
บ่วงวงกต บทที่ 6 : วันแรกในรีสอร์ท
โดย : Cirrus Halo
“บ่วงวงกต” นิยายสยองขวัญลึกลับ โดย Cirrus Halo เรื่องราวกลุ่มเพื่อนที่เดินทางสู่จังหวัดเลยเพื่อเที่ยวงานผีตาโขน แต่กลับติดอยู่ในรีสอร์ทปริศนาและต้องเผชิญเหตุฆาตกรรมสุดหลอน อ่านได้ที่ อ่านเอา
เช้าวันรุ่งขึ้น เสียงเคาะประตูบ้านพักดังขึ้นสามสี่ครั้งปลุกจุรีและสิริให้ตื่นลุกขึ้นนั่งบนเตียง เมื่อฟังดูก็เหมือนจะไม่ได้ตั้งใจเคาะเรียกพวกเธอ สิริเดินตรงไปจะเปิดประตู ในขณะที่จุรีเดินตามไปยืนข้างๆ เพื่อนอย่างระวังตัวเพราะไม่แน่ใจเจตนาของผู้มาเยือน
เมื่อดึงประตูเปิดจึงพบว่าต้นเสียงเกิดจากด้ามไม้ถูพื้นของแม่บ้านซึ่งกำลังทำความสะอาดพื้นระเบียงชานเรือนของบ้านพักที่พวกเธออยู่ หญิงวัยกลางคนร่างผอมหยุดมือพลางหันมาคุยกับสิริซึ่งยืนมองอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“ป้าแก้วเคาะห้องหรือคะ”
“เปล่านี่คะ คงเป็นด้ามไม้ถูพื้นที่ไปกระแทกโดนน่ะ” แก้วชี้ให้ดูพื้นเปียกแฉะที่ยังมีรอยคราบน้ำเหลืออยู่นิดหน่อย “เมื่อวานฝนตก ฉันก็เลยมาวิดน้ำออกแล้วก็ถูระเบียงให้น่ะค่ะ”
ท่าทีของสิริอ่อนลง จุรีจึงเดินออกมาดูเหตุการณ์นอกห้อง
“ขอบคุณค่ะ แต่เสียงดังรบกวนเราน่ะค่ะ ระวังนิดนึงนะ”
“งั้นก็ขอโทษด้วยค่ะ ดิฉันขอตัวไปทำความสะอาดระเบียงบ้านพักอื่นก่อนนะคะ”
กล่าวจบแก้วก็เก็บอุปกรณ์แล้วเดินจากไป สิริปิดประตูบ้านพักก่อนเหลือบมองนาฬิกาข้อมือซึ่งบอกเวลาเจ็ดโมงตรง เธอถอนหายใจทั้งที่ท่าทางยังงัวเงียอยู่
“มันอะไรกันนักกันหนาแต่เช้านะ พวกธนันต์ยังไม่ตื่นเลยด้วยซ้ำ”
“เอาเถอะ วันนี้อาจจะได้อยู่ที่นี่เป็นวันสุดท้ายแล้ว อดทนหน่อย” จุรีปลอบใจเพื่อนก่อนจะเดินไปปิดเสียงเตือนในมือถือ “ไหนๆ แล้วก็อาบน้ำแต่งตัวเตรียมไว้เลยก็แล้วกัน”
ธนันต์กับตรีสิทธิ์เดินตามก้องกับดำรงเข้าไปในลานจอดรถโดยมีสิริและจุรีเดินตามมาด้วย ดำรงเปิดประตูขึ้นนั่งที่คนขับ ในขณะที่ตรีสิทธิ์กับธนันต์นั่งประจำที่ผู้โดยสารเรียบร้อยแล้ว ดำรงจึงขับรถออกจากบ้านพักไป
ตรีสิทธิ์กับธนันต์ลงจากรถของดำรงเมื่อรถจอดที่หน้าอู่ซ่อมรถซึ่งอยู่ห่างจากบ้านพักราวยี่สิบกิโลเมตร ธนันต์ซึ่งสังเกตเส้นทางมาตลอดเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อรีสอร์ตริมภู เพราะนอกจากจะไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกเนื่องจากอินเทอร์เน็ตมีปัญหาแล้ว ยังเป็นสถานที่ที่อยู่ลึกเข้าไปในทางแยกเล็กๆ ซึ่งหากไม่สังเกตดีๆ ก็จะมองไม่เห็น และยังไม่ปรากฏในแผนที่จีพีเอสอีกด้วย
