ชมรมคนอยากตาย บทที่ 3 : เฉดสีมรณะ
โดย : นทธี ศศิวิมล
ชมรมคนอยากตาย นวนิยายเนื้อหาฮีลใจที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ โดย นทธี ศศิวิมล เรื่องราวของชายหนุ่มที่สามารถมองเห็นสีออร่าของคนที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เขาจึงตัดสินใจทำบ้านให้กลายเป็นสถานที่ปลอดภัยสุดท้ายของเหล่าผู้ที่อยากตาย ที่นี่คือพื้นที่ให้ทุกคนได้มาเยียวยากันและกันจนได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์พร้อมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต
เย็นวันนั้น ปราณตั้งใจจะหยุดทุกอย่างที่วุ่นวายอยู่ในอก สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่อยากพยายามอะไรแล้ว
เขาเพิ่งรู้สึกว่าที่ผ่านมา ชีวิตของเขาเองลำพังไม่ได้มีค่าอะไรเลย เขาไม่เคยรู้สึกถึงการมีอยู่ของตัวเองอีกหลังการตายของคนในครอบครัว
จุดหมายที่หวังไว้เลือนรางเลื่อนลอย ไกลห่างออกไป ไม่มีอะไรมีความหมาย เขาจะทำไปเพื่ออะไร จะเรียนให้จบ ประสบความสำเร็จไปเพื่ออะไรหากไม่มีคนที่รักร่วมชื่นชมยินดี ร่วมทุกข์ สุข หัวเราะ ร้องไห้
ปราณรู้สึกคลื่นไส้เมื่อตัดสินใจได้เด็ดขาดแล้ว แม้จะรู้สึกโล่งสบายขึ้น ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องฟุ้งซ่านว่าจะจัดการกับชีวิตที่เหลือยังไง แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อคิดถึงวิธีการก่อนที่จะหลุดพ้น แต่ละหนทางมันก็ชวนให้ลำบากใจไม่น้อย
ช่วงนั้นเอง ที่เมื่อเดินผ่านกระจกหรือพื้นผิวที่สามารถมองเห็นเงาสะท้อน เขาก็เห็นแสงสีประหลาด คล้ายสีแดงช้ำผสมเขียวหมุนวนไปมารอบตัว นี่เป็นประสบการณ์ใหม่ที่ปราณไม่เคยเห็นมาก่อน แต่เขามั่นใจว่าแปลความหมายไม่ผิด นี่คือสีของ ‘การตัดสินใจฆ่าตัวตาย’
เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นออร่าสีจากหัวตัวเอง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีเลยสักครั้ง จะเพราะอะไรแน่ก็ไม่ทราบได้ ชายหนุ่มคิดว่า ร่างกายและสมองของเขาคงพยายามต่อสู้เพื่อรักษาชีวิตอย่างเต็มที่ เมื่อเกิดความคิดแบบนี้ขึ้น มันคงคล้ายสัญญาณเตือนภัยเมื่อรับรู้ได้ว่ากำลังจะเกิดอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในครัว เปิดตู้ชั้นล่าง พ่อซ่อนเหล้าดีๆ เอาไว้สองสามขวด จะว่าซ่อนก็ไม่ถูกนักหรอก พ่อกับแม่ไม่เคยหวงห้าม เคยกระทั่งชงเหล้าให้ลองดื่ม แล้วก็พากันหัวเราะชอบใจเมื่อเห็นปราณสำลักไอออกมาอย่างแรงเป็นชุดเพราะกลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนเข้าจมูก ก็ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุแค่สิบสี่
