บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 3 : เด็กหญิงผู้อยู่นอกวง..ทุกวง

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ทันทีที่เรือเทียบท่า ลำจวนวิ่งลงจากเรือจะไปขึ้นเรือน ไม้เรียวก็หวดเพียะมาที่ก้น

“วี้ด…”

เด็กหญิงตกใจมากกว่าเจ็บ

นายสุ่นโผล่มาจากความมืด ฉวยข้อมือลำจวนไว้ อีกมือก็หวดไม่นับ

“นี่แน่ะๆ นางลำจวน อย่านึกหนาว่าจักหนีพ้น”

“โอ๊ย คุณพ่อ ลูกเจ็บ แม่จ๋า ช่วยด้วย”

“เด็กนอกคอกก็ต้องโดนไม้เรียว ไม่มีผู้ใดช่วยได้ดอก”

ความจริง นายสุ่นไม่ได้ลงแรงหวดมากเท่าท่าทางที่เขาแสร้งทำ แต่จำเป็นต้องแสดงการลงโทษลำจวนให้ทุกคนเห็น เพราะนายสุ่นก็รู้สึกกระทบกระเทือนอยู่มากเมื่อผู้คนตำหนิว่าเขาเลี้ยงลำจวนอย่างตามใจเพราะหลง

อาจเป็นเพราะลำจวนเป็นลูกสาวคนเล็กที่ยังเป็นเด็กอยู่คนเดียวในบ้าน ดวงตาอันคมเป็นประกายแววไว ช่างเจรจาพาทีด้วยถ้อยคำฉลาดมีเสน่ห์ ดังนั้น จึงจำเป็นที่เขาต้องแสดงออกในทางตรงข้าม เพื่อไม่ให้นางนอบมาว่ากล่าวได้ว่าเขาเป็นบิดาที่ลำเอียง รักลูกเมียน้อยมากกว่าพวกพี่ๆ

จำปาตกใจไม่น้อย เพราะลำจวนแผดเสียงร้องไห้เกินความจริงไปมาก พอตั้งสติได้ ก็รีบเข้าไปแย่งไม้เรียวจากผัว

“นายสุ่น พอเถิด พอแล้ว ลูกทำผิดอันใด สาหัสถึงกับต้องเฆี่ยนให้ตายรือ”

นายสุ่นเหลือบไปเห็นนางนอบยืนมองมาห่างๆ หน้าตาเยือกเย็น จึงจำต้องตอบเสียงดุดัน

“มันเสียมารยาทวิ่งหนีแม่ครูท่านไปต่อหน้าต่อตา กว่าฉันจะกราบขอท่านมาสอนลูกๆ ได้ ต้องขอความเมตตาท่านอยู่หลายครา ท่านก็ไม่ถือตัวยอมมาสอนให้ถึงบ้าน ฉันมีลูกน้องเคารพนับถือเกรงกลัว แต่นางลำจวนมันกล้าแข็งข้อ หักหน้าพ่อมันต่อหน้าต่อตาทุกคน ฉันอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”

“ฉันผิดเอง ฉันเลี้ยงลูกไม่ดี ฉันจะอบรมมันเอง นายสุ่นไม่ต้องมาตีเหมือนเป็นงัวเป็นควาย”

จำปาตัดพ้อ ยิ่งเห็นนางนอบมายืนกำกับผัวอยู่ข้างหลัง ยิ่งแค้นใจ

“พูดมากี่ครั้งกี่คราแล้วว่าจะอบรมๆ แต่ก็ไม่เคยดีขึ้นเสียที ดูพวกพี่ๆ มันซี มีใครเคยเป็นแบบนี้บ้าง คนอื่นเขาว่านอนสอนง่ายกันทุกคน ไม่มีใครแหกพี่น้องวงศ์ตระกูลเหมือนนางลำจวน คอยดูไป หากแม่จำปาไม่ยอมไม้แข็งกับลูกบ้าง วันนึงมันจักโตขึ้นมาเป็นโจร”

นายสุ่นสำทับเพื่อเอาใจนางนอบซึ่งไม่ว่ากล่าวอันใดออกมาแม้แต่คำเดียว รักษาความนิ่งไว้เช่นเมียเอกที่น่านับถือ มีเพียงสายตามองมาที่ลำจวนอย่างสุดจำหยั่ง ว่าความรู้สึกคืออะไร

