เขาเป็นลูกชายคนโต จะต้องเป็นคนสืบสกุลมหามงคลต่อไป’ สิ่งที่เจ้าสัวหม่าพูดออกมานั้นทำให้เหม่ยอิงที่แอบฟังอยู่ไม่พอใจ เทียนอี้เป็นลูกแล้วหลงเหว่ยล่ะ เขาก็เป็นลูกเหมือนกัน แล้วทำไมท่านเจ้าสัวถึงพูดราวกับหลงเหว่ยไม่สำคัญอย่างนั้นเล่า เจ้าสัวหม่านิ่งเงียบสักพักจึงพูดออกมาว่า
‘ฉันจะส่งหลงเหว่ยไปอยู่ที่อื่น ให้ไปเรียนเมืองนอก’
‘เจ้าสัวจะทำอะไรก็ทำซะ เผื่อว่า…’ ซินแสอู่พูดน้ำเสียงมีกังวล เขาคิดอยู่ว่าจะพูดต่อไปดีไหม
‘มีอะไร ซิงแซ พูดมา ไม่ต้องเกรงใจ’
‘เจ้าสัวเป็นคนโชคดีเรื่องเงินทอง แต่อาภัพเรื่องครอบครัว ถึงมีเงินมากมาย แต่ก็จะไม่มีใครสืบสกุล’ สิ้นคำนั้นเจ้าสัวก็โมโหมากถึงกับตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
‘หมายความว่ายังไง ซิงแซ!’
‘ว่ากันตามดวงชะตา ตระกูลมหามงคลจะสิ้นสุดลง ก็เพราะหลงเหว่ยนี่แหละ’ นั่นทำให้เหม่ยอิงตกใจสุดขีด จนจานขนมในมือหล่นแตกกระจาย แล้วเสียงกรีดร้องของอาจูก็ดังขึ้น
‘ช่วยด้วย เด็กตกน้ำ ช่วยด้วย’
เสียงนั้นดังก้องทำให้ผู้คนในบ้านต่างแตกตื่น ทั้งเจ้าสัว คุณนายเลี่ยงจิน สาวใช้ และเหม่ยอิงวิ่งออกมาจากบ้านเพื่อหาต้นตอของเสียง
‘อะไรนะ ใครเป็นอะไร’
‘คุณหนูใหญ่ คุณหนูใหญ่ตกน้ำ’
‘หา! ลูกแม่!’
เหม่ยอิงหลับตาลงช้าๆ เมื่อคิดถึงความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุด วันนั้นเทียนอี้ตายไปพร้อมกับเอาความเชื่อใจน้อยนิดที่หลงเหว่ยเคยได้จากเจ้าสัวไปด้วย หลงเหว่ยถูกตราหน้าว่าเป็นตัวซวย ว่าเป็นฆาตกร ทุกคนมองมาที่ลูกชายของเธอราวกับจะเกลียดชังเหลือเกิน
‘ไม่!!’
เสียงกรีดร้องของเลี่ยงจินดังก้องและบาดไปถึงหัวใจคนฟัง เมื่อเห็นร่างอ่อนปวกเปียกของลูกชายของเธอ ทุกคนเมื่อรู้ว่าเทียนอี้ตายแล้วก็ได้แต่ช็อก เลี่ยงจินมองมาที่เธอและหลงเหว่ยก่อนจะปรี่เข้ามาทำร้ายลูกชายของเธอทันที เหม่ยอิงในตอนนั้นสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนัก แต่เธอก็รีบเข้าไปปกป้องลูกตามสัญชาตญาณ ปากก็ร้องขอให้เลี่ยงจินอภัยให้กับหลงเหว่ยด้วยเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ เจ้าสัวหม่าเดินออกไปทันที เพราะไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตา แต่ทุกคนที่เหลืออึ้ง ช็อกกับข่าวร้ายที่เกิดขึ้น
‘คุณหนูใหญ่ตายแล้ว โถ…ไม่น่าเลย’
‘เทียนอี้ ไม่จริงใช่ไหม โกหกใช่ไหม กรี๊ด!!’
