
เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 12 : มีเรื่องให้ร้อนรน
โดย : กุลวีร์
เทพารักษ์ภัสดา โดย กุลวีร์ นวนิยายสนุกๆ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านใน www.anowl.co กับเรื่องราวของเทพารักษ์ผู้มีสัตย์ว่าจะรักเพียงหนึ่ง ต้องลงมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพราะหญิงสาวผู้เปลี่ยนหัวใจเขาตลอดกาล ภารกิจพิชิตใจจึงเริ่มต้น ท่ามกลางความวุ่นวายของเพื่อนบ้าน และบททดสอบของความรักที่ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง
“การเกิดเป็นมนุษย์คือโอกาสสะสมบุญเพื่อไปจุติในภพภูมิที่สูงขึ้นตามผลบุญที่มี”
เวธัสอยากให้หญิงสาวเล็งเห็นหนทางของการสั่งสมบุญ
“แต่สังคมทุกวันนี้มีคนทำบาปง่ายกว่าทำบุญ คุณไม่เห็นข่าวแต่ละวันบ้างเหรอ”
“เพราะมนุษย์ไม่อาจละกิเลสได้ ผมเองยังมีกิเลส แต่คงไม่มากเท่ามนุษย์พวกนั้น” เขาลงนั่งบนโซฟา “มนุษย์ต้องรักษาเบญจศีลเพื่อไม่นำไปสู่หนทางกระทำบาป”
“ศีลห้าน่ะเหรอ” แพรพิไลชวนคุยต่อ
“คุณแพรคงรู้จัก”
หญิงสาวพยักหน้า “ข้อหนึ่งไม่ฆ่าสัตว์ ข้อสองห้ามลักทรัพย์ ข้อสามอย่าประพฤติผิดในกาม ข้อสี่ห้ามพูดปด ข้อห้าห้ามดื่มสุรา”
“มนุษย์บางคนรู้ทุกข้อ แต่ไม่ยอมลงมือ” เขาได้จังหวะจึงเอ่ยให้หญิงสาวรู้ถึงหลักธรรมง่ายๆ ของมวลมนุษย์ “ก่อนจะรักษาเบญจศีลได้ ต้องมีเบญจธรรมประจำตัวไปพร้อมกันด้วย คุณแพรรู้จักเบญจธรรมบ้างไหม”
แพรพิไลใช้เวลาครุ่นคิด จนเขาพูดต่อ
“หนึ่งคือเมตตากรุณา เมื่อมนุษย์รู้จักให้ทาน มีเมตตา ไม่เบียดเบียนกันคงไม่ทำผิดศีลข้อหนึ่ง สองคือสัมมาอาชีพ พอมนุษย์มีอาชีพสุจริต มีรายได้ ก็ไม่ทำผิดศีลข้อสอง สามคือสำรวมในกาม ถ้ามนุษย์ไม่มัวแต่ลุ่มหลงในกามคุณ คงจะไม่ประพฤติผิดในกาม สี่คือสัจจะ ถ้ามนุษย์มีความซื่อสัตย์ พูดแต่ความจริง ก็คงไม่ทำผิดศีลข้อสี่ และห้าคือสติ ถ้ามนุษย์รู้ตัวอยู่เสมอ มีสติรู้ดีรู้ชั่ว คงไม่ทำผิดศีลข้อห้าที่กินของมึนเมาจนขาดสติ”
“ที่คุณพูดมาทั้งหมด ดูเหมือนง่าย แต่จะให้ลดละเลิกหมดทั้งห้าข้อได้คงจะยาก” หล่อนไม่ได้เหมารวมทุกผู้ทุกคน “อย่างฉัน ศีลข้อหนึ่งก็ยากแล้ว แค่เห็นยุง ฉันก็ตบ แค่เห็นมด ฉันก็บี้ ศีลข้อสองคงง่ายหน่อย เพราะฉันไม่เคยอยากได้ของของใคร ศีลข้อสามนี่ง่ายสุดๆ ฉันไม่เป็นชู้กับสามีชาวบ้านแน่นอน แต่ศีลข้อสี่ก็คงยาก เพราะบางครั้งฉันจำเป็นต้องโกหกเพื่อดีกว่าการพูดแต่ความจริง ส่วนศีลข้อห้านั้นยากที่สุด ฉันคงเลิกดื่มไม่ได้หรอก โดยเฉพาะตอนไปผับ”
“คุณแพรไม่อยากมีบุญมากๆ เพื่อจะได้เกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์บ้างรึ”
“ฉันยังไม่คิดถึงขั้นนั้น แค่มีชีวิตให้พ้นไปในแต่ละวันโดยไม่ลำบากก็พอแล้ว แม้ศีลห้าฉันจะละเว้นได้ไม่ครบทุกข้อ แต่ฉันไม่เคยคิดชั่วหรือสร้างเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น แค่อยู่ในโลกของฉันดีกว่าไปยุ่งกับโลกของคนอื่นแล้วเป็นพิษเป็นภัยกับตัวเอง”