หลังจากยกมอเตอร์ไซค์ลงจากหลังรถกระบะแล้วส่งเข้าไปซ่อมในอู่ ธนันต์กับตรีสิทธิ์จึงได้คุยกับเจ้าของอู่ พวกเขาจำเป็นต้องใช้รถลากเพื่อนำรถของสิริที่ชนต้นไม้เข้ามาซ่อมด้วย เจ้าของอู่รถเป็นชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ เขาโต้ตอบกับธนันต์ด้วยวาจาโผงผาง
“เราไปลากรถให้ได้อยู่หรอก แต่ไม่มีรถสำรองให้ใช้นะ”
ธนันต์กับตรีสิทธิ์มองหน้ากันอย่างผิดหวัง ก่อนจะกล่าวกับเจ้าของอู่
“แล้วรถมอเตอร์ไซค์เราน่าจะซ่อมเสร็จเมื่อไรครับ”
“ด่วนที่สุดก็มารับได้พรุ่งนี้เช้า”
“คือรถเพื่อนพวกผมเสีย เราเข้าออกรีสอร์ตลำบากมาก พี่พอจะมีเบอร์รถรับจ้างรายวันให้ติดต่อได้มั้ยครับ”
“ที่จริงคนขับรถที่ชื่อดำรงที่พวกน้องติดรถเขามา เขารับจ้างวิ่งรถสองแถวแบบเหมารายวันอยู่นะ พวกน้องเมมเบอร์เขาไว้ก็แล้วกัน”
ตรีสิทธิ์กับธนันต์หยิบมือถือขึ้นมาเปิดดูก็พบว่ามีสัญญาณปรากฏขึ้นแล้ว ธนันต์ลองโทร.หาสิริแต่โทรศัพท์ของอีกฝ่ายกลับไม่มีสัญญาณเลย ในขณะที่ตรีสิทธิ์ถามเจ้าของอู่เรื่องรถต่อ
“แล้วรถเก๋งที่ชนน่าจะใช้เวลาซ่อมนานแค่ไหนครับ”
“ประเมินจากที่เคยเจอน่าจะใช้เวลาสามสี่วันครับ ผมต้องขอดูความเสียหายจริงก่อนด้วย พวกน้องนั่งไปกับรถลากไปชี้จุดให้หน่อยก็พอ”
“ถ้างั้นวันนี้เราก็ยังไม่มีรถใช้สินะ” ตรีสิทธิ์บ่นกับธนันต์ก่อนจะเดินตามเจ้าของอู่ไปยังรถลากที่จอดอยู่ในลานว่างรอบอู่รถ
จุรีและสิริซึ่งถูกปลุกให้ตื่นก่อนเวลาเดินงัวเงียไปทางจุดชมวิวของรีสอร์ตริมภู พวกเธอไม่ได้ตั้งใจจะไปส่งธนันต์กับตรีสิทธิ์ด้วยซ้ำแต่พอตื่นแล้วก็นอนไม่หลับอีก ระหว่างทางที่จะไปถึงจุดหมายกลับได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมาจากบ้านพักของเจ้าของรีสอร์ต ทั้งคู่หันไปมองทางต้นเสียงจึงเห็นก้องกำลังมีปากเสียงกับกิ่ง
“เมื่อไรแกจะทำตัวเป็นผู้เป็นคนสักที ฉันไม่ได้ขออะไร แค่ขอให้แกเลิกยา เลิกการพนัน แล้วมาช่วยฉันดูแลรีสอร์ตให้ดีๆ เนี่ย” กานต์ขึ้นเสียงเข้มตำหนิก้อง
“ผมแค่ขอเงินเดือนส่วนของผมเพิ่ม ไม่ได้ขออะไรเยอะเลย”
“ฉันให้เงินเดือนแกตามความสามารถอยู่แล้ว แกเห็นมั้ยว่ากิจการรีสอร์ตก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร ยังจะมาขอเพิ่มเงินอะไร”