พ่อว่า ‘อีกหน่อยพอลูกมีเพื่อนที่ดื่ม เขาจะชวนลูกดื่ม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้ ดื่มนิดหน่อยก็ไม่มีโทษอะไรมากนักหนา แต่ถ้ามากไป จะทำให้การรับรู้ของเราแย่ลง การตัดสินใจล้มเหลว และอาจจะพลาดทำเรื่องงี่เง่าให้ตัวเอง บานปลายไปถึงเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตได้’
‘มีอีกนะ’ แม่พูดบ้าง ‘ข้อเสียต่อสุขภาพ ถ้าดื่มมากๆ ระยะยาว จะมีผลเสียต่อตับ ระบบเผาผลาญ อ้วนฉุ เป็นที่มาของโรคความดัน เบาหวาน หัวใจ และหลอดเลือดในสมอง’
ปราณยังจำได้ว่าเขาหัวเราะนานขนาดไหน ที่แม่ร่ายข้อเสียของการดื่มเหล้ามายาวขนาดนั้น แม่ก็คือแม่ แม้จะทำท่าไม่สน ไม่แคร์ แต่ลึกๆ ในใจก็คงเป็นห่วงลูกชายคนเดียว ไม่อยากให้เป็นคนขี้เมา
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ปราณเองก็ยังไม่เคยได้แตะเครื่องดื่มใดๆ ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์อีกเลย ไม่ใช่เพราะอยากเป็นคนดีหรือรักษาสุขภาพ แต่เพราะความรู้สึกตอนได้ลองชิมครั้งแรกมันไม่น่าประทับใจเอาเสียเลย ทั้งกลิ่น รสชาติ และความรู้สึกหลังจากนั้น
ชายหนุ่มไม่ชอบความร้อนที่วิ่งวาบจากปากลงลำคอเข้าไปเดือดพล่านในท้อง ที่ทำให้เขานึกถึงนายนิรยบาลกำลังกรอกน้ำทองแดงเดือดในกระทะทองแดงใส่ปากเหล่าสัตว์นรก แสบ ร้อน ฉุน แถมยังทำให้เวียนหัว ที่แย่ที่สุดคือกลิ่น รส และสัมผัสของเหล้า ทำให้ปราณเหมือนจะรับรู้สิ่งต่างๆ ผ่านประสาทสัมผัสพิเศษได้ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร
กลิ่นกำมะถัน และสีชวนวิงเวียนทำให้เขารีบเทเหล้าใส่แก้วมือสั่นเทา และยกกระดกกรอกลงคอไปอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ของเหลวฤทธิ์แรงร้อนล่วงผ่านลงไปถึงท้อง เขาผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ได้ผล กลิ่นเหล้าแรงพอ เมื่อเทียบกับกลิ่นและแสงสีนั่น เหล้าดูจะเข้าใจได้ง่ายกว่า และทนยอมรับได้มากกว่า
บางที…ปราณคิด บางที ถ้าเลือกให้เหล้าสักขวดเป็นตัวช่วยตอนที่ฆ่าตัวตาย อาจจะดีก็ได้ หลังกระดกแก้วที่สองลงคอไป ปราณหายใจถี่ หน้าร้อนตึง รู้สึกเหมือนร่างกายบวมเป่งใกล้จะระเบิด
เขารีบปลดกระดุมเสื้อเม็ดบน เดินโซเซไปหน้าพัดลมตั้งพื้นแล้วเปิดสวิตช์ให้ลมเป่า ลมปะทะผิวเนื้อเคลือบเหงื่อชุ่มทำให้รู้สึกเย็นขึ้นบ้าง แต่ก็ยังหายใจไม่ทั่วท้อง
ปราณเริ่มคลื่นไส้ คราวนี้รุนแรงเสียยิ่งกว่าตอนที่เห็นสีของความคิดฆ่าตัวตายจากหัวตัวเองครั้งแรกเมื่อครู่ใหญ่ ต้องการที่โล่งๆ อากาศถ่ายเท จนต้องทุลักทุเลเดินเกาะเฟอร์นิเจอร์ออกไปที่ประตูบ้าน
รีบเปิดประตูออกไปหน้าบ้าน เปิดประตูรั้ว แล้วหันไปที่พื้นดินข้างถังขยะ ปล่อยอาเจียนพุ่งออกจากท้องเหมือนเปิดสายยาง ร้อน เปรี้ยว แสบไปทั่วทั้งคอทั้งจมูก ปาก หู น้ำตาไหล
ปราณอาเจียนจนหมดเรี่ยวแรง ถอยไปนั่งกองอยู่ที่เสาหน้าประตูบ้าน สะบัดหัวไล่ความมึนงง สับสน ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง จนกระทั่งร่างหนึ่งเดินใกล้เข้ามา “ปราณ…ไอ้ปราณ…”
