เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 21 : เกิดขึ้นอีกแล้ว

เทพารักษ์ภัสดา บทที่ 21 : เกิดขึ้นอีกแล้ว

โดย : กุลวีร์

Loading

เทพารักษ์ภัสดา โดย กุลวีร์ นวนิยายสนุกๆ ที่อ่านเอานำมาให้อ่านใน www.anowl.co กับเรื่องราวของเทพารักษ์ผู้มีสัตย์ว่าจะรักเพียงหนึ่ง ต้องลงมาใช้ชีวิตเยี่ยงมนุษย์เพราะหญิงสาวผู้เปลี่ยนหัวใจเขาตลอดกาล ภารกิจพิชิตใจจึงเริ่มต้น ท่ามกลางความวุ่นวายของเพื่อนบ้าน และบททดสอบของความรักที่ไม่ใช่แค่เรื่องบนเตียง

“สุดหล่อมีอะไรกับน้าหรือเปล่า”

บุษบงเอ่ยทักจากในเขตบ้านของตน เมื่อเขาเดินมาถึงประตูหน้าบ้านที่เปิดค้างไว้

เวธัสออกมาจากบ้านของหญิงชราก็เห็นรถยนต์จอดอยู่ตรงหน้าบ้านของสามีภรรยาจึงให้ความสนใจ โดยไม่รู้เลยว่าผู้เป็นเจ้าของบ้านมองเห็นเขาตั้งแต่เดินเข้ามาใกล้รถยนต์คันดังกล่าว

“หรือมีธุระกับเจ้าของรถคันนี้” บุษบงถามต่อด้วยใบหน้าเบิกบาน

“ผมเคยเห็นรถคันนี้มาจอดตรงนี้” เขาไม่โป้ปด เพราะยังจดจำได้

บุษบงหุบยิ้มฉับพลับ จากนั้นก็แย้มยิ้มดังเดิม

“อ้าวเหรอ น้านึกว่าสุดหล่อจะไปขลุกตัวอยู่กับยายเอี่ยมทั้งวี่ทั้งวัน แล้วเคยเห็นยังไงบ้างล่ะ”

“ผมเห็นรถคันนี้มาที่นี่บ่อยครั้ง ทั้งที่ไม่ใช่รถของครูดิษย์” นี่ไม่ใช่เรื่องโกหกจากปากเขา

“เห็นแค่รถ” บุษบงผ่อนลมหายใจด้วยความโล่งใจ แล้วถามย้ำ “วันนี้มีอะไรกับน้าหรือเปล่าล่ะ”

จะว่ามีก็มี จะว่าไม่มีก็ได้ ในเมื่อมีโอกาสพูดกับเจ้าตัวโดยตรง เวธัสจึงไม่อยากปล่อยผ่านตามคำของหล่อน

“ผมเห็นผู้ชายหลายคนเข้าออกบ้านนี้ มาทำอะไรกันรึ”

บุษบงสะดุ้งตัวเล็กน้อย เหลียวมองคนที่รออยู่ในบ้าน ก่อนหันหน้ามาตอบเขา

“ไม่มีอะไรหรอก นี่รถของช่างแอร์ แอร์ในบ้านเสียบ่อยๆ น้าก็โทรเรียกให้มาดู” บุษบงเคยอ้างเช่นนั้นกับผู้เป็นสามีบ่อยครั้ง

“ชายคนอื่นเป็นช่างแอร์เหมือนกันรึ” เวธัสไม่หยุดคาดคั้นให้ได้ความจริง

“ก็ช่างประปา ช่างซ่อมทีวี เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของน้าผลัดกันเสียเกือบทุกอย่าง ใช้มันมานานแล้ว ยังไม่ได้ซื้อใหม่สักที” บุษบงแสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนเพื่อไม่ให้เขาจับพิรุธได้ “สุดหล่อคงเห็นหลายคนเลยสิ ถึงมาถามกันแบบนี้”

