เสวนาในบาร์เบียร์

เสวนาในบาร์เบียร์

โดย : วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ

Loading

“เที่ยวโทงเทง” คอลัมน์ท่องเที่ยวกับเรื่องเล่าจากสมุดบันทึกของ “วิฑูรย์ ทิพย์กองลาศ” ซึ่งได้แบกเป้เดินทางคนเดียวตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นบันทึกการโดยสารขนส่งสาธารณะ การพบปะและบทสนทนากับผู้คน (ตลอดจนหมาแมว) พร้อมแนบข้อมูลทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมประจำเมือง แต่ละวันมักจบลงด้วยเบียร์เย็นๆ หรือวิสกี้ในบาร์ท้องถิ่น

ขาเป็ดอบและเบียร์ Budweiser Budvar เข้ากันดีมาก ผมซื้อมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตข้างป้ายรถรางละแวกพิพิธภัณฑ์แห่งชาติทางด้านเทคนิคกรุงปราก นำมาอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟในครัวของโฮสเทล เมื่ออิ่มแล้วถือโอกาสงีบหลับ เพียง 10 นาทีก็ตื่น เพราะการงีบหลับที่ดีไม่ควรนานเกินไป

กลุ่มวัยรุ่นจากตุรกีเพิ่งเข้ามาเช็กอิน พวกนี้หน้าตายิ้มแย้ม เป็นมิตร ผิดแผกไปจากชาติแขกเพื่อนบ้านและชาวยุโรป ในจำนวน 4 – 5 คน พูดอังกฤษได้อยู่คนเดียว เพื่อนๆ ต้องเรียกให้มาช่วยแปลอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าพวกเขาสนทนากับใครก็ตาม

ผมออกจากที่พักเพื่อไปหาโกรันตามเวลานัดหนึ่งทุ่ม เดินข้ามสะพานชาร์ลส์ไปยังฝั่งเมืองเก่า เลยจัตุรัสเมืองเก่าไปไม่ไกลนักก็ถึงลานน้ำพุ Wimmerova โทรบอกโกรันว่ามาถึงแล้ว เขาจึงเดินออกมาจากอาคารใกล้ๆ ลานน้ำพุซึ่งเขาเช่าออฟฟิศเล็กๆ อยู่ในนั้น แล้วพาผมไปร้านอาหารเอเชียที่เจ้าของและพนักงานเป็นคนญี่ปุ่น

โกรันสั่งข้าวผัดเนื้อและซุปยาจีน ผมสั่งแค่เบียร์แก้วเล็กมาจิบเพราะท้องยังแน่นอยู่ด้วยขาเป็ด 2 ขา โกรันบ่นว่าข้าวผัดแห้งเกินไป กลืนยาก ผมบอกว่าคนไทยกินซุปพร้อมๆ กับข้าวเพราะจะช่วยให้คล่องคอหากข้าวแข็งหรือแห้งไป แต่เขาเล่นกินซุปจนเกลี้ยงก่อนตามแบบฝรั่ง ฟังแล้วเขาก็เห็นด้วยกับวิธีการกินของคนไทย

ผมจ่ายเงินค่าท่องเที่ยวในเซอร์เบียและบอสเนียฯ ซึ่งเป็นส่วนต่างให้โกรันซึ่งเขาออกไปก่อนเป็นส่วนมาก แล้วเราก็แยกย้ายกันตรงบาทวิถีแถวๆ ลานน้ำพุที่เขาจอดรถไว้ ผมเดินไปยังเวนสลาส์สแควร์ซึ่งเป็นถนนกว้างแบบอเวนิว ลักษณะสี่เหลี่ยมผืนผ้า ทอดยาวจากฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างเขตเมืองเก่าและเขตเมืองใหม่ ขึ้นไปยังเนินบนฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ บนเนินมีอนุสาวรีย์เซนต์เวนสสลาส์ อดีตกษัตริย์ผู้เป็นที่รักของชาวเช็กจนได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นนักบุญ ด้านหลังของอนุสาวรีย์คืออาคารพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ถัดไปทางด้านซ้ายมือคือโรงละครแห่งชาติ และไม่ไกลออกไปคือสถานีรถไฟแห่งกรุงปราก

