บ่วงวงกต บทที่ 7 : ตลาดกลางคืน

บ่วงวงกต บทที่ 7 : ตลาดกลางคืน

โดย : Cirrus Halo

Loading

“บ่วงวงกต” นิยายสยองขวัญลึกลับ โดย Cirrus Halo เรื่องราวกลุ่มเพื่อนที่เดินทางสู่จังหวัดเลยเพื่อเที่ยวงานผีตาโขน แต่กลับติดอยู่ในรีสอร์ทปริศนาและต้องเผชิญเหตุฆาตกรรมสุดหลอน อ่านได้ที่ อ่านเอา

จุรีกับสิริเดินชมทิวทัศน์รอบรีสอร์ตจนครบทุกที่แล้วจึงเดินออกมาดูรถของตนเองที่ชนคาต้นไม้อยู่ ซึ่งบังเอิญกับที่รถลากเตรียมการลากรถของสิริออกจากที่เกิดเหตุและกำลังจะออกเดินทางกลับอู่ซ่อมรถ ธนันต์กับตรีสิทธิ์ลงจากรถลากปล่อยให้พนักงานของอู่รถจัดการที่เหลือต่อ

“พวกเธอออกมาทำอะไรกัน”

“เดินเล่นข้างในจนเบื่อก็เลยออกมาดูรถน่ะ” สิริตอบคำถามธนันต์พลางมองดูรถลากวิ่งลับตาไป

“รถของเธอน่าจะใช้เวลาซ่อมนาน อู่รถไม่มีรถเช่าให้ด้วย แต่ฉันโทรติดต่อรถสองแถวให้มารับเราตอนห้าโมงเย็นแล้ว ฉันจะพาไปเที่ยวที่ตลาดกลางคืนใกล้ๆ”

“ที่จริงน่าจะติดต่อให้พาเราไปที่พักอื่นเลยจะดีกว่า ที่นี่ไม่น่าอยู่เลย”

“ฉันบอกเจ้าของอู่ให้ช่วยขับมอเตอร์ไซค์มาส่งเราพรุ่งนี้เช้า ถ้าได้มอเตอร์ไซค์มาแล้วฉันจะไปเอารถที่บ้านมารับพวกเธอ จะได้ไม่ต้องเสียเงินค่าเหมารถไปเที่ยวที่อื่นต่อ เพราะงั้นทนพักอีกสักคืนนะ พวกฉันจะอยู่เป็นเพื่อน”

“ฉันก็เห็นด้วยนะ” จุรีกล่าวแทรกขึ้น “เราเสียเงินไปกับค่าซ่อม ค่ารถลาก แล้วไหนจะค่าปรับของรีสอร์ตเดิมที่จองไว้อีก รีสอร์ตริมภูไม่แพงมากและที่พักโดยรวมก็ถือว่าไม่เลวร้าย ประหยัดไปได้อีกคืนก็ยังดี”

“ก็ได้” สิริรับปากแบบไม่เต็มใจนัก “ไปตลาดเย็นก็ดี จะได้แวะซื้อของกินแล้วก็ของใช้ของพวกนายเพิ่มอีกหนึ่งคืน”

“แล้วที่อู่ซ่อมรถ โทรศัพท์ใช้การได้มั้ย” จุรีหันไปถามตรีสิทธิ์บ้าง

“ใช้ได้ แต่เราติดต่อพวกคุณจากที่นั่นไม่ได้ มันไม่มีสัญญาณ”

“เอาเถอะ อย่างน้อยก็แน่ใจได้ว่าที่นี่ไม่ใช่รีสอร์ตผีสิง”

สิ้นเสียงของจุรี เสียงไซเรนก็ดังขึ้นก่อนที่รถพยาบาลจะวิ่งผ่านหน้าทุกคนเข้าไปในรีสอร์ต ธนันต์ถามสองสาวอย่างแปลกใจ

“เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

“ไม่รู้สิ ตอนออกมาทุกอย่างก็เรียบร้อยดีนี่นา” สิริตอบ

“เรารีบเข้าไปดูข้างในกันเถอะ”