เวธัสจ้องมองอีกฝ่ายไม่วางตา มนุษย์ผู้นี้คงโกหกเป็นอาจิณสำหรับเรื่องดังกล่าว โดยไม่คิดหลุดพ้นจากการทำบาป

“ถึงจะมีคนมาที่บ้านของน้า ก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้สุดหล่อหรือหนูแพรเลย ไม่ใช่เหรอ” บุษบงยังชวนคุยทั้งที่ภายในใจมีแต่ความกระวนกระวาย

เขาเห็นด้วยกับคำกล่าวที่ได้ยิน เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวที่เขาไม่จำเป็นต้องก้าวก่ายให้มากความ จึงต้องปล่อยให้สำนึกได้ด้วยตัวเอง

“น้าไม่ใช่ยายเอี่ยมนะ จะได้สร้างปัญหากับเพื่อนบ้านบ่อยๆ จนบางคนทนอยู่ไม่ไหว” บุษบงเปลี่ยนเรื่องคุยเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มนึกถึงเจ้าของรถ “สุดหล่อกับหนูแพรเคยคุยกันถึงเรื่องย้ายบ้านหรือยังล่ะ น้าเจอบ้านหลังหนึ่งกำลังจะปล่อยเช่า ถ้าสนใจบอกได้นะ”

เวธัสไม่เคยได้ยินหล่อนพูดถึงเรื่องดังกล่าวเลยสักครั้ง

“ผมจะบอกคุณแพรให้ทราบ ขอบคุณสำหรับความหวังดี”

“ไม่เป็นไรหรอก น้าแค่สงสารหนูแพร เจอปัญหาน่าปวดหัวแบบนั้น ถ้าเป็นน้าคงไม่ทนอยู่หรอก พอมีหนทางไปก็ย้ายออกดีกว่า”

เขาเห็นคนตรงหน้าเริ่มมีความพะวักพะวนซึ่งเหลียวมองในตัวบ้านบ่อยครั้งระหว่างยืนเจรจากัน

“ผมขอโทษที่มารบกวน”

“รบกงรบกวนอะไรกัน เพื่อนบ้านกันเองทั้งนั้น มีอะไรก็มาพูดคุยกันได้เสมอ” บุษบงยังคงฝืนทำหน้าตาแช่มชื่นทั้งที่ในใจเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “อย่าลืมนะสุดหล่อ ถ้าหนูแพรสนใจบ้านหลังนั้น  รีบหน่อยก็ดี น้ากลัวคนอื่นจะมาเช่าตัดหน้าไปก่อน”

เวธัสพยักหน้าเป็นการรับทราบ

ก่อนเขาจะผละเข้าบ้านที่ใช้พักอาศัยก็ได้ยินบุษบงพูดขึ้นมาอีก

“ยายเอี่ยมคงสร้างปัญหาให้ต้องวุ่นวายกันอีกแน่นอน ถ้าขืนอยู่ต่อไปอย่างนี้คงหนีไม่พ้น อย่าทนอยู่กันเลย”

 

“เอาอีกแล้วนะคุณ วันก่อนยังไม่พอใจใช่ไหม”

หล่อนปรารภกับเขา หลังจากเข้ามาในบ้าน

อารมณ์ของแพรพิไลไม่ค่อยเบิกบานเท่าที่ควร ทั้งที่เป็นวันหยุดจากการทำงาน หลังจากออกไปสัมผัสอากาศยามรุ่งอรุณตรงหน้าบ้าน แต่ภาพที่ได้เห็นไม่อาจทำให้จิตใจปลอดโปร่งได้เลย

“ผมไม่ได้ทำกระไรเลย” เขาเอ่ยเสียงอ่อน

ค่ำคืนที่ผ่านมา เวธัสใช้โซฟาเป็นที่หลับที่นอน ไม่ได้อาศัยในต้นทับทิมอย่างช่วงแรกๆ เพื่อให้ชินกับการดำรงชีพแบบมนุษย์

“ฉันไม่ได้ต่อว่าคุณ ฉันแค่พูดให้ฟัง” หล่อนอยากระบายให้หายเคืองขุ่น “คุณออกไปหน้าบ้านกับฉันดีกว่า จะได้รู้ว่าฉันพูดถึงอะไร”