ลำจวนได้ยิน รู้สึกเหมือนถูกพ่อสาปแช่ง เด็กหญิงจึงสะอื้นไห้อย่างขมขื่นใจยิ่งนัก

และเพราะต้องทำตามคำพูด อีกหลายวันต่อมา เมื่อแม่ครูมาสอนอีกครั้ง จำปาจึงจำต้องมานั่งขนาบลูก คุมให้ลำจวนร่วมเรียนรำกับพี่ๆ

เมื่อนั้น      ระเด่นบุษบาสาวสวรรค์

ในอกหมกไหม้ดังไฟกัลป์      อยู่ยังห้องสุวรรณไสยา

แม่ครูร้องและรำนำ  นวล น้อย รำตามอยู่ข้างหน้าอย่างตั้งใจ  ลำจวนรำอยู่ข้างหลัง กัดฟัน พยายามรำให้ดีเท่าพี่ๆ

ลุงมั่น มือฉิ่ง ตีฉิ่งให้จังหวะไป ตามองลำจวนรำไป ลุ้นไปตลอดเวลา

นายสุ่นนั่งคุมอยู่ที่ประจำ มือถือไม้เรียวราวกับฝึกลิง สีหน้าเครียดขึ้นเรื่อยๆ

นางทิม บ่าวผู้มีหน้าที่เลี้ยงดูลำจวน กับพวกทาสที่ปกติไม่สนใจกับกิจกรรมนี้ กลับมาแอบโผล่ดูกันอย่าเอาใจช่วยเด็กหญิงกันสลอน

บรรทมรำพึงคะนึงไป         ให้คลั่งคลุ้มกลุ้มใจหนักหนา

ตัวกูแม้นม้วยมรณา           ก็ดีกว่าที่เป็นดังนี้

นวลและน้อยรำกันอ่อนช้อย แช่มช้า ละเมียดละไม ดวงหน้าสงบงามตามขนบนางรำนางใน ที่ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

หากแต่ลำจวนพยายามรำอย่างสุดความสามารถ เม้มปาก ขบกรามแน่น ดวงหน้าขึงขมึงไปตามเนื้อเพลง

นายสุ่นยิ่งดูยิ่งขัดตา ลุกขึ้น แล้วหวดไม้เรียวเข้าที่ขาลำจวนดังเพียะๆๆ

เด็กหญิงกระโดดโหยง

“โอ๊ยๆๆ”

แม่ครูตกใจ ขณะที่นวลกับน้อยถอยหลีกทาง

“นังลำจวน เสแสร้งแกล้งรำให้เลว”

นายสุ่นคิดว่าตนเองรู้ทันลูกคนนี้ดีพอ

“คุณพ่อขา ลูกพยายามรำให้งามที่สุดแล้วจริงๆ นะคะ”

ลำจวนหมอบกราบลง

แม่ครูถอนใจ อดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่คิดออกมา

“แม่ลำจวนเนื้อตัวมือไม้แข็งทื่อผิดพี่ๆ แท้ๆ”

นางนอบยังคงรักษาบุคลิกเมียเอกผู้สงบนิ่ง ไม่ออกปากวิพากษ์วิจารณ์อะไร ยิ่งทำให้นายสุ่นยิ่งเกรงใจ จนยิ่งโกรธลูกสาวคนโปรด

“บอกแล้ว ว่ามันแกล้งทำ”

ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก้าวออกมาจากเรือนด้านในดังปึงปัง

เจ้าของเสียงนั้นคือเนตร บุตรชายคนโตของนายสุ่นและคุณนายนอบนั่นเอง

เขาไม่ค่อยอยู่บ้าน และหากอยู่ก็ไม่ใคร่จะปรากฏกายจากห้องมาคลุกคลีกับใคร

เนตรเป็นช่างเขียนภาพ เป็นคนเคร่งขรึม วางตัวให้ทุกคนเกรง ราวกับจะเตรียมตัวเป็นประมุขของครอบครัวต่อไปในภายภาคหน้า

เนตรนั่งลง ไหว้แม่ครูอย่างเคารพนบนอบ

“แม่ครูขอรับ ขอประทานโทษเถิดขอรับ กระผมเอือมระอาเต็มทนแล้ว คุณพ่อ”