ด้านเลี่ยงจินหายจากตกตะลึงก็กรีดร้องเสียงดังเหมือนสัตว์ที่บาดเจ็บ เธอโผเข้าใส่หลงเหว่ย กระชากเขาในตอนนั้นมาทำร้าย ด้วยความเป็นแม่ เหม่ยอิงก็เข้าไปขวาง เธอไม่หนี ไม่สู้ เอาตัวกอดลูกไว้แน่น เอาร่างกายของเธอกำบังร่างของลูก คุณนายใหญ่ทุบตีเตะถีบสารพัดด้วยความโกรธจนลืมตัว
‘ไอ้ตัวกาลกิณี แกทำอย่างนี้ทำไม อาอี้เป็นแก้วตาของฉัน เป็นความหวังของตระกูล แกอิจฉาเขาใช่ไหม แกอิจฉาเขาใช่ไหม!’
เลี่ยงจินเอ่ยพลางกรีดร้องอย่างปวดร้าว ในความเป็นแม่ เหม่ยอิงเห็นใจเลี่ยงจินอย่างสุดซึ้งที่เสียลูกไป แต่ลูกของเธอใครเล่าจะปกป้อง ท่านเจ้าสัวไม่ได้พูดอะไรได้แต่ปล่อยให้เลี่ยงจินกรีดร้องตะโกนด่าทอทุบตีลูกชายของเธอ แม้แต่หางตาตอนนี้ก็หาได้แลมาไม่
‘อย่าทำเขาเลย ฉันขอร้อง’
‘มันฆ่าลูกฉัน ลูกแกฆ่าลูกฉัน’
‘เขาไม่ได้ตั้งใจ ฉันเลี้ยงลูกไม่ดี พี่โทษฉันเถอะ อย่าโทษเขา’
เลี่ยงจินไม่ฟังเสียง เธอถีบเหม่ยอิงกระเด็นไปจนหัวกระแทกกับพื้น แล้วตัวเองก็หมดแรง ทรุดตัวลงร้องไห้ เจียเฟิงเข้ามากอดแม่ไว้ มองไปที่หลงเหว่ยอย่างแค้นเคือง เหม่ยอิงรีบลุกขึ้น เธอไม่ได้สนใจว่าหน้าผากแตกยับจนเลือดไหลริน เธอรีบตะกายไปกอดหลงเหว่ย ร้องไห้อย่างเจ็บปวด
วันที่เทียนอี้ตายไปจากโลกนี้ เป็นวันที่หลงเหว่ยไม่ได้ความเชื่อใจและอ้อมแขนจากพ่ออีกเลย…
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ แม้ไม่มีเสียงกรีดร้อง แต่หัวใจของเหม่ยอิงก็เหมือนกับถูกลวดหนามโบยตี น้ำตาเธอไหลพรากมองป้ายบรรพบุรุษ มองดวงตาเย็นชาในรูปของเจ้าสัวผู้เป็นสามี เธอได้แต่ถามซ้ำๆ ว่า
“ทำไมสวรรค์ถึงใจร้ายกับหลงเหว่ยนัก แล้วถ้าสวรรค์จะใจร้ายขนาดนี้ ทำไมเจ้าสัวถึงไม่ช่วยลูกบ้าง”
อาจูเมื่อเห็นคุณนายนิ่งเงียบเธอก็เอื้อมมือไปจับแล้วบีบมือราวกับจะส่งมอบกำลังใจให้ เหม่ยอิงมองหน้าของอาจูพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“ผ่านไปยี่สิบปี นึกว่าลูกของฉันจะพ้นเคราะห์กรรมแล้ว นึกไม่ถึง ว่าจะมีเรื่องใหม่มาอีก”