พอเขาลุกขึ้นยืนก็ถูกหล่อนฉุดแขนให้ก้าวขาตามไป

“ดูเองแล้วกันว่าเกิดอะไร” แพรพิไลปล่อยแขนเขา จ้องมองบนพื้นพลางถอนหายใจ

เวธัสหยุดยืนใกล้ๆ กำแพงบ้านทางด้านที่ติดกับบ้านของหญิงชรา หากสิ่งที่ดึงดูดสายตาคือขวดพลาสติกเกลื่อนกลาดบนพื้นหลายสิบใบ

“ผมเก็บไปทิ้งให้ก็ได้” เขาขันอาสา

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากเก็บจึงต้องไปตามคุณ แต่ฉันอยากให้คุณรู้ว่ายายเอี่ยมโยนขวดมาที่บ้านฉันอีกแล้ว”

อีกหนึ่งปัญหาจากเพื่อนบ้านที่หล่อนประสบบ่อยครั้ง

เวธัสรับฟังหล่อน ขณะเดินก้มเก็บขวดจนเต็มมือ

“คุณเห็นแบบนี้แล้ว จะให้ฉันญาติดีกับยายเอี่ยมได้ยังไง ทำกันถึงขนาดนี้” แพรพิไลส่งสายตาชิงชังไปทางบ้านของหญิงชรา “เมื่อวานก็มาทิ้งเศษอาหารหน้าบ้านฉัน วันนี้โยนขวดน้ำเข้ามา จะอะไรกันนักกันหนา แล้วพรุ่งนี้ฉันต้องเจออะไรอีก”

“อาจไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นก็ได้”

หล่อนหัวเราะในลำคอให้กับคนที่ยังเข้าข้างหญิงชราไม่เคยเปลี่ยน “หลายเดือนแล้วนะ ที่ฉันไม่เจอเรื่องปวดหัวจากยายเอี่ยมถึงสองวันติดกันอย่างนี้”

ตอนแรกแพรพิไลคิดจะติดกล้องวงจรปิดไว้ดูคนที่มาเทขยะตรงด้านหน้าประตูทางเข้าบ้าน พอหลังจากเห็นขวดน้ำซึ่งคาดเดาได้ไม่ยากว่าถูกโยนมาจากบ้านของหญิงชรา รวมทั้งตอนกลางวันที่ยายเอี่ยมเปิดทีวีเสียงดังก็ล่วงรู้ได้ง่ายว่าเพื่อนบ้านที่มักจะสร้างปัญหาให้กันคือผู้ใด เรื่องกล้องวงจรปิดจึงถูกละเลยไปจวบจนถึงบัดนี้

เมื่อเขายังไม่มีคำพูดใด หล่อนเอ่ยขึ้นอีกพลางหยิบถุงขยะสีดำใบใหญ่ยื่นส่งให้เขาเพื่อใส่ขวด

“คุณไม่เหนื่อยไม่เบื่อบ้างเหรอที่ต้องตามเก็บตามเช็ดสิ่งที่คนอื่นทำไว้”

“ขอแค่คุณแพรไม่เหนื่อย ต่อให้ผมเหนื่อยก็ยินดีจะทำ”

เป็นคำพูดที่ได้ยินแล้ว ช่างทำให้ใจของหล่อนพองฟูชอบกล

“บางทีฉันเคยคิดจะปล่อยไว้อย่างนั้น แต่ที่นี่ก็เหมือนบ้านฉัน ฉันอยากให้บ้านสะอาดดูน่ามอง ก็ต้องรีบเก็บกวาด ทั้งที่โกรธคนทำมากเลยนะ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งวันไหนเป็นวันทำงานก็ต้องรีบทำให้เสร็จ ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมยายเอี่ยมต้องทำกับฉันขนาดนี้ หรืออยากให้ฉันย้ายออกไปเหมือนคนอื่น”

“ทำไมคิดว่ายายเอี่ยมเป็นคนทำรึ”