“ผมอยากให้คุณแพรทำความดีให้มากกว่านี้ อย่างน้อยก็เริ่มต้นจากการให้ทานกับเพื่อนบ้านอย่างคุณยายเอี่ยม”
“ถ้ายายเอี่ยมไม่ทำอย่างนั้น ฉันคงจะทำตามคำของคุณด้วยความยินดี แต่ตอนนี้อย่าเพิ่งหวังอย่างนั้นเลย ฉันคงไม่มีทางปรองดองกับคนที่สร้างแต่เรื่องวุ่นวายให้ฉันหรอก”
“คนเฒ่าคนแก่ที่ไม่มีใครคงอ้างว้าง จนอยากได้รับความใส่ใจจากมนุษย์ด้วยกัน”
“ก็เลยทำกับฉันแบบนั้นเพื่อเรียกร้องความสนใจละสิ” หล่อนเอ่ยแทรก “ถ้าคุณไม่หยุดพูดถึงยายเอี่ยม ฉันจะหาของปิดปากคุณเอง”
“ใช้มือคุณแพรก็ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาหาของ” เขามองมือหล่อนพลางยื่นริมฝีปากเล็กน้อย
แพรพิไลนึกถึงตอนถูกฉวยโอกาสที่เขาจูบฝ่ามือ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว บางทีอาจจะต้องฆ่าคุณ”
เวธัสหัวเราะในลำคอให้กับคำขู่ของหล่อน “คุณไม่ฆ่าผมหรอก เพราะผิดบาป”
เสียงโทรศัพท์มือถือของหญิงสาวดังขึ้นขัดจังหวะการสนทนาระหว่างคนทั้งสอง หล่อนผละห่างจากเขา แล้วพูดคุยกับคนในสาย
แพรพิไลวางสาย เดินมาหาเขาด้วยความกระวนกระวาย โพล่งบอกอย่างคนกลัดกลุ้มใจ
“คุณแย่แล้ว พ่อกับแม่จะมาหาฉันที่นี่ พี่สาวฉันเพิ่งโทรมาบอก ฉันจะทำยังไงดี”
เวธัสรับฟังด้วยความนิ่งเฉย มองหล่อนเดินไปเดินมาราวกับคนคิดไม่ตก
หล่อนเฝ้าถามคนที่ยังนั่งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาว “คุณไม่ตื่นเต้นหรือรู้สึกอะไรบ้างเลยเหรอ พ่อแม่ของฉันจะมาที่บ้านหลังนี้นะ”
“เหตุใดต้องร้อนรน”
“อ้าว! คุณ พูดอย่างนั้นหมายความว่าไง” แพรพิไลยืนเท้าเอวพูดกับเขา “ก็ตอนนี้มีคุณอยู่ในบ้าน คุณช่วยคิดหน่อยสิ ฉันไม่อยากให้พ่อกับแม่เจอคุณ”
“หากใครมาเยือน ต้องต้อนรับกันอย่างดี”
“คุณพูดอย่างนั้นมันก็ใช่” หล่อนเดินต่อ ปากก็พูดไป “ถ้าพ่อกับแม่เห็นคุณอยู่ร่วมบ้านเดียวกันกับฉัน จะคิดยังไง แล้วฉันต้องทำยังไงดี”
“ผมจัดการได้ ไม่ต้องกังวล”
“คุณจะทำยังไง” แพรพิไลลงนั่งใกล้เขา “หรือให้คุณออกไปอยู่นอกบ้านสักพัก แต่ฉันไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะมาถึงเมื่อไหร่น่ะสิ นี่แหละปัญหา”
“มนุษย์หนีความจริงไม่พ้นหรอก ถ้าวันนี้หนีไปได้ วันหน้าก็ต้องเจอกันอยู่ดี ทำไมไม่เจอกันวันนี้ให้สิ้นเรื่องสิ้นราว”
หญิงสาวเหมือนจะไม่ฟังเขา พร่ำพูดออกไป “แต่ก่อนฉันอยู่กับเพื่อนในบ้านหลังนี้ ถ้าพ่อกับแม่รู้ว่าอยู่คนเดียวคงแย่แน่”
“คุณแพรไปตามเพื่อนกลับมาสิ” เวธัสช่วยหล่อนแก้ปัญหา ทั้งที่มีทางออกในใจ
“มันย้ายไปอยู่กับแฟนตั้งแต่สองเดือนแรกที่มาเช่าอยู่ด้วยกันแล้ว ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด”
“มีผมเป็นเพื่อนไม่ดีรึ”
“ผู้ชายกับผู้หญิงมาเช่าอยู่ในบ้านหลังเดียวกันมันก็จะแปลกๆ คงมีคนคิดอย่างนั้นแน่นอน”
“ความคิดของมนุษย์ผู้อื่นเป็นเยี่ยงไรต้องปล่อยผ่าน แค่เรายืดหยัดอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเท่านั้นพอ”
