
ตรวนใบจาก บทที่ 4 : เรื่องเล่าของกิมเหมย
โดย : ฉาย แสงเพชร
ตรวนใบจาก รางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 5 โดย ฉาย แสงเพชร เกษตรกรจาก จ.ตราด ผู้ฝันอยากเป็นนักเขียนแนวท้องถิ่นที่ได้พลิกบทบาทจากงานเขียนเชิงวิชาการมาสู่การเขียนนวนิยายแนวแฟมิลี่ดราม่ากับเรื่องราวของอาชีพลอกใบจากและชีวิตที่เป็นปริศนาของคุณยายคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอา
ถึงปากจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่สิ่งที่หลุดออกมาจากปากของคนที่ยายเรียกว่าใบจากกลับสร้างความหวั่นไหวในใจเธอได้ไม่น้อย เสียงพูดของเขาดังก้องในหัวตลอดเวลา ตลอดช่วงบ่าย ว่างเมื่อใด เธอจะมองไปยังร่างชรา ผอมบาง ที่นอนนิ่งอยู่เงียบๆ แทบทั้งวัน ผู้หญิงคนนี้หรือที่เคยมีฤทธิ์เดชอย่างที่เขาว่า ไม่น่าเป็นไปได้
‘… เลี้ยงผี เล่นของจนของเข้าตัว มีผัวก็ฆ่าผัว มีลูกก็ฆ่าลูก …’
ตอนนี้ ยายดูแทบไม่มีเรี่ยวแรงเหลือเลย มีแต่ตอนที่ป้ากิมเหมยมาป้อนข้าวและเช็ดตัวให้เท่านั้น ที่ป้าจะประคองยายของเธอขึ้นมานั่งพิงผนัง ยายกินอาหารได้น้อยเหลือเกิน มื้อหนึ่งๆ กินได้แค่ข้าวกับน้ำแกงจืดไม่เกินสิบช้อน นอกจากนั้น ก็เป็นน้ำหวานบ้าง น้ำผลไม้บ้าง ส่วนนม คุณยายกินไม่ได้ แค่ได้กลิ่นก็เหม็นจนกลืนไม่ลง ขืนกินเข้าไปก็อาเจียนออกหมด
พอตะวันตกดิน ป้ากิมเหมยปิดบ้านโดยทันที บริเวณบ้านที่ล้อมรอบไปด้วยเงาะและมังคุด ทำให้ดูมืดและน่ากลัวยิ่งนักในตอนใกล้ค่ำสำหรับคนไม่เคยอยู่ คืนนี้ บ้านหลังนี้มีแค่เธอ ยาย และป้ากิมเหมยเท่านั้น พอเธอถามถึงลุงเทียน ป้าจึงอธิบายให้เธอฟัง
“ลุงแกไปอยู่ขนำบนเนินทางโน้นแน่ะ เนินนั่นลงทุเรียนไว้ หน้านี้ทุเรียนใกล้จะแก่แล้ว แกไปนอนเฝ้าสวนทุเรียนทางโน้น ไม่งั้นจะถูกขโมย ทุกทีจักรจะนอนกับป้าที่บ้านนี้ แต่คืนนี้หนูมา จักรเลยไปนอนกับลุง”
ดีแล้ว ที่อีตานั่นไม่อยู่ที่นี่คืนนี้ โบตั๋นนึกกระหยิ่มในใจ เป็นโอกาสดีแล้วที่เธอจะได้ซักถามเรื่องราวของคุณยายให้กระจ่าง เมื่อเธอแสดงความตั้งใจว่าจะซักถามความเป็นมาในชีวิตของคุณยายที่แม่ไม่เคยเล่าให้เธอฟังเลย ป้ากิมเหมยก็แสดงความกระตือรือร้นพร้อมเล่าให้ฟังอย่างเต็มอกเต็มใจ
“ยายของหนูน่ะชื่อสีไพล เขาว่ากันว่าตอนแกสาวๆ น่ะ แกสวยมาก เอวบางร่างน้อย ผิวแกออกเหลือง ไม่ได้คล้ำอย่างตอนนี้ แกเลยชื่อสีไพลไง หนูรู้จักไพลไหม ที่เอาทำยาได้น่ะ”
