ชมรมคนอยากตาย บทที่ 1 : วันครอบครัว

ชมรมคนอยากตาย บทที่ 1 : วันครอบครัว

โดย : นทธี ศศิวิมล

Loading

ชมรมคนอยากตาย นวนิยายเนื้อหาฮีลใจที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ โดย นทธี ศศิวิมล เรื่องราวของชายหนุ่มที่สามารถมองเห็นสีออร่าของคนที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เขาจึงตัดสินใจทำบ้านให้กลายเป็นสถานที่ปลอดภัยสุดท้ายของเหล่าผู้ที่อยากตาย ที่นี่คือพื้นที่ให้ทุกคนได้มาเยียวยากันและกันจนได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์พร้อมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต

“ขอโทษจริงๆแม่ ผมเหนื่อยมาก เพิ่งสอบเสร็จ ไม่ไหวจริงๆ อยากนอนพักสักสามสี่วัน” ปราณต่อรอง “ถ้าเลื่อนวันออกไปก่อนสักนิดไม่ได้เหรอ” พลางทำท่าสะลึมสะลือจนโงหัวแทบไม่ขึ้น ตัวพันห่ออยู่ในผ้าห่มเหมือนดักแด้ผีเสื้อจอมขี้เกียจ

แม่ยิ้มอย่างใจเย็น ในขณะที่ครีมผู้เป็นน้องสาวกลอกตามองบน ถอนหายใจทำสีหน้าเหนื่อยหน่ายเต็มที ก่อนสะบัดตัวเดินบ่นอุบอิบออกไป

แม่ทรุดตัวลงนั่งลงบนเตียงข้างๆ ปราณ “ทางบ้านอาต้อมเค้าวางแผนกันไว้นานแล้ว เตรียมอะไรต่อมิอะไรไว้พร้อมหมดแล้ว ขนม อาหารการกิน แถมอาต้อมประกาศวันหยุดโรงงานเพื่อรอต้อนรับพวกเราไปแล้วด้วย น่าจะเลื่อนไม่ได้จ้ะ”

“นั่งหลับไปบนรถก็ได้นี่” พ่อเดินเข้ามายืนพิงกรอบประตู “เดี๋ยวพ่อขับนิ่มๆให้นอนสบายๆ ตื่นอีกทีถึงแม่สอดแล้ว”

ชายหนุ่มยังคงนอนปักหลักอยู่ในรังดักแด้บนเตียงไม่ยอมขยับตัวลุก “จริงจังพ่อ ไม่ไหวจริงๆ ปีนี้ขาดผมไปสักคนคงไม่เป็นไรหรอก ไอ้ครีมคงดีใจ ได้เหมาขนมอาอี๊ดคนเดียวหมด”

“นินทา!” หญิงสาวหน้าตาหมดจดสดใสร่าเริงชะโงกหน้าเข้ามาอีกรอบ “ไม่ต้องมาอ้างน้อง ไม่ไปก็ไม่ต้องไปเลยไม่ต้องมาโยง แล้วเอแคลร์อาอี๊ดนี่ จะไม่มีการห่อมาฝากใดๆ ทั้งสิ้น จะกินให้หมดหน้างานไม่ให้เหลือสักคำเดียวคอยดู” ครีมรู้ดีว่าขนมที่อาสะใภ้ทำเป็นของโปรดและเป็นสิ่งจูงใจที่สุดแสนจะทรงพลัง โดยเฉพาะเอแคลร์ไส้ครีมเนียนนุ่ม หอมวานิลลา หอมมันเนย หวานละมุน ยิ่งตอนอบออกมาใหม่ๆ แป้งกรอบ ครีมอุ่นๆ กัดเข้าปากสักคำ ครีมทะลักทั่วกระพุ้งแก้ม กลิ่นหอมกระจายในโพรงจมูก ใจแทบละลายลงไปกองที่พื้น

“รอบนี้จะไปเดินสำรวจเส้นทางเดินป่าใหม่ที่ต้นกระบากใหญ่ด้วยนะ” พ่อต้นโยนไพ่ไม้ตาย “เป็นเส้นทางใหม่สำรวจลำธารสายใหม่ที่ผ่านหมู่บ้านชาวเขา เห็นแม่เขาว่าอาจจะพักที่โฮมสเตย์ในนั้นสักคืนสองคืน”

ปราณเริ่มไขว้เขว การเดินป่ากับครอบครัวเป็นไฮไลต์ของทริปทุกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อจะไปสำรวจเส้นทางใหม่ เขาใช้เวลาในการใคร่ครวญอยู่อีกราวห้าวินาทีก็เด้งตัวขึ้นจากที่นอน