ชายหนุ่มไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าหมดสติไปตอนไหน มารู้สึกตัวอีกที ก็อยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่นนอนลืมตามองเพดานหมุนหวิวหวืออยู่
“เป็นไงบ้างปราณ ดีขึ้นไหม ถ้ายังไม่โอเคกูจะโทรเรียกรถพยาบาลให้” เสียงนั้นดังอยู่ใกล้ๆ
เมื่อสายตาปรับชัดขึ้นจึงเห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ แต่ยังสับสนงุนงงวนเวียนอยู่ในม่านออร่าสีแดงคล้ำผสมเขียวแก่และเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม
“ใครน่ะ” ปราณถามเสียงแหบแห้ง
ร่างที่ยืนอยู่นั่งลงข้างๆ ช่วยประคองแขนปราณลุกขึ้นเอนกึ่งนั่งกึ่งนอนที่โซฟา
“กินไม่เป็นก็อย่าไปกินมันเลย เหล้าน่ะ อ้วกมึงนี่เหม็นเหล้าหึ่ง ดีนะอ้วกลงดินไปแล้ว ไม่งั้นลำบากมานั่งเช็ดนั่งล้างในบ้านอีก อีกอย่าง เหล้าเนี่ยมันไม่ช่วยอะไรหรอก เชื่อเถอะ กูเคยมาก่อนแล้ว”
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านสะบัดหน้าไล่ความงุนงง แต่ก็ต้องแปลกใจหนักเข้าไปอีก เมื่อหมอกควันแสงสีแดงก่ำปนเขียวยังเคลื่อนไหวหนาแน่นอยู่ จนมองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆ แทบไม่เห็น
จนกระทั่งชายคนนั้นชะโงกหน้ามาใกล้อีก “เป็นไง ไหวไหมเนี่ย ไปโรงพยาบาลไหม แอลกอฮอล์เป็นพิษหรือเปล่าวะเนี่ย กินไปเยอะไหม”
ตอนนั้นเองที่ปราณเพิ่งจะแน่ใจขึ้นมาพร้อมๆ กันสองเรื่อง
“พี่พอร์ช?”
พอร์ชเป็นรุ่นพี่ที่บ้านอยู่ไม่ห่างไปนัก เคยเล่นกันอย่างสนิทสนมดีเมื่อสมัยเด็กๆ แต่พอโตขึ้นต่างก็มีภาระตามช่วงวัย ทำให้ห่างกันออกไป แต่แม้นานๆ จะได้คุยกันทีก็ดูเหมือนพอร์ชจะสบายใจที่ได้คุยกับปราณเป็นพิเศษ วันนั้นเขาทั้งสองคุยกันเรื่องหนังสือวรรณกรรมที่เพิ่งออกใหม่ ที่บ้านของพอร์ชไม่ค่อยสนับสนุนให้อ่านนิยาย มังงะ หรือแม้แต่หนังสืออื่นๆ นอกจากแนววิชาการ จนปราณหาตัวเล่มงานวิจัยที่ยืนยันว่า การอ่านวรรณกรรมช่วยทำให้สมองมีการพัฒนารอบด้านและเสริมสมาธิได้ดีขึ้นมาให้ พอร์ชเอางานวิจัยนี้ไปยืนยันกับคุณพ่อที่เป็นหมอ สองคนนั้นทะเลาะกันเพราะพ่อคิดว่าลูกชายพยายามจะงัดข้อ แต่เมื่อพอร์ชสอบเข้าเรียนแพทย์ตามที่พ่อตั้งใจได้ ปราณและพอร์ชก็ห่างๆ กันไป เขาได้ยินมาว่าหมอเรียนหนักมาก เรื่องนั้นคงจะจริง ตอนนี้พอร์ชเรียนปีสี่ ใกล้ได้เป็นหมอแล้ว แต่ดวงตาของเขากลับดูเศร้าหมองมาก
ใบหน้าขาวสะอาด ตาเรียวเล็กตามเชื้อชาติ ปากบาง รูปร่างสูงโปร่งถอนหายใจโล่งอก “เออ ไม่เป็นไรมากก็ดีแล้ว ล้างหน้าล้างตา หาน้ำกินเยอะๆ ฉี่บ่อยๆ เดี๋ยวร่างกายก็ขับออกมาเองแหละ”
ตอนนี้ปราณยิ่งแน่ใจกับเรื่องที่สอง คือสีของการตัดสินใจฆ่าตัวตาย และม่านออร่าของสีที่กระจายอยู่เต็มม่านตาตอนนี้ไม่ได้มาจากตัวเขาเอง!