เพราะความจริงที่เคยเกิดขึ้นระหว่างหล่อนกับเขานั่นแหละที่ทำให้ต้องเป็นกังวล โดยเฉพาะในยามที่ชายหนุ่มเผชิญหน้ากับบุพการีซึ่งมีโอกาสสูงที่จะหลุดปากถึงเรื่องคืนนั้น
เมื่อรู้ว่าไม่มีหนทางออกใด นอกจากเขาต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ แพรพิไลจึงคิดจะทำข้อตกลงกับเขาว่าต้องปิดปากให้สนิทที่สุด
ทว่ามีเสียงเสียงหนึ่งจากบ้านใกล้เรือนเคียงดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
เขาและหล่อนได้ยินพร้อมกัน จนหันมองไปทิศทางของเสียงนั้นซึ่งเป็นบ้านของหญิงชรา
เป็นเสียงปริศนาที่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากการกระทำใด
แม้ในหนึ่งเดือน หญิงสาวจะเคยได้ยินสักครั้งหรือสองครั้งเท่านั้นเอง
เวธัสตั้งใจรับฟัง แต่เสียงนั้นดังแค่ห้าครั้งติดต่อกันก็เงียบหายไป
หล่อนจึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“คุณรู้ไหมว่าเสียงอะไร”
“สุดหล่อไปไหนมา อย่าคิดว่าน้าไม่เห็นนะ”
บุษบงโผล่หน้ามาให้เห็นทันที ก่อนเขาจะเปิดประตูเข้าไปในเขตบ้านที่ใช้พักอาศัย
“ไปหายายเอี่ยมอีกแล้วเหรอ หนูแพรรู้บ้างหรือเปล่าล่ะ” ผู้ครองบทสนทนายังเป็นคนเดิม
เวธัสเข้าไปพบหญิงชรา บอกเล่าเรื่องราวที่บุพการีของหล่อนจะมาหากัน จนได้คำแนะนำที่ดีสำหรับการปฏิบัติตัวต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่
“ครับ” นี่เป็นคำใหม่ที่เขาต้องใช้ยามพูดคุยกับคนอายุมากกว่าจากการสอนสั่งของยายเอี่ยม
“วันนี้พูดซะเพราะเชียวนะ คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องคงต้องครับหรอก น้าไม่ถือสา” บุษบงเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยเสียงเบาลง “หนูแพรเล่าให้ฟังหรือยัง ยายเอี่ยมชอบเปิดทีวีเสียงดัง เคยได้ยินบ้างไหมล่ะ”
ตั้งแต่เขาเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยได้ยินเสียงจากโทรทัศน์ของเพื่อนบ้านเลยสักครั้ง ที่เป็นเช่นนั้นอาจเป็นเพราะยายเอี่ยมมีเพื่อนคุยก็ได้ จึงไม่ต้องพึ่งทีวีเป็นเพื่อนคลายเหงา
“ไม่เคยได้ยินเลยครับ”
“เป็นไปได้ยังไง” บุษบงมีสีหน้าคาดไม่ถึง ก่อนจะพูดเบาลงอีกเล็กน้อย “เหมือนจะมีอีกเสียงหนึ่งด้วยนะ ที่หนูแพรได้ยินบ่อยๆ เป็นเสียงอะไรก็ยังไม่รู้เลย แต่น่าสงสัย สุดหล่อเคยได้ยินหรือยัง”
เวธัสพยักหน้าตอบคำถาม
“จริงเหรอ” บุษบงทำเป็นสนอกสนใจ “เป็นเสียงอะไรล่ะ เห็นไปหากันบ่อยๆ ต้องรู้บ้างแหละ”
“ไม่ทราบครับ” เขาตอบทำนองเดียวกันกับที่ใช้ตอบหล่อน
“ถ้ารู้ก็มาบอกกันบ้างนะ” บุษบงยกมือปิดปากยามเผลอไผล แล้วแก้คำใหม่ “ถ้ารู้ก็บอกหนูแพรด้วยแล้วกัน จะได้รู้สักทีว่าเป็นเสียงอะไร”
เวธัสตั้งใจจะหาคำตอบให้ได้เช่นกันว่าเสียงนั้นเกิดจากหญิงชรากระทำการอันใด
บุษบงเห็นเขานิ่งเงียบก็คุยต่อ “สุดหล่อไม่ออกไปไหนบ้างเหรอ น้าเห็นอยู่แต่ในบ้านทุกวันเลย”
“ไม่ครับ”
“งานล่ะมีทำไหม หรือทำงานอะไร”