“โอเค ขอเวลาเก็บของห้านาทีครับ พ่อ”

“เย้” แม่ร้องดีใจเดินมาบีบแก้มปราณเบาๆ “ดีมากลูกหมาน้อยของแม่”

“หื้มมม” ชายหนุ่มขมวดคิ้วย่น เบือนหน้าไปอีกทาง

พ่อหัวเราะอีก “แม่! ปราณมันอาย”

แม่เลิกคิ้วแวบหนึ่งก่อนหลุดหัวเราะออกมาอีกคน “จริงด้วย ลืมอยู่เรื่อยว่าลูกโตจนเป็นหนุ่มขนาดนี้แล้ว”

“ปีสามแล้วนะแม่ อีกเดี๋ยวก็เรียนจบทำงานแล้ว” พ่อเสริมอีก “เด็กๆ โตกันไวจนไม่น่าเชื่อเลยนะ เหมือนเพิ่งแก้ผ้าวิ่งรอบบ้านอยู่เมื่อวานนี้นี่เอง”

“อี๋…” เสียงครีมดังแทรกมาจากหน้าห้อง

ปราณกลั้นหัวเราะแล้วว่า “ไม่ต้องมาอี๋เลย แกนั่นแหละครีม ตัวดีเลย ตอนเด็กๆ แก้ผ้าวิ่งตลอด แม่วิ่งตามจับแทบไม่ทัน อ้วนก็อ้วน วิ่งโคตรไว”

“ตัวเองผอมนักนี่” ครีมโผล่หน้ามาที่ประตูย้อนทันควัน

“เอ้า ไปๆ ออกไปกันได้แล้ว ให้พี่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้เตรียมตัวเดินทาง” พ่อว่า “นี่ ปราณ อย่าลืมเอาเสื้อกันหนาวไปนะ อาต้อมบอกว่าปีนี้หนาวไว ตอนนี้บนยอดดอยเริ่มมีน้ำค้างแข็งแล้ว”

 

ตอนนั้นปราณคงหลับสนิทอยู่ที่เบาะหลัง จึงไม่อาจรับรู้เลยว่าก่อนเสียงดังกัมปนาทนั้นเกิดอะไรขึ้นบนถนน แม้ปราณคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยตามที่พ่อกำชับ รถร่วงหล่นลงหุบเหวลาดชันจนกระแทกโขดหินขนาดใหญ่ทำให้ร่างกายถูกกระชากอย่างแรง ก่อนเหวี่ยงสะบัดไปมาเหมือนอยู่ในกำมือขนาดยักษ์

เสียงครีมหวีดร้องก่อนตัดหายไปดื้อๆ เมื่อเจ้าของเสียงถูกอัดกระแทกกับอะไรบางอย่างจนแน่นิ่ง เสียงแม่กรีดร้องเรียกครีมและปราณ สัมผัสจากมือของพ่อที่พยายามไขว่คว้ายึดตัวลูกๆ เอาไว้

ด้วยแรงเหวี่ยง รถยังคงหมุนกลิ้งตีลังกาต่อไปอีกสองสามตลบ ร่วงหล่นลงเหลี่ยมผา กระแทกอย่างแรงอีกครั้งเมื่อถึงพื้นก้นเหวลึกเกือบสองกิโลเมตร

ความมืดมนไร้ขอบเขตคลี่กายครอบคลุมทุกการรับรู้อยู่ครู่หนึ่ง เป็นครู่ยามที่ยาวนานจนหน่วยนับใดไม่อาจแตะต้อง แต่ในทางเดียวกัน มันกลับรวดเร็วจนน่าใจหาย ปราณลืมตาขึ้นท่ามกลางเสียงหายใจรวยรินของตนเองดังก้องอยู่ในซอกรถแคบๆ รถของครอบครัวที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงซาก

สิ่งแรกที่ดวงตาโฟกัสคือเศษกระจกแตกเกลื่อนอยู่ที่แก้มแนบชิดพื้น หลายชิ้นบาดแทงเข้าไปในผิวเนื้อจนเจ็บปลาบ ชายหนุ่มพยายามสูดอากาศเข้าปอด ทว่ากลับกระอักไอออกมาอย่างแรง ในอกแน่นตื้อเหมือนถูกเหยียบทับ เขาเห็นเลือดสดๆ พุ่งออกมาจากปากตัวเองทุกจังหวะการไอ