“เสียใจด้วยเรื่องพ่อแม่กับครีม ขอโทษที่กูไม่ได้ไปงานศพ เอ้า นี่ กูเอาหนังสือเคโงะกับการ์ตูนที่ยืมไปมาคืน ห้าเล่มครบนะ ขอบคุณมาก ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย ไปละ รีบ” พอร์ชพูดเสียงเรียบๆ ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะเดินออกไป นั่นยิ่งทำให้ปราณมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นว่า รัศมีของหมอกสีมรณะเข้มข้นวนเวียนวูบวาบอยู่รอบตัวพอร์ช หนาแน่นจนแทบมองเข้าไปไม่เห็น
ชายหนุ่มรีบผวาคว้าข้อมือเพื่อนรุ่นพี่เอาไว้แน่นจนตัวไหลเลื่อนตกลงมาจากโซฟา หลังกระแทกพื้นดังอั้ก!
“เฮ้ย!” พอร์ชอุทานดังลั่น “เป็นบ้าอะไรวะเนี่ย”
แม้แต่เดิมเป็นคนแข็งแรง เล่นกีฬาสม่ำเสมอ กระทั่งเป็นนักกีฬาแบดมินตันของโรงเรียน แต่แรงตกกระแทกอัดพื้นก็ทำให้ปราณจุกแน่นจนสำลักไอออกมาชุดหนึ่ง “อย่าเพิ่งไป เดี๋ยว อยู่เป็นเพื่อนผมก่อน”
48 ชั่วโมง…
ปราณจำได้ บทความ งานวิจัย หรือไม่ก็ผ่านปากพ่อกับแม่นี่แหละ
พ่อเคยเป็นอาสาสมัครรับโทรศัพท์ให้คำปรึกษาผู้ที่ประสบปัญหาชีวิต ต้องการใครสักคนรับฟัง
ความคิดของคนที่ตัดสินใจฆ่าตัวตายหากไม่ได้มาจากอาการป่วยทางจิตประสาท หรืออยู่ภายใต้ฤทธิ์ของสารเสพติดมักจะเป็นความคิดชั่ววูบที่มักผ่านเข้ามาในช่วงที่ประสบภาวะเครียด มีเรื่องสะเทือนใจ หรือประสบปัญหาที่แก้ไม่ได้ หากหน่วงเวลาไว้ได้เกิน 48 ชั่วโมง ส่วนใหญ่แล้วความเข้มข้นของความคิดอยากฆ่าตัวตายจะค่อยๆ จางลง จนล้มเลิกไปในที่สุด
ระหว่างนั้นควรต้องให้คนที่กำลังมีความคิดเช่นนี้อยู่ในความดูแลอย่างใกล้ชิดของเพื่อนสนิท คนรัก คนในครอบครัวที่เข้าใจ ช่วยพูดคุยหรือคิดหาทางแก้ไขปัญหาร่วมกัน เมื่อมีเวลาคิด พิจารณาโดยมีอารมณ์เป็นส่วนเกี่ยวข้องน้อยลงแล้ว ความเครียด ความกดดันลดลงแล้ว เห็นทางออกของปัญหา ความคิดอยากฆ่าตัวตายก็จะค่อยๆ หายไป มีกำลังใจที่จะอยู่ต่อมากขึ้น
บ้าบอฉิบหาย! ปราณสบถในใจเบาๆ เมื่อนึกว่า ครู่ใหญ่ก่อนหน้านี้ เป็นเขาเองต่างหาก ที่กำลังหาวิธีคิดฆ่าตัวตายอยู่ก่อน แล้วอยู่ดีๆ ก็มีอีกคนโผล่มา อยากฆ่าตัวตายด้วย อยากฆ่าตัวตายกว่าขึ้นมา ความรู้สึกที่จะเอาจริงเอาจังกับธุระตัวเองเป็นอันต้องชะงักลงอย่างน่าหงุดหงิด
