
ตรวนใบจาก บทนำ : ผู้ซ่อนกายในความมืด
โดย : ฉาย แสงเพชร
ตรวนใบจาก รางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 5 โดย ฉาย แสงเพชร เกษตรกรจาก จ.ตราด ผู้ฝันอยากเป็นนักเขียนแนวท้องถิ่นที่ได้พลิกบทบาทจากงานเขียนเชิงวิชาการมาสู่การเขียนนวนิยายแนวแฟมิลี่ดราม่ากับเรื่องราวของอาชีพลอกใบจากและชีวิตที่เป็นปริศนาของคุณยายคนหนึ่ง เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ติดตามกันได้ในเว็บไซต์อ่านเอา
พ.ศ.2480…
ฟ้าร้องคระหึมครางดังก้องมาแต่ไกลๆ พร้อมกับกระแสลมแรงที่พัดจนกอจากริมคลองเอนลู่ไปตามแรงลม สายฝนที่ลงเม็ดปรอยๆ มาแต่บ่ายเริ่มจะลงเม็ดหนักขึ้นเมื่อใกล้ค่ำ สีไพล เด็กสาววัยราว 14 ปี มือหนึ่งหิ้วห่อข้าวที่ผูกด้วยเชือกกล้วย มือหนึ่งจับหมวกงอบไว้มิให้ปลิวไปตามแรงลม วิ่งตัดตรงจากบ้านของเธอมายังขนำหลังเล็กที่หลังคามุงด้วยตับจากที่อยู่ถัดมาทางหลังบ้าน ผนังของขนำทำจากฟากไม้ไผ่ แต่ที่ผิดแปลกไปจากขนำอื่นคือ ทุกรอยแตกของฟากไม้ไผ่ล้วนถูกอุดด้วยกระดาษบ้าง เศษผ้าบ้าง จนแทบจะไม่ให้แสงสว่างลอดเข้าไปได้เลย ผนังส่วนที่ทำไว้ให้สามารถเปิดและค้ำยันด้วยไม้เพื่อให้แสงเข้าไม่เคยถูกค้ำ ประตูห้องถูกปิดสนิทไม่เคยเปิดออกมา
ผู้ที่ขังตัวอยู่ในขนำนี้คือยายของเธอเอง ยายที่มีวิชาอาคมที่เธอทึ่ง และเรียนไว้หลายอย่าง เมื่อก่อน ชาวบ้านเคยนับหน้าถือตา เรียกยายของเธอว่าหมอ แต่เมื่อสองปีที่ผ่านมา ยายของเธอกลับป่วยด้วยโรคประหลาด ยายกลัวคนแปลกหน้าจะมาตามตัว เอาแต่ซุกตัวอยู่ในห้องที่แกพยายามทำให้มืดที่สุด ใครเอาอาหารและน้ำมาให้ก็ไม่ยอมกิน ยายจะยอมกินเฉพาะอาหารที่เธอนำมาให้เท่านั้น ดังนั้น หน้าที่ส่งข้าวส่งน้ำให้ยายจึงเป็นของเธอ
เมื่อขึ้นไปบนขนำ สีไพลหยิบเทียนขึ้นมาจุดก่อนจะเปิดประตูเข้าไปหายาย แค่ประตูเปิด และแสงเทียนในมือหลานสาวส่องเข้าไปเพียงเล็กน้อย เสียงแหบพร่าของคุณยายก็ถูกตะเบ็งขึ้นมาเต็มเสียงเท่าที่แกจะเปล่งเสียงออกมาได้
“ปิดประตูเดี๋ยวนี้ สีไพล ดับไฟด้วย”
“ดับไฟหมดแล้วจะมองอะไรเห็นล่ะยาย มืดแล้วนะ เอาเถอะ ยายกินข้าวก่อน พอจะกลับแล้วหนูดับให้”
“เออๆๆๆ” เสียงนั้นตอบรับรัวเร็ว ยามเอื้อมมือที่สั่นเทามารับห่อข้าวจากมือหลานสาว “อย่าลืมเชียวนา นังสีไพล เดี๋ยวมันตามยายเจอ ยายรู้ ครูของยายกำลังตามหายาย ครูจะเอาตรวนใบจากมาให้ยาย จองจำยายไม่ให้ไปผุดไปเกิด” จู่ๆ หญิงชราก็ตัวสั่น “นั่นไง ได้ยินไหมนั่น เสียงลากตรวนนั่น ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”
เด็กสาวไม่ได้ว่าอะไร อาการของยายเป็นแบบนี้มานานแล้ว หนักกว่านี้คือข้าวปลาไม่กิน เอาแต่นอนคลุมโปง ร้องแต่กลัวคนมาจับตัวไป เธอนั่งรออย่างสงบจนยายกินข้าวจวนจะหมดห่อ เธอก็ออกไปตักน้ำมาให้ยายล้างมือ ขณะที่เธอเก็บของเตรียมจะกลับ ยายของเธอที่ดูสงบไปเป็นคนละคนก็เอ่ยขึ้น
“เอ็งจำวิชาสาปใบจากที่ยายสอนเอ็งได้ไหม”
“จำได้ ทำไมหรือยาย”
“เอ็งจำไว้นะ เอ็งจะเอาวิชาไปใช้กับใครก็ตาม เอ็งจะต้องไม่มีคำว่าเสียใจ ไม่งั้นพอจะตาย ครูจะเอาตรวนใบจากมาล่ามเอ็งไว้”
“หนูจะเสียใจทำไมล่ะยาย” สีไพลสวนคำด้วยเสียงเด็ดขาด “ถ้าหนูจะฆ่าใครก็เพราะ ถ้ามันไม่ตาย หนูก็ต้องตาย หนูไม่มีวันเสียใจที่หนูเป็นฝ่ายรอดหรอกยาย”