สายตาที่เนตรมองดูจำปาและนางทิม แสดงความเหยียดหยามเปิดเผย

“ลางที นางลำจวนมันมิได้มีวาสนาพอ คุณพ่อกับแม่ครูอย่าได้เสียเวลามาเคี่ยวเข็ญมันเลย สู้เอาเวลามาใส่ใจกับน้อยแลนวล เพื่อจะได้พาไปรำอวดตามวังเจ้านายต่างๆ ให้ได้ดิบได้ดีสมความดีความงามของแต่ละคน คนเราแข่งอันใดแข่งได้แต่แข่งบุญวาสนานั้นไม่ได้ดอกขอรับ เชื่อผม ปล่อยให้มันเป็นนางทโมนเฝ้าสวน โตขึ้น ก็คอยไปเหมาผ้าไหมจากพวกนายฮ้อยนายเกวียนลาวแถวทุ่งสะพานควาย หอบหีบไปเที่ยวขายตามบ้านคน เยี่ยงแม่จำปาของมันเถิด”

เนตรยิ้มสมเพช ประกอบท่าทีสูงส่งเหนือผู้อื่น เขาแสดงบทบาทแทนมารดา ด้วยการกราดวาจาไม่ไว้หน้าเมียน้อย ทำให้ทุกคนพูดไม่ออกไปตามๆ กัน

แต่นพ น้องชายคนรองจากเนตร เป็นคนอีกลักษณะหนึ่ง

เขาก็ไม่ค่อยอยู่ติดบ้านเช่นกัน

 

นางทิมที่กำลังนั่งเฝ้าลำจวนซึ่งชอบคลุกคลีตีโมงกับพวกทาสถึงขนาดลงไปช่วยตักน้ำใส่ตุ่ม แถมยังแสดงภูมิรู้ไปสอนพวกผู้ใหญ่ในมาดไม่ผิดนายสุ่นผู้พ่อ

“รู้หรือไม่ ไยเพลาน้ำขึ้นน้ำจึงใส เพราะน้ำเค็มจากทะเลขึ้นมาปะทะกับน้ำจืด ทำให้ตะกอนหนักตกลงเบื้องล่าง น้ำใสๆ ก็ลอยขึ้นเบื้องบนอย่างไรล่ะ เขาจึงบอกว่า น้ำขึ้น ให้รีบตัก”

แต่ทันทีที่ทิมเห็นเรือจ้างพายที่เข้ามาเทียบเพื่อส่งคน ซึ่งเป็นนพกับพวกบ่าวชาย เธอก็รีบคว้าแขน

ลำจวนอย่างร้อนใจ

“คุณลำจวน ขึ้นเรือนเถิด คุณนพมา”

แต่เมื่อลำจวนเงยขึ้นเห็นสภาพนพ เด็กหญิงก็ขืนตัวไว้สุดแรง

“พี่นพ ไปโดนใครตีกบาลมา”

สารรูปของนพทำให้พวกทาสที่กำลังทำงานแตกฮือ พากันถอยหนี

ชายหนุ่มหัวแตกเลือดอาบ หยดลงบนตัวที่ไม่สวมเสื้อ ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก

นางทิมถึงกับลืมตัว โพล่งออกไปอย่างใจคิด

“ร้อยวันพันปี ไม่เห็นหน้าเห็นตา ถ้าไม่เจ็บหนักปางตาย คุณนพจักคิดกลับบ้านกลับช่องก็หาไม่”

นพเองก็ตอบสวนมาอย่างเท่าเทียมกัน เช่นคนที่คิดอะไรในใจไม่เป็น

“ปากหมานัก อีทิม อีไพร่”

ว่าแล้วก็ประกาศไปให้พวกทาสและบ่าวไพร่ที่มองกันมาเป็นตาเดียวอย่างห่างๆ ได้รับรู้ความจริงโดยทั่วกันทันที ไม่ปล่อยให้ใครข้องใจ

“ไอ้คนวัดเสาประโคนมันมาดักลอบตีกูทีเผลอ เพราะผู้หญิงเขารักกู ไม่รักมัน อูย โอย ไอ้ไฝ ไอ้เข่ง

พากูไปทำแผลเร็ว”

นพเดินโซเซให้พวกบ่าวประคองไปที่เรือน ส่วนลำจวนก็แล่นตามไปจนนางทิมห้ามเสียงหลง

“คุณหนู…อย่าไปข้องเกี่ยว…”

แต่อย่าได้หวัง ว่าลำจวนจะฟัง

 