“ไม่ได้ทำครับ” เขาพยายามจะตอบทุกคำถามเพื่อจะพูดคำว่าครับได้คล่องปาก
“แสดงว่าอยู่บ้านเฉยๆ น่ะสิ ให้หนูแพรทำงานคนเดียว”
เวธัสไม่ได้อยู่เฉยเสียทีเดียว ทั้งนั่งสมาธิ ทั้งออกไปหายายเอี่ยม แต่ละวันก็ผ่านพ้นไปเร็วไว ยิ่งวันไหนมีหล่อนอยู่ใกล้กันก็รู้สึกว่าเวลายิ่งผันผ่านไปรวดเร็ว เพราะเป็นสุขทุกครั้งที่มีหญิงสาวอยู่ชิดใกล้
ก่อนเขาจะชี้แจงในหนึ่งวันต้องทำอะไรบ้าง ก็เห็นผู้ชายกับผู้หญิงวัยกลางคนลงจากรถแท็กซี่ที่เข้ามาจอดตรงประตูหน้าบ้าน
“นี่บ้านของแพรพิไลใช่ไหม” ฝ่ายชายตะโกนถามเขา
“ใช่ครับ”
ฝ่ายหญิงหันไปคุยกับฝ่ายชาย “ฉันบอกแล้วว่าใช่ ฉันจำไม่ผิดหรอก ถึงจะมาหนหนึ่งตอนลูกของเรามาเช่าอยู่ใหม่ๆ”
บุษบงได้ยินก็รีบเข้าไปสอบถามเพื่อให้แน่ใจ
“พ่อแม่ของหนูแพรใช่ไหมคะ”
“ใช่จ้ะ” ฝ่ายหญิงตอบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “แต่ตอนนี้ลูกเราคงยังมาไม่ถึงบ้าน เดี๋ยวพวกเรารอตรงนี้ก็ได้จ้ะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ให้สุดหล่อพาเข้าไปในบ้าน สุดหล่อคนนี้อยู่กับหนูแพรได้เดือนกว่าแล้วค่ะ” บุษบงฉุดแขนเขาให้ไปยืนประจันหน้ากับบุพการีของหล่อนซึ่งมีแววตาเต็มไปด้วยคำถาม
เวธัสต้องรีบยกมือไหว้
“น้าขอตัวสักครู่นะ สุดหล่อต้อนรับกันดีๆ ล่ะ เผื่อไร้ปัญหาตอนได้เป็นลูกเขย” บุษบงพูดกับเขา ก่อนผละออกไปอย่างคนหน้าชื่นตาบาน
เขาให้ความสนใจบุคคลทั้งสองที่ยังจ้องมองไม่วางตา
บิดาของหล่อนเอ่ยขึ้น “ถ้าอยู่บ้านเดียวกับลูกผม ก็พาพวกผมเข้าไปในบ้านสักทีสิ จะปล่อยให้ยืนขาแข็งอย่างนี้เหรอ”
เวธัสรีบเปิดประตูให้ผู้มาเยือนเข้าไปในบ้าน ขณะที่มารดาของหล่อนเดินผ่านไปก็ยังหันหน้ามาถามด้วยความสงสัย
“คุณเป็นใครล่ะ ทำไมต้องมาอยู่กับลูกสาวเรา”
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 13 : ดูไม่ออกเหรอ
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 12 : มีเรื่องให้ร้อนรน
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 11 : ของดีจริงจริง
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 10 : บอกให้รู้ไว้ก่อน
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 9 : เหตุใดมันจึงร้อง
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 8 : ฝากด้วยนะ
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 7 : อย่างนั้นก็แย่เลย
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 6 : เชื่อสิ!
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 5 : ขอไปทำไม
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 4 : เลิกพูดเถอะ
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 3 : ดีหรือไม่ดี
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 2 : ไม่ใช่ใช่ไหม
- READ เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 1 : ขออยู่ที่นี่ได้ไหม
- READ เทพารักษ์ภัสดา : บทนำ