แม่น้ำวอลตาวา สะพานชาร์ลส์ และสถาปัตยกรรมทั้งสไตล์บาโร้กและโกธิก

แม้ว่าสองฝั่งถนนจะขนาบด้วยอาคารร้านค้าแบรนด์หรู โรงแรม ร้านอาหาร กาสิโน และโชว์เปลื้องผ้า แต่เวนสลาส์สแควร์ก็เป็นส่วนหนึ่งของเขตมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์แห่งกรุงปรากได้อย่างไม่ขัดเขิน ผมเดินเล่นไปจนสุดถนน นึกอะไรไม่ออกก็เดินกลับและมุ่งหน้าไปร้านชาโปรูจ (Chapeau Rouge) ใกล้ๆ จัตุรัสเมืองเก่าอีกจนได้

ค่ำนี้โต๊ะเต็มหมดแล้ว คงเพราะมีวงดนตรีสไตล์ร็อคแอนด์โรลเล่นสดในร้าน ผมจึงเข้าไปนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ หนุ่มใหญ่ศีรษะโล่งเตียนจากเดนมาร์กแนะนำตัว เมื่อทราบว่าผมเป็นคนไทยก็เอาประสบการณ์ในเมืองไทยที่ตัวเองทั้งชอบและไม่ชอบมาเล่าให้ฟัง ถัดจากเขาเป็นสตรีอายุประมาณยี่สิบปลายๆ มาจากไต้หวัน ตอนแรกผมก็นึกว่าทั้งคู่เป็นแฟนกันเพราะหนุ่มใหญ่ชาวเดนิชพูดคุยคิกคักเหมือนสนิทกันมานาน ปรากฏว่าสาวเจ้าขอตัวกลับก่อนจึงได้รู้ว่าเพิ่งเจอกันที่ร้านนี่เอง

โบสถ์เซนต์ฟรานซิสในสไตล์บาโร้ก (ซ้าย) และหอคอยสะพานชาร์ลส์ในสไตล์โกธิก (ขวา)

ที่โต๊ะกลมติดกับวงดนตรี มีหญิงสาวชาวยุโรปอนงค์หนึ่งนั่งอยู่แต่ผู้เดียวในชุดเดรสแนบเนื้อสีดำ โต๊ะของเธอมีเก้าอี้ว่างหลายตัวแต่ไม่มีใครเข้าไปขอนั่งด้วย เธอหมั่นมองด้วยใบหน้าแต้มรอยยิ้มแปลกๆ มาทางผมและหนุ่มใหญ่เดนิช แต่เราทั้งคู่ทำตัวได้นิ่งพอสมควร และมีเพลงจากวงร็อคแอนด์โรลช่วยยับยั้งความสงสัย หมดเบียร์ 2 ไพต์ หญิงลึกลับก็เดินออกจากร้านไป ตอนเดินผ่านพวกเราเธอไม่ยักชายตามามอง

จัตุรัสเมืองเก่ากรุงปรากยามราตรี

สักพักมีหนุ่มอังกฤษมานั่งข้างๆ สวมหมวกแก๊ปและใส่แว่นสายตา ดูๆ ไปหน้าละม้าย “จอห์น เลนนอน” เขาเป็นตากล้องแถมยังเข้าร่วมแสดงบางฉากในภาพยนตร์เรื่อง โอฟีเลีย” (Ophelia) ซึ่งดัดแปลงจากบทละครเรื่อง “แฮมเล็ต” ของ “วิลเลียม เชคสเปียร์” (โอฟีเลียคือคนรักของเจ้าชายแฮมเล็ต) เล่าว่าก่อนนี้ได้ถ่ายที่กรุงเบลเกรดมา 2 เดือน เพิ่งย้ายมาถ่ายที่กรุงปรากได้ไม่กี่วัน