“หลายอย่างมันฟ้อง คุณก็น่าจะเห็น โดยเฉพาะพวกขวดที่โยนมาในบ้านแล้วตกอยู่ใกล้กำแพงทางบ้านยายเอี่ยม ฉันยิ่งมั่นใจว่าใครคือคนที่สร้างเรื่องรบกวนกันมาตลอด หรือคุณคิดว่าจะเป็นบ้านอื่นที่โยนขวดมาถึงตรงนี้ได้” หล่อนพูดไปตามที่คิดโดยไม่หวังได้รับคำตอบจากเขา

เวธัสยังสองจิตสองใจ แม้สิ่งที่เห็นจะส่อเค้าตามความคิดของหล่อนมากเลยทีเดียว

หากเท่าที่รู้จักยายเอี่ยมมาพอสมควรก็ไม่ใช่คนมีพิษมีภัยใดๆ หรือจ้องจะสร้างเรื่องปั่นป่วนใคร ทั้งที่มีบางเรื่องยังไม่กระจ่างใจก็ตาม

“นอกจากขวดที่คุณเห็นวันนี้ ยังเคยมีถุงพลาสติก ก้อนกระดาษ แท่งเหล็กเล็กๆ ด้วยนะที่เคยถูกโยนเข้ามาในบ้าน” แพรพิไลยังไม่หยุดปาก ยามมีโอกาสได้ระบายเรื่องอัดอั้นตันใจ “พวกขยะที่กองอยู่หน้าบ้าน ตอนแรกอาจเดาได้ยากสักหน่อยว่าเป็นฝีมือใคร แต่พอฉันเจอของที่ถูกโยนเข้ามาและได้ยินเสียงดังจากบ้านยายเอี่ยมก็คิดว่าน่าจะใช่ จนมั่นใจจริงๆ ก็ตอนที่น้าบุษพูดให้ฟังถึงสาเหตุที่ผู้เช่าคนก่อนๆ ต้องย้ายออกไป”

“ถ้าไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ จะทำยังไงรึ”

เวธัสยังเห็นผู้ที่ถูกกล่าวหาเป็นแค่เพียงคนสูงวัยที่ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม

“คอยดูก็แล้วกัน ฉันคิดไม่ผิดหรอก คนแถวนี้พูดกันทั้งนั้นว่ายายเอี่ยมไม่อยากให้มีคนมาเช่าบ้านหลังนี้”

คนแถวนี้ของแพรพิไลคือบุษบงเพียงคนเดียวที่มักจะมาสุงสิงกันเป็นประจำ

ก่อนหญิงสาวจะผละเข้าไปในบ้านก็เห็นรถยนต์ของเพื่อนสนิทจอดตรงประตูหน้าบ้าน

แพรพิไลหันมาส่งค้อนให้เขา แล้วเดินไปหาผู้มาเยือนทั้งสามคน

“มากันครบทีมเลย คนกำลังเซ็งพอดี”

“รู้ว่าพวกฉันจะมาหรือไงยะ ถึงมายืนรอต้อนรับกัน” คณิศรเอ่ยขึ้นแล้วส่งยิ้มไปทางเขา “คุณเทพคิดถึงแคนดี้บ้างไหมคะ ไม่ได้เจอหน้ากันหลายวัน คงไม่ลืมกันใช่ไหม”

“ไม่ลืมผู้มีน้ำใจต่อกันแน่นอน” เวธัสตอบผู้ที่มาหยุดยืนใกล้ๆ ซึ่งเดินนำหน้ามาก่อนเพื่อน

“ได้ยินอย่างนี้ค่อยชื่นใจ” คณิศรเข้าไปจับแขนเขา “คุณเทพยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหมคะ แคนดี้ซื้อโจ๊กร้อนๆ มากินพร้อมกัน ส่วนกลางวันจะช่วยกันทำอาหารกินกันด้วยค่ะ”

“มีคนคิดถึงคุณเทพมากๆ ก็เลยชวนพวกเรามาปาร์ตี้ที่นี่ค่ะ” ปรางบอกจุดประสงค์แท้จริงของการมาเยือน