เลือดของเขากระเด็นไปเปรอะใบหน้าของครีม น้องสาวที่นอนลืมตาค้างอยู่ข้างๆ ผมที่หวีเรียบ มัดรวบ ติดกิ๊บมาเรียบร้อยยังคงไม่กระดิกหลุดลุ่ยแต่อย่างใด ใบหน้าของเธอยังดูมีสีเลือดฝาด ทั้งที่ร่างกายไม่ไหวติงแล้ว

“ครีม…ครีม…” หลายครั้งที่เขาเคยนึกรำคาญเสียงพูดของน้องสาว แต่ตอนนี้กลับปรารถนาสุดหัวใจให้ได้ยินเสียงนั้นอีกครั้ง

ปราณได้ยินเสียงคล้ายคนสำลัก เขาขยับตัวไม่ได้ ได้แต่ชำเลืองตาไปมองทางนั้น ที่ด้านหน้ารถ แม่ยังคงอยู่ในตำแหน่งคนขับ เข็มขัดนิรภัยรัดตัวแม่ติดกับเบาะ จึงห้อยหัวหันหน้าไปทางหน้ารถแบบนั้น เลือดสีแดงสดไหลจากแหล่งกำเนิดไหนสักแห่งแถวหน้าอกย้อยลงมาที่คอ คาง และลากวาดมาบนใบหน้า ผ่านแก้มที่ลูกๆ เคยหอมทุกเช้าและก่อนนอน ไหลรินลงไปบนดวงตา หน้าผาก และหยดลงบนหลังคารถใกล้ๆ กลิ่นยางไหม้ กลิ่นเครื่องยนต์ และกลิ่นกิ่งไม้ใบหญ้าที่หักรานเป็นทาง กลบกลิ่นน้ำหอมของแม่ที่เคยหอมโชยอ่อนอยู่ในห้องโดยสารเสมอ

ไกลออกไปอีกนิด พ่อ คนที่แข็งแรงที่สุดในบ้าน กำลังพยายามลากตัวเองกลับเข้ามาที่รถได้ยินเสียงพ่อสะอื้น ปากของพ่อขยับเรียกชื่อเขา แต่เขาไม่ได้ยิน
ดวงตาของปราณเริ่มพร่าเลือน แต่ก็ยังทันมองเห็นภาพพ่อที่หมดแรงฟุบร่วงลงนอนแนบพื้นแน่นิ่ง

“พ่อ…แม่…ครีม…”

 

เรื่องมันคงเป็นอย่างนั้น ชายหนุ่มคิดหลังลืมตาขึ้น เช้านี้เป็นเช้าวันที่ห้าแล้วนับจากวันนั้น ภาพและเสียงที่เกิดขึ้นสมจริงราวกับเกิดขึ้นตรงหน้า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายครั้ง ทั้งยามหลับฝัน และแม้แต่ในหัวของเขายามที่ลืมตาตื่น

จะแตกต่างไปบ้างก็แต่เพียงรายละเอียดปลีกย่อย ทว่าทุกอย่างในห้วงคิดนั้นดูเหมือนขยายขนาดใหญ่โตไปหมด ทั้งสิ่งอันสร้างความสุข สบายใจ และสิ่งอันสร้างความทุกข์โหดร้ายแสนสาหัส

ถ้าวันนั้นเขาตัดสินใจไปกับครอบครัวเหมือนทุกปี เรื่องคงเป็นอย่างนั้น วันนี้คงไม่ต้องมาทนกับความรู้สึกนี้ ปราณควรตายไปพร้อมๆ กับทุกคน…

ปราณทอดสายตาออกไป มองหาโทรศัพท์บ้านที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะวางโทรศัพท์ข้างประตู เมื่อเห็นแล้วก็อุ่นใจขึ้นมา ทว่าเพียงวูบไหวชั่วพริบตา ก็กลับกลายเป็นความรู้สึกร่วงวูบ ใจหาย

โทรศัพท์บ้านรูปแบบสี่เหลี่ยมเก่าเชย มีปุ่มกดนุ่มมือ ตัวเลขบนปุ่มหลายตัวเลือนรางจางลงไปตามอายุและการใช้งาน โทรศัพท์บ้านนี้พ่อยืนยันให้เปิดใช้บริการไว้เสมอ เป็นเบอร์เดิมเบอร์เดียวกับที่ตอนเขาเข้าโรงเรียนอนุบาลใหม่ๆ ถูกสอนให้ท่องจำให้ขึ้นใจ เช่นเดียวกับเบอร์มือถือของพ่อแม่