หอคอยดินปืน (Powder Tower หรือ Powder Gate) กรุงปราก

ตากล้องจากอังกฤษดื่มได้ไพต์เดียวก็ขอตัวกลับ มีลุงชาวเช็กมานั่งข้างๆ หนุ่มใหญ่เดนิช ทั้งคู่รู้จักกันดีและศีรษะโล่งเตียนเหมือนกัน หนุ่มใหญ่เดนิชเป็นคนเลี้ยงเบียร์ลุงเช็ก ทั้งคู่สื่อสารกันเข้าใจเพราะหนุ่มใหญ่เดนิชเดินทางมาทำธุรกิจที่ปรากบ่อยและครั้งละนานๆ จึงพูดภาษาเช็กได้บ้าง

เขาบอกผมว่าลุงคนนี้เคยแสดงเป็น “อุซามะห์ บิน ลาเดน” ในมิวสิกวิดีโอของศิลปินจากอเมริกาที่มาถ่ายทำในกรุงปราก ลุงแกมีบทต้องวิ่งไปทั่วทั้งเมือง คงประมาณว่าถูกไล่ล่าจากอเมริกาหรือใครบางคน ตอนนั้นแกยังมีแรงวิ่ง ตอนนี้เจอเบียร์ไป 2 ไพต์ก็เมาฟุบอยู่กับเคาน์เตอร์บาร์ คาดว่าแกน่าจะดื่มมาก่อนแล้วจากที่อื่น

ปฏิมากรรม 1 ใน 30 ชิ้นบนสะพานชาร์ลส์

หนุ่มใหญ่เดนิชขอตัวกลับ ผมเองก็ออกจากร้านไปหลังเขาไม่นาน ปล่อยให้ลุงบิน ลาเดน ฟุบอยู่อย่างนั้น แต่แกคงไม่เป็นไร เท่าที่สังเกตดูแกน่าจะคุ้นเคยกับสถานที่และผู้คนในบาร์แห่งนี้เป็นอย่างดี

ผมเดินข้ามสะพานชาร์ลส์กลับไปยังฝั่งปราสาทกรุงปราก แวะ “บลูไลท์บาร์” ในเวลาเกือบตีหนึ่ง บอดี้การ์ดร่างใหญ่กล้ามโตเปิดประตูให้ คืนนี้มีคนเต็มร้าน เช่นเดียวกับอีกหลายร้านเพราะเป็นคืนสุดท้ายที่นักเที่ยวสามารถสูบบุหรี่ในผับบาร์ได้ กฎหมายห้ามจะมีผลบังคับใช้ในวันรุ่งขึ้น คือวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2017 ถือว่าสาธารณรัฐเช็กออกกฎหมายนี้ช้ากว่าหลายประเทศทั่วโลก พวกนักดื่มที่ควบตำแหน่งสิงห์อมควันด้วยจึงนิยมมาเที่ยวกรุงปรากกันมาก และคืนนี้พวกเขาจำต้องบอกลาบรรยากาศแบบนั้น

โชคดีของผมที่มีโต๊ะว่างใกล้ๆ เคาน์เตอร์บาร์ สั่งเบียร์ Pilsner มาดื่ม สักพักมีคนเข้ามาทัก เขาเป็นชายหนุ่มไว้หนวดโค้งตวัดขึ้นเหมือนเคียวเกี่ยวข้าวคล้ายๆ หนวดน้าเล็ก คาราบาว แต่หมอนี่ยังหนุ่ม อายุไม่เกิน 30 ปี