“พวกแกอยากไปทำอะไรก็เข้าไปในบ้านเถอะย่ะ ฉันจะยืนคุยกับคุณเทพอีกสักหน่อย” คณิศรบอกเพื่อนสาวที่มาด้วยกัน

“ถ้าคุณเทพรำคาญมันนัก ก็ยกขายันให้ไปไกลๆ ได้นะคะ พวกเราไม่ว่าอะไร” ฝนเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงสดใส

“ผมไม่เคยคิดทำร้ายใคร”

“ช่างเป็นคนดีเหลือเกิน อย่างนี้จะไม่ให้แคนดี้ลุ่มหลงคลั่งไคล้ได้ยังไง” คณิศรทำเป็นแนบแก้มกับไหล่ของเขา

แพรพิไลอดไม่ได้ที่จะพูดกับเพื่อนสนิท “เก็บอาการบ้างก็ได้ แสดงออกโจ่งแจ้งแบบนี้ ระวังไว้เถอะ จะไม่ได้อะไรเลยนะแคนดี้”

“ฉันไม่เก็บหรอกอากงอาการ มันต้องแสดงให้รู้กันบ้างสิว่าชอบว่ารัก ใครจะเหมือนแกล่ะ แอบซ่อนทุกอย่างไว้ในใจ สุดท้ายคนอื่นก็คว้าไปครอง”

“อย่าเอาเรื่องเก่ามาเผาเพื่อนนะแคนดี้”

หากคณิศรไม่สนใจคำของหล่อน จึงจีบปากจีบคอเล่าให้เขาฟัง “คืออย่างนี้นะคะคุณเทพ เคยมีรุ่นพี่ที่บริษัทที่ยัยแพรแอบปลื้มแอบชอบมากถึงมากที่สุด แต่มันไม่เคยแสดงออกให้รู้ มัวแต่เก็บงำไว้กับตัวเอง สุดท้ายพี่คนนั้นก็เปิดตัวแฟน มันจึงอยู่เป็นโสดมาจนถึงทุกวันนี้ไงล่ะคะ”

“คงเป็นเยี่ยงนั้นมาตลอด ทั้งที่เหมือนใจคิด แต่ยังทำตัวนิ่งๆ อยู่นั่นเอง” เขาเอ่ยลอยๆ

“ถ้าพี่คนนั้นเป็นคู่ของฉันจริงๆ ป่านนี้คงไม่ไปคู่กับคนอื่นหรอก” หล่อนแย้งเพื่อนเหมือนที่เคยใช้ปลอบใจตัวเองมาสักพักหนึ่ง

เวธัสรู้ดีว่าคู่ของหล่อนคือตน

“คุณเทพยิ้มอะไรคะ” คณิศรถามเขา

“ยิ้มให้คนยังไม่มีคู่ ที่อาจจะเจอคู่เข้าแล้ว แต่ไม่รู้ตัว”

“คุณเทพพูดจริงหรือคะ อย่างนี้แคนดี้ก็เจอคู่แล้วล่ะสิ คุณเทพบอกกันตรงๆ ก็ได้” คณิศรยกมือทำท่าหยิกต้นแขนของเขาด้วยความขัดเขิน

“โอ๊ย! เบื่อคนเข้าข้างตัวเอง เดี๋ยวฉันจะตักน้ำใส่กะโหลกเอามาให้แกดูนะแคนดี้” ปรางส่ายศีรษะให้เพื่อนชาย เพราะเห็นเขามองไปทางแพรพิไลยามกล่าวประโยคนั้น

“ก่อนที่แกจะเจอคู่ แกไปตัดสัมพันธ์กับเด็กๆ ทุกคนของแกให้หมดก่อนดีกว่านะ” ฝนผสมลงโรงกับเพื่อนสาว

“คุณเทพอย่าไปฟังนะคะ เด็กเดิกอะไรกัน แคนดี้ไม่มีเรื่องเสื่อมเสียอย่างนั้นหรอกค่ะ”