และเมื่อพวกบ่าวชายช่วยกันทำแผลให้นพด้วยยาสมุนไพรกลางบ้าน ลำจวนก็ไปนั่งเท้าแขน เสนอหน้าดูอยู่กับเขาด้วย

“เลือดราวกับน้ำ”

เธอวิพากษ์วิจารณ์ ขณะที่ทิมต้องคอยคุมเชิง ไม่คลาดสายตา

นพมองดูหน้าลำจวน แล้วคิดอะไรขึ้นมาได้

“กระดาษ ไปหากระดาษมา สมุดข่อยในหีบที่คุณพ่อใช้จดสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็ได้ นางทิม ไปเอามาถี”

“จักเอามาเขียนร้องทุกข์นครบาลรือคะ” นางทิมเดา

“ไม่ต้องถาม ไป เข้าไปเอาเครื่องเขียนมาด้วย” ชายหนุ่มตวาด

แต่ลำจวนวิ่งตื๋อไปก่อนแล้ว

“เครื่องเขียน กระดาษ…ฉันไปเอาเอง”

 

ห้องทำงานของพ่อเป็นอาณาจักรโปรดของลำจวน

หีบเก็บเครื่องละครต่างๆ วางซ้อนๆ อยู่ด้านนึง อีกฟากหนึ่งคือหีบหนังสือที่ใส่สมุดไทยมากมาย ในนั้น มีบทละคร เขียนบนสมุดขาว สมุดดำ และตำรับตำราอื่นๆ เต็มไปหมด

ลำจวนจัดแจงเปิดหีบ หยิบสมุดต่างๆ มาเปิดดู

มีสมุดที่วาดรูปเครื่องละคร ชุดละคร สมุดวาดท่ารำที่เป็นแบบแผน ที่นายสุ่นเสาะหามาสะสม

ลำจวนนั่งแปะลง หยิบเล่มนั้นเล่มนี้มาพลิกดู ดูเพียงภาพวาดเพราะอ่านหนังสือไม่ออก และเมื่อนางทิมโผล่มาตาม เด็กหญิงก็แกล้งถาม

“นี่…อ่านว่ากระไร”

“ไม่ทราบค่ะ อ่านไม่ออก”

นางทิมสะบัดสะบิ้ง

“โธ่…” เด็กหญิงทำเสียงเบื่อ

“ไหนคะ กระดาษ เครื่องเขียน รีบออกไปเถิดค่ะ เดี๋ยวมีใครมาพบ คุณจะโดนอีก”

“ทำไมถึงโดน”

“ไม่มีเด็กผู้หญิงที่ไหนรื้อค้นหนังสือหนังหามาเล่นดอกค่ะ”

“ไม่ได้เล่น ฉันอยากรู้ ว่าในนี้เขียนว่าอะไร”

“เขียนอะไรก็ไม่ใช่ธุระของคุณดอกค่ะ รีบหยิบของแล้วรีบออกไปเถิดค่ะ อิฉันขอร้องล่ะ”

นางทิมเหลียวซ้ายแลขวา กลัวแทนลำจวนจริงๆ

 

แต่สิ่งที่นพต้องการนั้น เกินความคาดหมายของนางทิมไปมาก

“ออลำจวน เจ้าต้องเขียนเพลงยาวถึงแม่ราตรีให้พี่”

“หา…ฉันเขียนหนังสือเป็นเสียที่ไหน”

ลำจวนอุทธรณ์ แต่นพไม่ใส่ใจ

“เจ้าเขียนไม่ได้ แต่เจ้าคิดได้ เจ้าบอกคำกลอนมา แล้วพี่จักเขียนเอง”

แล้วนพก็ทำสิ่งที่ทุกคนต้องตะลึง

เขาเอานิ้วป้ายเลือดที่เปื้อนตัว มากดพิมพ์เป็นลายนิ้วมือลงไปในกระดาษ

“นี่แล เพลงยาวของพี่”

ลำจวนตื่นเต้นตาโต

“อิเหนาเอาเล็บจิกบนกลีบดอกปะหนัน เขียนเป็นเพลงยาวถึงบุษบา แต่พี่นพจักเขียนถึงแม่ราตรี

ด้วยเลือดบนกระดาษข่อย!”