จุรีกล่าวก่อนจะวิ่งนำหน้าทุกคนเข้าไปในรีสอร์ต ทุกคนยืนมองรถพยาบาลวิ่งขึ้นเนินไปจอดบริเวณหน้าเรือนประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นจุดไกลที่สุดที่รถจะวิ่งเข้าไปจอดได้ ไม่นานนักเจ้าหน้าที่พยาบาลก็วิ่งลากเตียงรถเข็นตรงไปยังพื้นที่ร้านกาแฟ แล้วกลับออกมาพร้อมกับร่างของป้าแก้วซึ่งเป็นแม่บ้านทำความสะอาด เธอนอนกุมหน้าอกซ้ายหายใจรวยรินโดยมีหน้ากากออกซิเจนครอบปากและจมูกเอาไว้ ตอนนี้เธออยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ซึ่งลากเตียงเธอขึ้นรถแล้วขับออกจากรีสอร์ตไปท่ามกลางสายตาของแขกที่มาพัก

ธนันต์เห็นก้องยืนอยู่ในหมู่ผู้คนที่มายืนมุงดูเหตุการณ์ จึงเดินนำทุกคนเข้าไปถามอย่างใคร่รู้

“เกิดอะไรขึ้น ป้าคนนั้นเขาเป็นอะไร”

“อยู่ๆ โรคหัวใจก็กำเริบน่ะสิ”

สิริหันมองซ้ายขวาแต่กลับไม่เห็นกิ่งซึ่งเป็นพี่สาวของก้อง “แล้วคุณกิ่งไม่มาด้วยหรือคะ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ในรีสอร์ต เธอน่าจะร้อนใจที่สุดนะ”

“พี่เขาไม่ค่อยสบาย เลยยังนอนหลับอยู่ในห้อง”

“งั้นคุณก้องต้องตามไปโรงพยาบาลด้วยมั้ยคะ” จุรีถามเพราะเห็นว่าป้าแก้วตัวคนเดียว

“ผมให้เบอร์ญาติของป้าเขากับพวกเจ้าหน้าที่พยาบาลไปแล้วครับ เดี๋ยวเขาคงไปติดต่อกันเอง ถ้ามีอะไรก็คงจะมาหาพี่ผมโดยตรงนั่นแหละ”

ก้องตอบเหมือนเป็นเรื่องไม่สำคัญ เขาเดินแยกย้ายไปพร้อมกับคนอื่นๆ ในรีสอร์ต ทั้งสี่คนกลับมารวมตัวที่บ้านพักของสิริกับจุรี สีหน้าของพวกเธอทั้งสองซีดเผือดเริ่มกระวนกระวายใจ

“หรือเราควรจะไปหาที่พักอื่นคืนนี้เลย ฉันว่าเราจะอยู่กันไม่เป็นสุขแล้วนะ”

“ยังไงก็ต้องรอมอเตอร์ไซค์ของฉันมาส่งพรุ่งนี้เช้า เราใช้โทรศัพท์ที่นี่ไม่ได้น่ะ” ธนันต์ตอบสิริอย่างจนปัญญา

จุรีเดินเข้ามาปลอบใจเพื่อน “เอาน่า คืนนี้ไปเที่ยวตลาด อาจจะทำให้อารมณ์ดีขึ้นก็ได้”

“ก็ขอให้เป็นงั้นเถอะ”

ตรีสิทธิ์นิ่งเงียบหันมองไปทางบ้านพักของเจ้าของรีสอร์ต อันที่จริงเขาก็อยากจะบอกให้ทุกคนเปลี่ยนที่พักคืนนี้เลย แต่ก็ไม่อยากให้เกิดความแตกตื่น

เมื่อตะวันเริ่มคล้อยต่ำใกล้จะลับขอบฟ้า ดำรงขับรถสองแถวเข้ามารับทั้งสี่คนในลานจอดรถของรีสอร์ตก่อนจะขับออกไปเพื่อมุ่งหน้าไปยังตลาดกลางคืนซึ่งอยู่ห่างออกไปราวสิบกิโลเมตร เมื่อมาถึงลานจอดรถของตลาด ธนันต์บอกกับดำรงให้มารอรับอีกทีตอนสองทุ่ม ก่อนจะเดินนำเพื่อนเข้าไปข้างใน