โบตั๋นพยักหน้า ในเมื่องานวิจัยที่เธอถนัดคือการสกัดสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติ ทั้งสารสมุนไพรและสีย้อม หัวไพลคือหนึ่งในพืชที่เธอสกัดเพื่อส่งให้เพื่อนร่วมทีมวิจัยไปทดสอบสารพัดหัวข้ออยู่บ่อยครั้ง
“แต่ก็อย่างว่านะ เขาว่าผู้หญิงสวยมากนี่เหมือนถูกสาป ไม่สมหวังในเรื่องความรัก เขาว่ากันว่าแกแต่งงานครั้งแรกแต่ยังสาว ไม่กี่ปีก็เลิกกัน มีลูกติดมาคนหนึ่ง แกเป็นหม้ายไม่นานก็มีหนุ่มมาติดพันหลายคน สุดท้ายแกเลยแต่งงานกับเตี่ยของป้า ชีวิตทำท่าจะดี แต่พอแกท้องลูกคนสุดท้ายคือแม่ของหนูนั่นแหละ เตี่ยก็ตายไป ชีวิตแกต้องลำบากอีก เรื่องทั้งหมดนี้ มีคนเล่าให้ป้าฟังตอนโตแล้วนะ ป้าเกิดไม่ทันหรอก”
“ป้าจำหน้าเตี่ยไม่ได้เลยหรือคะ”
“จำได้เลาๆ ว่าเป็นคนร่างท้วม ผิวขาว หน้าตาใจดีๆ เท่านั้นแหละ ที่จำได้นี่เพราะเมื่อก่อนในบ้านมีรูปถ่ายของเตี่ยอยู่ใบหนึ่ง แต่ต่อมามันก็หายไป”
“แล้วป้าเริ่มจำเรื่องราวได้ตอนไหนหรือคะ”
“ป้าจำได้ขึ้นใจตอนที่แมะไปรับลูกชายที่เกิดกับผัวเก่ามาอยู่บ้านหนแรก ตอนนั้น ก๋งกับม่าตายไปหมดแล้ว ก่อนหน้านั้น ป้าไม่เคยรู้มาก่อนว่าแมะเคยมีครอบครัวมาก่อน คิดว่าแมะมีแต่เตี่ยเท่านั้น พอเตี่ยตาย ครอบครัวเราก็เหลือแมะกับสี่พี่น้อง ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะมีพี่ชายอีกคน”
วันนั้น กิมเหมยจำได้แม่นยำทีเดียว เธออายุราว 8 ขวบได้ กำลังวิ่งเล่นกับกิมเต้งน้องชายที่อายุอ่อนกว่าเธอราวๆ 3 ปี หน้าบ้านของเธอเป็นทรายอ่อนนุ่ม สีออกเทา จึงกลายเป็นสนามเด็กเล่นของเธอและน้องชาย ยิ่งในยามที่แมะไม่อยู่บ้านแบบนี้ยิ่งดีใหญ่ ไม่มีใครมาดุว่าไล่ให้ไปอาบน้ำ เจ๊บ๊วย พี่สาวคนเดียวที่เหลืออยู่นั้น กำลังดูแลกิมหลิว น้องคนสุดท้องที่อายุสักสองสามขวบ ป้าข้างบ้านที่มาช่วยดูแลยามแมะไม่อยู่บ้าน กำลังวุ่นอยู่กับการหุงข้าวทำกับข้าวในครัว ตอนนั้นเอง สุนัขที่เลี้ยงไว้ส่งเสียงร้องเหมือนทักทายคนที่มันรู้จัก เมื่อเธอมองไป แมะเปิดประตูรั้วเข้าบ้านมาพร้อมกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง พอหันมาเห็นเธอเท่านั้น
“นี่ เหมย เต้ง บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้มาเล่นทรายจนเลอะเทอะแบบนี้ เอ้านี่ มารู้จักพี่ชายของเรา พี่บุญทิ้ง ลูกของแมะอีกคนที่อยู่กับยาย พี่เขาจะมาอยู่กับเรา มาช่วยแมะดูแลน้องๆ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่พี่ชายของหนู” เธอร้องขึ้นมาทันที “พี่ชายหนูมีคนเดียวคือพี่กิมจั้ว หนูเป็นลูกเตี่ย ไม่มีทางมีพี่ตัวดำเป็นคนป่า[1]แบบนี้”
“เหมย ทำไมพูดจาแบบนี้ พี่บุญทิ้งเป็นลูกแมะ ถึงจะไม่ใช่ลูกเตี่ย ก็เป็นพี่ชายหนูได้ อย่ามาตั้งแง่ไม่เข้าเรื่อง”