นพทำเสียงรำคาญ ขณะจิ้มปากกาคอแร้งลงในขวดหมึกจีน

“ใครจักมีเลือดพอเขียนเล่า ลำจวนจงแต่งเพลงยาว…เป็นเนื้อความ…ว่านี่คือเลือดของพี่ หลั่งออกมาเซ่นสังเวยความรักที่มีต่อแม่ราตรี พี่ตายก็ยอมหากแม่ราตรีเห็นใจ เร็วๆ ออลำจวน แม่มหาจำเริญ…ช่วยพี่ที…เจ้าต้องกตัญญูต่อแม่พี่ ที่ให้ข้าวแดงแกงร้อนให้หลังคาคุ้มหัวแม่เจ้า…กับตัวเจ้ามาแต่อ้อนแต่ออก”

ลำจวนหาได้ใส่ใจกับถ้อยคำทวงบุญคุณ เธอมัวแต่ครุ่นคิด สักครูก็กล่าวออกมาอย่างลังเล

“คือเลือดรัก เลือดชั่ว ของตัวพี่”

“ไฮ้!”

นางทิมตกใจ เกรงว่านพจะโกรธนายน้อยๆ ของเธอ ด้วยเขาโมโหร้าย รุนแรงนัก

“ดีๆๆ เลือดชั่ว เลือดชั่ว…พี่ชอบๆ”

เขาจัดแจงเขียนลงไป

ลำจวนผุดยิ้มพราย

“เซ่นสังเวย เมตตา ของราตรี”

นพตบเข่าฉาด
“บ๊ะ…สำคัญนักๆ ออลำจวน…เซ่นสังเวย เมตตา ของราตรี…”

เขาทวนประโยค พลางเขียน

“ทั้งชีวี พลีแล้ว แด่แก้วตา”

นพเขียนตามรวดเร็ว

พลัน ลำจวนก็ร่ายกลอนออกมาต่อเนื่องเลื่อนไหล

“พี่เคยทำ กรรมไว้ ในชาติก่อน   จึงจำจร ลาตาย ต้องหายหน้า   หากพอมี บุญใด ได้ทำมา   ขอราตรี โน้มกิ่งฟ้า สักราตรี”

นพตาลุก มือเขียนเป็นระวิง

“โอ๊ย…ออลำจวนน้องรัก เจ้าช่างคมกริบเกินวัย ดุจเป็นศิษย์ท่านอาลักษณ์ภู่ที่พอสิ้นแผ่นดินกลาง ก็ออกบวชพระแล้วหายตัวจากวัดเลียบฝั่งขะโน้น ไปธุดงค์รอนแรมในเรืออยู่แห่งหนใด ไม่มีใครรู้”

“ไม่มีใครรู้เลยรือคะ พี่นพ”

ลำจวนตาลุกวาว เหมือนได้ยินนิทานลึกลับ

“ท่านหายตัวไปเสียเฉยๆ รือคะ”

เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้           ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย
ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ          เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกาฯ

นพท่องกลอนออกมา ด้วยอารมณ์เพ้อๆ

ลำจวนรีบท่องตามอย่างพยายามจดจำ

“เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย  ล้วนหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา”

“พี่ไปฟัง…ที่มีคนเขามาอ่านนิราศภูเขาทองสู่กันฟังลับๆ ที่หลังวัดระฆัง”

นพลดเสียงกระซิบ เช่นยามเอ่ยถึงเรื่องต้องห้ามที่อาจนำภัยมาสู่

“จุ๊ๆๆ อย่าให้พูดเลย…ท่านคร่ำครวญถึงแต่ในหลวงแผ่นดินก่อนปิ่มว่าจะขาดใจ”

ลำจวนขยับเข้าใกล้นพ ดวงตาแพรวพราวเป็นประกายอย่างมีความหวัง

“ฉันอยากอ่านเขียนเองได้บ้าง พี่นพสอนฉันหน่อยสิ”

“เฮ้ย เรื่องอะไรจะสอน เดี๋ยวอ่านออก เขียนได้ เจ้าก็จะไปเขียนเพลงยาวหาผู้ชายเท่านั้นเอง ฉวยเสีย

ผู้เสียคนไป ใครๆ จะมาโทษพี่ จะไปไหนก็ไปไป๊ รำคาญ…”

เมื่อลำจวนหมดประโยชน์ นพก็หมดความสนใจในตัวเด็กหญิงอีก

 



Don`t copy text!