ในขณะที่กำลังแผดเสียงใส่ก้อง สายตาของกิ่งเหลือบเห็นสิริกับจุรีที่ยืนชะงักฟังอยู่ กิ่งรีบเปลี่ยนท่าที พยักพเยิดให้ก้องมองไปที่แขกก่อนกล่าวด้วยเสียงเบาลง
“เข้าไปคุยในบ้าน ตรงนี้อายเขา”
กิ่งเดินนำก้องเข้าไปในบ้านพัก จุรีกับสิริได้แต่มองหน้ากันอย่างเอือมระอาเพราะตั้งแต่เข้ามาในรีสอร์ตก็เหมือนจะเจอแต่คนมีปัญหา
ทั้งคู่เดินต่อไปยังจุดชมวิวซึ่งมีบันไดทอดยาวไปสู่ชั้นที่สูงขึ้น จึงมองเห็นลานว่างริมหน้าผาที่มีรั้วไม้เตี้ยๆ กั้นเป็นแนวไม่ให้เดินเข้าใกล้หุบเหวมากเกินไป
จุรีกำลังจะเดินไปลงนั่งที่ม้านั่งเล็กๆ ที่มีอยู่ไม่กี่ตัวในลาน แต่สิริเหลือบเห็นป้ายบอกทางร้านกาแฟให้ลงไปอีกทางหนึ่งเสียก่อน ทั้งคู่จึงตัดสินใจเดินลงไปดูจึงพบศาลาไม้ที่จัดชุดโต๊ะเก้าอี้ไว้ราวห้าหกชุด มีเคาน์เตอร์จำหน่ายเครื่องดื่มและอาหารแบบง่ายๆ ด้วย แม่บ้านที่ชื่อแก้วเป็นคนดูแลร้าน จุรีจึงกล่าวทักทายอีกฝ่าย
“ป้าแก้วเปิดร้านในรีสอร์ตนี้ด้วยหรือคะ”
“ฉันรับจ้างรายเดือนให้ดูแลที่นี่ช่วงสายกับบ่ายถ้ามีลูกค้าน่ะ เช้าเย็นถึงจะทำหน้าที่ทำความสะอาด แล้วพวกเธอจะสั่งอะไรมั้ยล่ะ”
“กาแฟดำหวานน้อยกับกาแฟนมก็ได้ค่ะ”
“ที่นี่เปิดมานานหรือยังคะ” สิริถือโอกาสถามความเป็นมาของรีสอร์ต พลางเลื่อนเก้าอี้ลงนั่งที่โต๊ะใกล้เคาน์เตอร์ที่สุด
“ไม่นานหรอก สองสามปีเอง ช่วงแรกๆ ที่นี่ก็ไปได้สวยนะ แต่หลังจากสัญญาณระบบโทรศัพท์มีปัญหา คนก็มาน้อยลง” แก้วตอบพลางชงกาแฟไปด้วย
“แล้วป้าแก้วทำงานที่นี่ตั้งแต่รีสอร์ตเปิดเลยหรือเปล่าคะ”
“ใช่ ที่จริงฉันเป็นโรคหัวใจอยู่ แต่ทำงานได้ คุณกิ่งก็เลยจ้างฉันต่อ”
จุรีสังเกตเห็นแก้วยืนพักเป็นระยะ บางครั้งก็ยกมือขึ้นกุมหัวใจจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“ป้าแก้วเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ท่าทางไม่ค่อยดีเลย”
แก้วส่งถ้วยกาแฟสองถ้วยให้ลูกค้าก่อนนั่งพักแล้วกล่าวตอบ “ไม่เป็นไรมากหรอก วันนี้หน้ามืดนิดหน่อย นั่งพักแป๊บเดียวก็หาย”
“ให้ฉันแจ้งเจ้าของรีสอร์ตให้มั้ยคะ” สิริถามแทรกขึ้นแต่อีกฝ่ายส่ายหน้า
“ไม่ต้องหรอก วันนี้ลูกค้าไม่เยอะ งานก็ไม่ได้หนักหนาอะไร”
“ถ้างั้นเราขอตัวก่อนนะคะ ว่าจะลองเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ตหน่อย”
สิริชวนจุรีให้ลุกขึ้นพลางหยิบแก้วกาแฟไปด้วย แก้วจึงพูดไล่หลังทั้งคู่
“ที่นี่ไม่กว้างมาก เดินไม่กี่ทีก็รอบแล้ว ตามสบายนะ”