นับจากวันนั้น กิมเหมยเริ่มรู้สึกถึงความแปลกแยกของตัวเองออกจากพี่น้องคนอื่นๆ เธอไม่อาจทำใจยอมรับบุญทิ้งเป็นพี่ชายของเธอได้ ผิดกับกิมเต้งและกิมหลิวที่เด็กเกินกว่าจะเข้าใจ การปรากฏตัวของบุญทิ้งทำให้เธอสงสัยว่าถ้าเขาเป็นลูกของแมะแต่ไม่ใช่ลูกของเตี่ย แล้วใครเป็นพ่อของบุญทิ้ง เธอไม่กล้าถามแมะ กลัวแววตาที่ดุปานจะฉีกเนื้อเธอออกเป็นชิ้นๆ คู่นั้น เธอจึงเลือกที่จะถามคนอื่นในละแวกนั้นแทน และคำตอบที่ได้รับทำให้เธอถึงกับอึ้งไป
“ก็ลูกของผัวเก่าน่ะซี อีหนู แม่เอ็งน่ะเคยมีผัวมาก่อนแล้ว ทำอีท่าไหนไม่รู้ โดนผัวทิ้ง เลยต้องหอบลูกซมซานกลับบ้าน ดีนะ ที่ลูกชายเถ้าแก่เกิดสงสาร รับมาเลี้ยงดู ถึงมีพวกเอ็งเกิดตามมาเป็นพรวน สุขสบายกันจนทุกวันนี้”
“ผัวทิ้งที่ไหนกันเล่า อย่าไปเชื่อ แม่เอ็งน่ะทิ้งผัวมา เพราะผัวเก่ามันจน แม่เอ็งอยากได้ผัวใหม่รวยๆ ถึงมาอยู่กับเตี่ยเอ็ง ส่วนผัวเก่า พ่อไอ้ทิ้งน่ะ ตายไปสี่ห้าปีแล้วนะ เขาว่าแม่เอ็งนั่นแหละจัดการ ไม่ให้มารังควานผัวใหม่”
“แมะหนูจะฆ่าคนได้ยังไง ป้า”
“โฮ้ย แม่เอ็งน่ะ เลี้ยงผีไว้ในบ้าน จะไปฆ่าเองทำไม ก็ใช้ผีไปฆ่าสิ ถึงเตี่ยเอ็งนี่ก็เถอะน้า…ก่อนเตี่ยเอ็งจะตาย เขามีเรื่องทะเลาะกันไม่ใช่รึ”
คำตอบประมาณนี้แหละ ที่เธอได้ยินตลอดมา ใครๆ ก็คิดว่าแมะเธอฆ่าผัวตัวเอง บางคนก็พูดกับเธอตรงๆ บางคนก็พูดอ้อมไปอ้อมมาให้เธอคิดเอาเอง ส่วนเจ๊บ๊วย เธอไม่รู้ว่าได้ยินเรื่องเล่าแบบที่เธอได้ยินมาบ้างไหม ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ๊แกจะสงสัยแล้วไปถามคนอื่นอย่างที่เธอถามหรือเปล่า ถ้าถาม คำตอบก็คงไม่ต่างกัน คำตอบที่เป็นเหมือนลิ่ม ตอกให้ความรู้สึกผูกพันกับแมะคลายคลอนออกไปทุกที
ครอบครัวของเธอมีอาชีพค้าใบจาก ที่สืบทอดมาตั้งแต่ครั้งที่เตี่ยยังมีชีวิตอยู่ บ้านของเธอจะรับซื้อยอดจากอ่อนจากชาวบ้าน หรือไม่ก็จ้างคนออกไปตัดมา แล้วแต่อย่างไหนจะสะดวก พอได้ยอดจากมา ยอดจากนั้นจะถูกเลาะเอาใบจากอ่อนๆ ออกจากยอดแยกเป็นใบๆ นำมาคลี่ออกให้แผ่แบน ตากแดดให้พอแห้ง แล้วจึงนำมาลอกส่วนที่เป็นกระดูกและเยื่อที่เรียกขี้จากออก ตัดเป็นชิ้นๆ แล้วนำมามัดรวมกันส่งขายให้คนซื้อไปมวนบุหรี่ ที่บ้านเธอนั้น ทั้งลอกใบจากเอง ทั้งส่งยอดจากอ่อนไปให้บ้านที่รับจ้างลอกใบจาก และรับซื้อใบจากที่ลอกแล้ว