แม่เคยเล่าให้ฟังว่า มันคือความผูกพันมาตั้งแต่รุ่นคุณตายังอยู่ วันที่แม่ตอนเด็กๆ หลงทาง หรือมีคนไปรับช้า เพียงเข้าไปในตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ใกล้ที่สุด เสียงร้องไห้ของแม่จะเดินทางผ่านมาทางสายโทรศัพท์ และที่ปลายสายจะมีเสียงของคนที่รักรออยู่ให้อุ่นใจเสมอ

ปราณกับครีมเคยใช้โทรศัพท์ตู้สาธารณะเครื่องสุดท้ายของโรงเรียนลองหยอดเหรียญและโทร.กลับมาที่บ้าน หัวเราะคิกคักสนุกสนานตื่นเต้นกันเมื่อได้ยินเสียงแม่รับสาย และหลายครั้งเมื่อพ่อกับแม่ไปธุระนอกบ้านก็ใช้วิธีโทร.เข้าโทรศัพท์บ้าน เสียงเรียกเข้าเป็นเมโลดี้ดนตรีดังกังวานไปทั่วบ้านเพื่อให้เขากับน้องได้วิ่งมาแย่งกันรับสาย

ในโลกหลังความตาย จะมีโทรศัพท์สีครีมอ่อนอีกเครื่อง ตั้งอยู่ที่นั่น รอให้เขาโทร.เข้าไปหาไหมนะ ความคิดถึงของเขาจะได้ส่งไปตามสายนั้น รอให้พ่อ แม่ หรือครีม แย่งกันวิ่งมารับสาย ได้ยินเสียงกันอีกครั้ง
ความคิดถึงของคนเรามันลอยไปได้ไกลแค่ไหนกัน เขาปิดเปลือกตาร้อนผ่าวลงอีกครั้งดูเหมือนน้ำตาคงถูกความร้อนจากร่างกายแผดเผาจนเหือดแห้งไปหมดแล้ว

ไกลได้แค่ไหนนะ…

ในห้วงคำนึงของเขาแล่นโลดไปบนถนนพหลโยธินมุ่งหน้าขึ้นทิศเหนือ เส้นทางที่ครอบครัวเขาใช้เดินทางไปตั้งแคมป์ฤดูหนาวกันที่บ้านปู่ทุกปีมาตั้งแต่เขาจำความได้ กระทั่งเข้าสู่เขตจังหวัดตาก เลี้ยวขึ้นสะพานกิตติขจร เข้าทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ตาก-แม่สอด ตรงไปทางแม่สอด บนถนนคดเคี้ยวเลียบเลาะไหล่เขา มองเห็นแนวเทือกเขาถนนธงชัยสลับซับซ้อนผ่านดอยรวกที่มีฉายาว่าโค้งร้อยศพ

กลิ่นดิน กลิ่นหมอก กลิ่นไม้สนภูเขา ที่ทำให้ผ่อนคลายจนอยากจะหลับอยู่ในอ้อมกอดของการเดินทางนั้น

ความทรงจำที่เคยมีร่วมกันล่ะ พอร่างกายแตกสลายไปแล้ว มันก็จะลอยกระจายหายไปเฉยๆ เหมือนควันจากปลายธูปในงานศพงั้นเหรอ มันสลายหายไปง่ายๆ แบบนั้น…

ปราณปรารถนาให้ตัวเองอยู่ที่นั่น ที่ก้นหุบเหวท่ามกลางกองเลือดและซากศพของคนที่เขารัก พ่อ แม่ และครีม น้องสาวคนเก่ง ท่ามกลางซากยับเยินของรถครอบครัว เศษกระจกที่ระยิบระยับบนพื้นหญ้ากลางสายฝนเย็นฉ่ำ

อยู่ร่วมความเจ็บปวด หวาดกลัว สิ้นหวัง ในวันครอบครัวครั้งสุดท้าย

อยู่ร่วมลมหายใจสุดท้ายกับทุกๆ คน

ปรารถนาสุดหัวใจ…

“ปราณ…ตื่นนานแล้วเหรอ” เสียงของอาต้อมดังขึ้นก่อนเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าของอาซีดเซียว

เศร้าหมอง ซีดจนดูเหมือนภาพขาวดำที่ตัดมาแปะไว้บนภาพสีที่เป็นฉากด้านหลัง

ปราณมานอนที่โซฟานี้นานห้าวันแล้ว ตั้งแต่คืนนั้น…

เขาไม่อาจกลับเข้าไปนอนในห้องนอนตัวเองได้ ไม่กล้าทำตามปกติ และเอาจริงไม่อยากขยับ

ตัวทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ไปเถอะ ไปวัดกัน”

 



Don`t copy text!