“ใครจะไปนึก ว่าลูกในท้องของซูซี่ จะ ‘ชง’ กับพ่อตัวเอง เวรกรรมแท้ๆ…แล้วทีนี้จะทำยังไงกัน มีวิธีแก้ไขไหม” อาจูเอ่ย
“มี แต่ฉันเชื่อว่าเด็กคนนั้นต้องไม่ชอบแน่ๆ” เหม่ยอิงพูดเสียงแผ่วเบา
บรรยากาศในโต๊ะอาหารวันนี้ดูไม่มีความสุขเอาเสียเลย เหม่ยอิงเองก็กินข้าวไปอย่างไม่รู้รสชาติ เมื่อกินข้าวเสร็จเธอก็วางตะเกียบก่อนจะบอกกับลูกชายว่า
“เดี๋ยวอิ่มแล้ว แม่มีเรื่องจะคุยด้วย เรื่องสำคัญ”
“ครับ” ชายหนุ่มรับคำแม่ ก่อนจะหันไปสบตากับคนรัก เขายิ้มให้เธอราวกับจะบอกว่าไม่มีอะไร ในขณะที่อาจูก็พยักหน้าให้กำลังใจเหม่ยอิงเช่นกัน หลังมื้ออาหารทุกคนรวมทั้งอาจูเข้ามาอยู่ที่ห้องโถงอีกครั้ง เหม่ยอิงมองลูกชายและว่าที่สะใภ้ของบ้านอย่างหนักใจ แต่เธอก็ตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด
“เรื่องแต่งงานของเธอสองคน ซิงแซดูวันให้แล้ว อีกสามอาทิตย์มีวันดี”
“ดีครับ แล้วมีอะไรอีกหรือเปล่า”
“มี เรื่องลูกในท้องของซูซี่” ผู้เป็นแม่เอ่ยน้ำเสียงเด็ดขาด นั่นทำให้หลงเหว่ยเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างสงสัย
“ทำไมครับ”
“ซิงแซตรวจดวงชะตาบอกว่าเด็กในท้องของซูซี่ ‘ชง’ กับดวงของลูกน่ะ หลงเหว่ย”
“อะไรนะ” ซูซี่พูดออกมาอย่างแปลกใจ
“ชง หมายถึงเป็นศัตรูกันน่ะค่ะ พี่สะใภ้” เหม่ยซิงอธิบาย ซูซี่ส่ายหน้าไปมา
“รู้ค่ะ ว่าแปลว่าอะไร แต่ไม่เข้าใจ เด็กยังไม่เกิด ยังอยู่ในท้อง จะเป็นศัตรูกับพ่อตัวเองได้ยังไง” น้ำเสียงตอนท้ายบ่งบอกความไม่พอใจอย่างที่สุด เธอไม่คิดว่าครอบครัวของหลงเหว่ยจะเชื่ออะไรเป็นจริงเป็นจังขนาดนี้ นี่ลูกของเธอยังไม่ได้เกิดมา แต่ก็มีคนเอาคำทำนายบ้าๆ มายัดใส่โชคชะตาให้เสียแล้ว
“มันเป็นความเชื่อน่ะ ซูซี่ เขาทักมาเราก็ฟังไว้ แต่มันไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรนี่ครับแม่” ชายหนุ่มหันไปหาแม่อย่างถามหาความเห็น
“ชงก็คือชง ถ้าลูกคนนี้จะทำให้หลงเหว่ยโชคร้าย เป็นอันตราย ฉันก็ยอมไม่ได้”
“แม่คะ แม่จะทำอะไร” เหม่ยซิงถามท่าทางตกใจ
“เด็กในท้องของซูซี่ จะต้องถูกยกไปให้เป็นลูกคนอื่น เป็นการแก้ชง”
“ไม่!”