“ให้มันได้อย่างที่ปากว่าเหอะ อีหนูเอ๋ย อย่าให้ยายต้องเอาตรวนมาล่ามเอ็งตอนเอ็งจะตายก็แล้วกัน”
สีไพลหันมามองหน้ายายด้วยความฉงน “ยายมีอะไรจะเล่าให้ฟังเหรอ”
“ไม่มี ไปเหอะ”
ยายพูดได้แค่นั้นก็ล้มตัวลงนอน สีไพลตักน้ำดื่มมาเตรียมไว้ให้ยาย ตรวจดูความเรียบร้อย ก่อนจะปิดประตู ดับเทียน ขณะที่เป่าเทียนให้ดับนั้น เธอไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอจะได้คุยกับยาย ไม่คิดเลยว่าเมื่อเธอนำข้าวมาให้ยายอีกครั้งตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ยายจะจากเธอไปชั่วนิรันดร์ พร้อมกับคำสั่งสุดท้ายของยายดังก้องในความทรงจำ
‘เอ็งจะต้องไม่มีคำว่าเสียใจ’
พ.ศ.2550…
ภายในห้องที่ปิดจนมืดมิด ไม่มีแสงสว่างใดส่องลอดเข้ามาได้ สีไพลที่บัดนี้กลายเป็นหญิงชราวัยแปดสิบกว่าปี เธอนอนคลุมโปงอยู่บนเตียงด้วยความหวาดผวา เสียงคนเดินลากตรวนวนไปวนมาอยู่ไม่ห่างจากเธอ ตรวนที่ลากไม่ใช่ตรวนเหล็ก แต่เหมือนเสียงลากกองใบจากที่ตากจวนแห้งไปตามพื้นปูน เสียงที่แว่วมาไม่ต่างจากเสียงบ่นของยายในวัยเด็ก
“นังสีไพล ยายเตือนแล้วใช่ไหมว่าเอ็งจะต้องไม่มีคำว่าเสียใจ ตอนนี้ เอ็งกำลังเสียใจอยู่ใช่ไหม ดีแล้ว ยายจะได้เอาตรวนใบจากไปให้เอ็ง เอ็งอยู่ตรงไหน สีไพล”
“ไม่ ไม่ ข้าไม่เสียใจ ไม่เสียใจ” เสียงสีไพลร้องตอบกับตัวเอง ไม่สนใจเสียงเคาะประตูเรียกด้านนอก ภาพของผู้คนจำนวนมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตตั้งแต่วัยสาวสะพรั่ง จนเข้าสู่วัยกลางคน และล่วงเข้าวัยชราเวียนมาให้เห็นภาพแล้วภาพเล่า ความคิดทั้งหมดสะดุดลง เมื่อภาพของสาวรุ่น เค้าหน้าและรูปร่างไม่ต่างจากแกนัก แต่ผิวขาวกว่า ปรากฏขึ้นมา น้ำตาของผู้ชราก็ไม่อาจกลั้นไว้ได้
“กิมบ๊วย…”
เหมือนจะรู้สึกตัวขึ้นมา หญิงชรารีบกลั้นสะอื้น เช็ดน้ำตา เปลี่ยนมาคร่ำครวญอยู่แบบเดิม “ไม่ ไม่ ไม่เสียใจๆ ยายเอาตรวนไปไกลๆ ไม่ต้องเอามาทางนี้”
อีกด้านหนึ่งที่หน้าประตูห้องที่ปิดสนิทบานนั้น ชายหญิงคู่หนึ่งอายุรุ่นราวหกสิบปีปรึกษากันอย่างเคร่งเครียด
“พี่เหมยคงต้องพาแมะไปอยู่ด้วยแล้วละ ปล่อยให้แกอยู่บ้านคนเดียวไม่ได้แล้ว วันๆ เอาแต่ขังตัวเองอยู่อย่างนี้ เป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่มีใครรู้”
ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่าสัก 2-3 ปี มองหน้าคนเป็นน้องชายด้วยท่าทางกังวล “ก็คงต้องอย่างนั้นละเต้ง จักร หลานพี่เทียน มันออกจากงานพอดี พอจะช่วยพี่เทียนเรื่องสวนได้ แต่ที่น่าหนักใจกว่าก็คือ จะกล่อมยังไง แมะแกถึงจะยอมไปนี่แหละ”
คนเป็นลูกชายส่ายหน้าช้าๆ ด้วยความหนักใจไม่ต่างกัน
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 7 : แตกร้าว
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 6 : เรื่องเล่าของกิมเต้ง
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 5 : ชีวิตคู่ของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 4 : เรื่องเล่าของกิมเหมย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 3 : ผู้ชายคนใดชื่อใบจาก
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 2 : ผู้หญิงคนใดชื่อกิมบ๊วย
- READ ตรวนใบจาก บทที่ 1 : ฤดูมรสุม
- READ ตรวนใบจาก บทนำ : ผู้ซ่อนกายในความมืด