แม้จะบอกว่าเป็นตลาดกลางคืน แต่ที่นี่ดูเหมือนหมู่บ้านขนาดเล็กมากกว่า ถนนลาดยางที่เคยเป็นเส้นทางสำหรับรถวิ่งสวนกันในเวลากลางวัน กลับเปิดให้คนเดินเท้ากันขวักไขว่ในยามกลางคืน สองข้างทางขนาบด้วยตึกแถวซึ่งเปิดเป็นที่พักบ้าง ร้านค้าบ้าง มีขายอาหาร เครื่องดื่มและของใช้แฟชั่น นอกจากนี้ยังมีร้านค้ารถเข็นแผงลอยวางขายของที่ระลึกแบบต่างๆ ตลาดดูครึกครื้นและสว่างไสวจากแสงไฟหลากสีที่ประดับประดาอยู่โดยรอบ

จุรีสนใจร้านปิ้งย่างซึ่งมีข้าวเหนียวนึ่งทาเกลือชุบด้วยไข่เสียบไม้ย่างวางกินพื้นที่มากที่สุดบนเตา กลิ่นหอมของข้าวปะปนกับกลิ่นไหม้อ่อนๆ ของเตาถ่านทำให้พวกเธอเลือกซื้อมันติดมือเป็นอย่างแรก ธนันต์บอกว่ามันคือข้าวจี่ซึ่งเป็นอาหารทานเล่นแบบที่นิยมกันในภาคอีสาน

นอกจากนี้ยังมีอาหารทะเลอย่างปูหรือกุ้งตัวเล็ก และปลาหมึกเสียบไม้ย่าง เมื่อเดินมาอีกหน่อยจึงมีโอกาสได้ลิ้มรสขนมหวานอย่างบัวลอยซึ่งเป็นแป้งหวานหลากสีปั้นก้อนกลมลอยอยู่ในกะทิขาว และปาท่องโก๋ยัดไส้สังขยาซึ่งแปลกตาไม่ได้เห็นมากนักในกรุงเทพฯ หลังจากอิ่มท้องกับอาหารคาวหวานที่เดินไปซื้อไปจนเต็มไม้เต็มมือแล้ว ทั้งสี่คนก็เดินเข้ามานั่งพักกันในร้านกาแฟเล็กๆ ที่มุมหนึ่งของตลาด

“พอได้มาเดินตลาดแล้ว อารมณ์ดีขึ้นจริงๆ ” สิริกล่าวก่อนจะหันไปดูผู้คนที่เดินสัญจรไปมาอยู่นอกร้าน ในขณะที่ธนันต์และตรีสิทธิ์เดินไปซื้อเครื่องดื่ม

“พรุ่งนี้ก็ได้ออกจากรีสอร์ตนั่นแล้ว อดทนหน่อย”

สิริสังเกตสีหน้าของเพื่อนก็ยิ้มบางออกมา “ดูเธอดีขึ้นแล้วนะ หรือว่าพบรักครั้งใหม่แล้ว”

สิริมองไล่หลังตรีสิทธิ์ แต่จุรีปฏิเสธทันควัน

“รักอะไรล่ะ ยังไม่ถึงขั้นสนิทใจเลยเถอะ อย่าคิดเยอะ”

“ไม่ให้โอกาสเขาหน่อยหรือ เห็นพวกเธอสนิทกันดีออก”

จุรีเม้มปากแล้วจึงอธิบาย “เขามีบางอย่างที่ทำให้ฉันประหลาดใจ บางอย่างที่ฉันต้องยืนยันหน่อย”

“งั้นก็ตามใจนะ อีกไม่นานเราต้องกลับกรุงเทพแล้ว อย่าลืมล่ะ”

 



Don`t copy text!