ซูซี่ตะโกนเสียงดังลั่นก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นมาชั้นบนทันที หลงเหว่ยเห็นท่าทางดังกล่าวก็ไม่สบายใจนัก เขาได้แต่เดินตามเธอมาเพื่อหมายจะอธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจ
“ใจเย็นก่อน ซูซี่”
“นี่จะไปไหน กลับมาพูดกันให้รู้เรื่อง” เหม่ยอิงพูดอย่างโมโหสุดขีด เพราะซูซี่เดินขึ้นมาข้างบนราวกับไม่เห็นแก่เธอเลยสักนิด เมื่อเห็นว่าแม่เดินตามเพื่อให้ทำตามความคิดนั้น ชายหนุ่มก็หันกลับไปหาแม่ทันทีด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะพอใจ
“แม่ครับ นี่ลูกของผมนะครับ ผมจัดการเอง”
“ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ เธอจะเลี้ยงเด็กคนนี้ได้ในฐานะหลาน เขาห้ามเรียกเธอว่าพ่อแม่” ได้ฟังเช่นนั้นซูซี่ก็โกรธจัดถึงกับตะโกนเสียงดังลั่น
“ไม่มีทางค่ะ ลูกฉันคือลูกฉัน ฉันเป็นแม่ หลงเหว่ยเป็นพ่อ ฉันจะไม่ยกเขาให้ใครทั้งนั้น!”
“แล้วถ้าเด็กคนนั้นจะทำให้ผัวเธอเป็นอะไรไปล่ะ หรือเธอไม่รักผัวของเธอ…ลูกเธอเธอรัก แต่ลูกฉันจะเป็นยังไง เธอไม่สนงั้นสินะ!”
เหม่ยอิงตะโกนสุดเสียง ดวงตาของเธอจ้องมองลูกสะใภ้อย่างเหลืออด หลงเหว่ยโชคร้ายมามากพอแล้ว ไม่มีวันที่เธอจะให้ลูกไปเจอกับความโชคร้ายและเผชิญความเจ็บปวดได้อีก ช่วงเวลาที่วุ่นวายอยู่นั้น หลงเหว่ยก็พูดออกมาหวังจะให้ทั้งสองระงับสติอารมณ์ไม่ให้เรื่องนี้ลุกลามไป
“แม่ครับ ซูซี่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ฉันก็รักหลงเหว่ยไม่น้อยกว่าคุณแม่ แต่เรื่องนี้มันโง่เง่า ไร้สาระ!”
“หุบปาก! เธอเป็นแค่เมียจะมารักหลงเหว่ยมากกว่าฉันได้ไง” เหม่ยอิงพูดออกมาทันควัน
“ทุกคนใจเย็นๆ ก่อนค่ะ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ทุกอย่างที่เราทำก็มาจากความรัก ความหวังดีต่อกันทั้งนั้นสำหรับพี่หลงเหว่ย นั่นก็แม่นี่ก็เมียกับลูก ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันนะคะ”
เหม่ยซิงพูดกับทั้งซูซี่และเหม่ยอิงอย่างหนักใจ แต่ท่าทางของทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่สงบง่ายๆ หลงเหว่ยขยับเข้าไปใกล้ๆ แม่ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างหนักใจ
“นั่นสิครับ ตอนนี้เด็กอายุได้สามเดือนเท่านั้น เรายังมีเวลาอีกเยอะ ผมรู้นะครับว่าแม่รักผม แต่เรามาค่อยๆ หาทางออกที่ดีที่สุดด้วยกันนะครับ” แม้จะรับฟังคำนั้นแต่เหม่ยอิงยังยืนยันสิ่งที่เธอจะทำ ซูซี่เองก็ไม่มีอะไรจะพูดต่อเพราะเธอไม่มีวันยอมแน่ ในคำว่าแม่ เธอรอคอยมาตลอดชีวิต เธอฝันอยากสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ แต่นี่อะไร พอจะมีลูก พอจะได้อยู่กับคนที่เธอรัก ทำไมถึงต้องมีคำทำนายบ้าๆ กำหนดชีวิตของเธอด้วย!
เชิงอรรถ :
(1) ซินแส