“มันเสียไปแล้วน่ะสิ” ปรางยังไม่หยุดเย้าเพื่อน ก่อนหันหน้าไปถามหล่อน “นี่ก็หลายเดือนแล้วที่คุณเทพมาอยู่กับแก ตกลงจะให้อยู่ไปถึงเมื่อไหร่”

“จนกว่าคุณเทพจำตัวเองได้ว่าเป็นใคร ถ้าให้ไปตอนนี้จะให้ไปไหนล่ะ”

“ช่างเป็นแม่พระเสียจริงๆ ระวังไว้เถอะ แกจะตกหลุมที่แกขุดไว้เอง จนไม่อยากให้คุณเทพไปไหน”

แพรพิไลเคยคิดเช่นนั้น จนตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจว่าจะทำใจได้จริงหรือไม่ ถ้าวันหนึ่งเขาไม่อยู่ในบ้านหลังนี้

“พ่อแม่แกคงไม่ยอมแน่  ถ้ารู้ว่าแกอยู่กับคุณเทพ”

คณิศรที่รู้เรื่องราวบุพการีของหล่อนตั้งแต่วันนั้นก็เอ่ยแทรก “ตกข่าวละสิยัยฝน พ่อแม่มันรู้ตั้งนานแล้วว่าคุณเทพอยู่กับมัน”

“พ่อกับแม่ฉันไม่เห็นจะว่าอะไรเลย เหมือนจะชอบด้วยซ้ำที่คุณเทพมาอยู่กับฉัน”

คนทั้งสี่เสวนากันเหมือนไม่มีเขายืนอยู่ใกล้ๆ

“อยู่กันมาหลายเดือน เห็นหน้ากันทุกวัน ฉันถามจริงๆ เถอะ แกไม่เคยเผลอใจให้คุณเทพบ้างเหรอ” ปรางกระซิบข้างหูหล่อน

แพรพิไลนึกถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเคยทำให้กันก็เริ่มหน้าแดง

“พวกฉันเอาของไปเก็บในบ้านดีกว่า คงใกล้เวลากินข้าวเช้ากันแล้ว” ปรางปล่อยให้หล่อนจมอยู่กับคำถามนั้น แล้วชวนฝนให้เดินเข้าไปในตัวบ้านพร้อมกัน

“แกเป็นอะไร ทำไมหูแดงหน้าแดงล่ะยัยแพร” คณิศรทักขึ้น

“วันนี้คงครื้นเครง มีหลายคนน่าจะสนุกดีนะ” ผู้มาใหม่เข้ามาสมทบ หลังจากยืนเมียงมองอยู่นาน

แพรพิไลมองบุษบงซึ่งมีรอยยิ้มบนใบหน้าเหมือนทุกทีที่เจอกัน

“น้าได้ยินเสียงคนคุยกันก็ออกมาดู” บุษบงเอ่ยต่อ แล้วมองไปที่เขา “ดีเหมือนกัน สุดหล่อของหนูแพรจะได้ไม่เหงา เห็นอยู่บ้านคนเดียวทุกวัน จะได้เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง”

“คุณน้าเรียกคุณเทพว่าอะไรนะครับ” คณิศรเก็กเสียงให้เหมือนผู้ชายมาดแมน

“สุดหล่อของหนูแพร” บุษบงย้ำคำเรียกขานเขา แล้วหันหน้าพูดคุยกับหล่อน “ยายเอี่ยมสร้างปัญหาให้อีกแล้วใช่ไหม น้าเห็นเก็บขยะกันแต่เช้าเลย เมื่อวานก็ด้วย น้าเห็นสุดหล่อทั้งกวาดทั้งล้างหน้าบ้าน อยู่ด้วยกันก็ช่วยกันดีแล้ว แต่ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ย้ายออกไปเถอะนะ น้าเห็นใจ”