ดังนั้น ทั้งแมะ พี่บุญทิ้ง เจ๊บ๊วย และเธอ ล้วนลอกใบจากเป็นกันทั้งนั้น แมะกับเจ๊บ๊วยจะควบคุมการลอกใบจากที่ลานบ้าน และรับซื้อใบจากที่ลอกแล้วจากชาวบ้านเพื่อส่งขายต่อ ส่วนการรับซื้อและส่งยอดจากอ่อนไปตามบ้านเป็นหน้าที่ของพี่บุญทิ้ง ตอนหลังเขาจึงชวนเพื่อนรุ่นพี่ของเขาคนหนึ่งที่คุ้นเคยกันตั้งแต่ตอนที่เขาอยู่บ้านตายายมาช่วยด้วย คนคนนี้ก็คือคนที่ชื่อใบจาก การมาของคนที่ชื่อใบจากยิ่งทำให้เธอรู้สึกหัวเดียวกระเทียมลีบมากกว่าเดิม ตอนแรก เจ๊บ๊วยเหมือนจะเป็นพวกเธอที่มึนตึงกับพี่บุญทิ้งเหมือนกัน แต่พอคนที่ชื่อใบจากมา เขาสามารถตีสนิทกับเจ๊บ๊วยและทำให้เจ๊บ๊วยสนิทสนมกับพี่บุญทิ้งมากขึ้น ตกเย็น ถ้าไม่มีธุระอื่น สามคนนี้มักจะนั่งลอกใบจากด้วยกัน คุยกันไปด้วย จนเธอหน่ายที่จะนั่งดูนายใบจากนั่งจีบพี่สาวเธอ เธอจึงมักเลี่ยงไปลอกใบจากตามบ้านเพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกัน บางวันก็เพลินจนลืมเวลากินข้าว เมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอจึงถูกดุเป็นประจำ
“ไปเลย ไปกินคนเดียวเลยในครัว ไม่รู้จักเวล่ำเวลา ใครจะรอ นังบ๊วย อยู่นี่ ไม่ต้องไปเป็นเพื่อน”
การถูกสั่งให้ไปกินข้าวคนเดียวในครัว ไม่ต่างอะไรกับกับการสั่งให้อดข้าวนั่นเอง ในยุคที่บ้านสว่างไสวด้วยแสงตะเกียง เมื่อทุกคนในบ้านกินข้าวและล้างจานชามเรียบร้อยแล้ว ตะเกียงในครัวดับหมด ในครัวมีแต่แสงจันทร์ส่องลอดเข้ามาตามช่องลม เห็นบ่อน้ำอยู่กลางครัว ชวนให้เห็นเป็นคนนั่งตะคุ่มๆ ตรงนั้นทุกทีไป และที่ร้ายกว่าอะไรทั้งหมด ห้องที่แมะปิดตายห้ามไม่ให้ลูกๆ เข้าไป มีแต่แมะคนเดียวที่เข้าไปได้ ห้องที่ใครๆ เรียกขานว่าเป็นห้องเลี้ยงผี ประตูห้องนั้นอยู่ข้างๆ ประตูเข้าครัว ถ้าเดินเข้าครัวก็ต้องผ่าน แล้วใครจะกล้าเดินผ่านเล่า สู้ยอมอดข้าวเย็นแล้วรีบตื่นมากินข้าวแต่เช้าดีกว่า
ยังไงก็ยังดีกว่าเดินไปจ๊ะเอ๋กับอะไรบางอย่างที่อาจจะรออยู่ในครัว!
เชิงอรรถ :
(1) ในยุคสมัยนั้น คนจันทบุรีจะเรียกคนชองว่าคนป่า
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 7 : แตกร้าว
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 6 : เรื่องเล่าของกิมเต้ง
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 5 : ชีวิตคู่ของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 4 : เรื่องเล่าของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 3 : ผู้ชายคนใดชื่อใบจาก
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 2 : ผู้หญิงคนใดชื่อกิมบ๊วย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 1 : ฤดูมรสุม
- READ ตรวนใบจาก บทนำ : ผู้ซ่อนกายในความมืด