“คุณเป็นมือสังหารหรือเปล่า ?” คำถามของเขาแปลกๆ ไม่รู้ว่าแฝงนัยยะอะไร

“ผมจ้างมือสังหารอีกที” ผมตอบโดยฝืนยิ้มสยามไว้

เขาแนะนำตัวแต่ผมลืมชื่อไปแล้ว จำได้แต่ว่ามาจากบราติสลาวา เมืองหลวงของสโลวาเกีย แล้วสตรีคนหนึ่งก็มาเกาะไหล่เขา เธอแนะนำ “ดิฉันชื่อโซฟี มาจากอเมริกา” หน้าตาเธอคล้าย “จูเลีย โรเบิร์ต” มาก

บริเวณเชิงสะพานชาร์ลส์ มองไปยังฝั่ง Lesser Town

โซฟีและคู่ควงของเธอไม่ยอมให้ผมจ่ายค่าเบียร์อีกเลยในคืนนั้น พวกเขาวนเวียนอยู่ที่โต๊ะของผมที่มีเก้าอี้อีกตัวหนึ่ง หากคนหนึ่งนั่ง อีกคนก็จะเต้นรำ

เวลาผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง หนุ่มจากบราติสลาวาถอดเสื้อเต้นรำ ซึ่งในร้านมีเพียงเขาคนเดียวที่ทำเช่นนี้ และอย่างฉับพลันด้วยความเบื่อหรืออยากเอาใจคู่ควง หรือด้วยฤทธิ์ของอะไรไม่ทราบได้ โซฟีที่กำลังนั่งคุยอยู่กับผมก็ยืนขึ้นแล้วถอดเสื้อเต้นอีกคน

ทั้งร้านส่งเสียงฮือฮาหันมามองเป็นสายตาเดียวกัน เพราะเธอไม่ใส่ยกทรง!!

โซฟีขอให้ผมถอดเสื้อเป็นเพื่อนด้วยแต่ผมปฏิเสธ เธออนุโลมให้โดยมีข้อแม้ ขอให้ผมเป็นสมาชิกในวงดนตรีล่องหนของเธอ

ตัวเธอเองเล่นกีตาร์ คู่ควงของเธอเล่นเครื่องเป่า ผมตีกลอง วงดนตรีของเราได้รับความสนใจจากผู้ชม บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างนอกยังเดินเข้ามาในร้านแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้หน้าเปียโน (จริง) แล้วจัดการพรมนิ้วบรรเลง (แบบล่องหน) สร้างสีสันให้กับวงดนตรีนานาชาติวงนี้ขึ้นไปอีกขั้น

ผมไม่ได้สังเกตว่าคู่รักหนุ่มสาวคู่อื่นที่มาด้วยกันจะมีปฏิกิริยาอย่างไร หญิงสาวจะบิดหูหรือหยิกสีข้างของแฟนหนุ่มหรือไม่ตอนที่เขาเหลือบมามองท่อนบนที่เปลือยเปล่าของโซฟี

7 โมงยามหลับไหลในกรุงปราก

แม้แต่เมื่อตอนที่เมื่อยเท้าจนต้องกลับมานั่งที่โต๊ะแล้ว โซฟีก็ยังไม่ยอมใส่เสื้อ และไม่มีใครมาขอให้เธอใส่ซะด้วย

เวลาเกือบตี 4 เหมือนเพียงพอแล้วสำหรับการส่งท้ายค่ำคืนที่ผับบาร์ในสาธารณรัฐเช็กจะอวลด้วยควันบุหรี่ คู่รักหยิบเสื้อมาใส่ ชวนผมเดินไปยังสะพานชาร์ลส์ ผมบอกพวกเขาว่า “เราลากันตรงนี้แหละดีแล้ว” ก่อนที่หนุ่มจากสโลวาเกียและสาวจากอเมริกาจะเดินโอบกันออกไป

บนสะพานชาร์ลส์ ในโมงยามที่ร้างผู้คน ทั้งคู่จะทำอะไรบ้าง ผมไม่อยากคิด

 

Don`t copy text!