แพรพิไลไม่มีคำพูดใด นอกจากยิ้มรับคำจากเพื่อนบ้านที่ยังหวังดีต่อกันเสมอ

“ถ้าหนูแพรสนใจเช่าบ้านหลังใหม่ น้ามีเบอร์ติดต่อนะ อยู่ไม่ไกลจากที่นี่มากหรอก” บุษบงทิ้งท้ายก่อนผละออกไปจากบ้าน

คณิศรปล่อยแขนเขา แล้วคว้าแขนหล่อนไปยืนคุยไม่ไกลจากเขา

“คุณเทพเป็นของแกตั้งแต่เมื่อไหร่ สารภาพมาซะดีๆ ฉันพลาดอะไรไปหรือเปล่า”

หล่อนมองเขาซึ่งส่งยิ้มให้กัน ก่อนจะตอบเพื่อน “น้าบุษแค่เรียกไปอย่างนั้นเอง ไม่มีอะไรหรอก”

“เข้ามากินโจ๊กกันได้แล้ว” ปรางออกมาเรียกพวกหล่อน

แพรพิไลได้โอกาสจึงเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้เพื่อนชายกับเขาเดินตามหลังมาด้วยกัน

หลังจากรับประทานอาหารมื้อเช้าเสร็จสิ้น คณิศรก็โพล่งถามกลางวงสนทนา

“เป็นอีกแล้วเหรอ ฉันได้ยินน้าคนนั้นพูดถึงเรื่องขยะ”

หล่อนชี้แจงเรื่องราวต่างๆ ตามที่ได้ประสบทั้งเรื่องในวันนี้และเมื่อวาน

“ถ้ามีกล้องวงจรปิด อย่างน้อยก็มีหลักฐาน เอาไว้มัดตัวคนทำที่ไม่ยอมรับผิดได้” ฝนเอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องมีกล้องวงจรปิด ทุกอย่างก็ฟ้องชัดเจนอยู่แล้วว่าใครทำ” หล่อนแย้งเพื่อน “มีหลักฐานเป็นคลิปก็เท่านั้น ถ้าคนทำไม่หยุดลงมือ”

“นั่นสิ จะติดกล้องวงจรปิดไปทำไมให้ยุ่งยาก นี่บ้านเช่า ไม่ใช่บ้านของยัยแพร พอย้ายออกก็ต้องเก็บไปอยู่ดี” คณิศรไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่หล่อนจะติดตั้งกล้องวงจรปิด เพราะชุมชนละแวกนี้ไม่ค่อยมีเรื่องขโมยขโจรหรือพวกมิจฉาชีพให้ต้องเป็นกังวล

“อย่างนี้ก็ไม่ไหวนะแก ยายที่อยู่ข้างบ้านใช่ไหม เดี๋ยวฉันไปเคลียร์ให้เอง จะได้ไม่ทำอีก” ปรางเอ่ย

“แกทนมานานแล้วนะ พวกฉันจัดการให้เอง ไหนๆ วันนี้ก็ว่างทั้งวันแล้ว” ฝนสนับสนุนเพื่อนสาวที่คิดตรงกัน

“อย่าเพิ่งเลย พวกแกมาสนุกสนานกันไม่ใช่เหรอ ปล่อยไปก่อนดีกว่า” หล่อนรั้งไว้ “ถ้ามันเกิดขึ้นอีก ฉันจะตามพวกแกมาจัดการอีกทีนะ”

“ฉันสะสางให้เอง แกไม่ต้องทนต่อไปอีกแล้ว” คณิศรลุกขึ้นยืน “วันนี้เรื่องเพื่อนบ้านเจ้าปัญหาต้องจบสิ้นกันเสียที”

“แกจะทำอะไร แคนดี้” แพรพิไลถามคนที่เหมือนจะไม่ฟังกันเลย

“ทำไมต้องแก้ที่ปลายเหตุโดยการย้ายออกด้วยล่ะ เราต้องแก้ที่ตัวต้นเหตุสิ” คณิศรมองเพื่อนสาวที่มาด้วยกันพยักหน้าคล้ายเห็นด้วย “ป่ะพวกเรา ไปลุยกัน”

 



Don`t copy text!