“เออ เอาตรงๆ นะปราณ กูรู้ว่ามึงเครียด ทุกข์ เศร้า เหงา อะไรทั้งหลายทั้งปวงอะ เรื่องครอบครัวมึงกูเห็นใจ เป็นกูกูก็อาจจะแย่เหมือนกัน แต่คือ…” พอร์ชนั่งขมวดคิ้วยุ่ง ทำหน้าเซ็งเต็มที่
“คืองี้ กูก็มีเรื่องไม่สบายใจเหมือนกัน มากด้วย ตอนนี้ไม่สะดวกจะอยู่เป็นเพื่อนมึง นี่ก็…” เขายกมือถือตัวเองขึ้นดูเวลา “ดึกแล้วด้วย ต้องรีบไปละ”
“จะรีบไปไหนเวลานี้ล่ะ” ปราณถาม “อย่าบอกว่าจะกลับบ้าน ผมรู้ว่าพี่ตั้งใจจะไม่กลับบ้านคืนนี้ จริงไหม”
ชายหนุ่มรูปร่างบอบบางชะงักนิ่ง ค่อยๆ หันมาสบตาปราณช้าๆ “เออ มึงเก่ง เดาถูก แต่กูจะไปไหนมันก็เรื่องของกู ไม่เกี่ยวกับมึง จริงไหม”
พอรู้สึกว่าขาดเหตุผลที่จะรั้งเอาไว้ได้ พยายามคิดหากลวิธีพูดแต่ก็นึกไม่ทัน ปราณเลยโพล่งออกมาดื้อๆ “งั้น พี่พอร์ช สัญญากับผมก่อนสิ ว่าออกไปแล้วจะไม่ไปฆ่าตัวตาย”
ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งเบิกตากว้างเท่าที่ตาเล็กๆ ของเขาจะทำได้ ประหลาดใจ “เดี๋ยวนะ นั่น…มึงพูดอะไร”
หลังจากที่ปราณลุกไปอ้วกอีกรอบ และอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว สองหนุ่มชวนกันเล่นเกมใหม่ที่ห้องนั่งเล่น
พอร์ชดูผ่อนคลายมากขึ้น แต่กระนั้นรัศมีแสงสีประหลาดก็ยังไม่ลดลง
“กูตั้งใจว่าจะเดินเอาของที่ยืมเพื่อนๆ มาไปคืนให้หมด พวกบ้านใกล้ๆ กว่าก็เอาหย่อนตู้ไปรษณีย์บ้าง แขวนหน้าบ้านบ้าง มาถึงบ้านมึงเป็นคนสุดท้ายพอดี ก็มาเจอคนนั่งจมกองอ้วกอยู่”
ปราณยิ้มปลงๆ “เออ ถ้ารู้ว่าผมกินเพราะอะไร พี่อาจจะขำก็ได้นะ ตลกชิบหาย”
หลังจากนั้น เมื่อทั้งสองได้รับรู้ว่า ต่างฝ่ายต่างก็กำลังคิดจะฆ่าตัวตายอยู่ก่อนที่จะเจอกันที่หน้าบ้าน เรื่องเครียดกลายเป็นเรื่องตลกร้ายกาจ ทั้งคู่ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างหนัก
“เชี่ย! จังหวะนรกจริงๆ” พอร์ชพูดออกมาเป็นประโยคทั้งที่ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ นั่นเป็นคำสบถแรกและหลังจากนั้นก็เหมือนกับว่า ปราณไปเปิดประตูลับอะไรเข้า พอร์ชร้องไห้สะอึกสะอื้น คำสบถหยาบคายต่อๆ มาก็พรั่งพรูตามกันออกมา
“มึงไม่รู้หรอกว่าเด็กดีอย่างกู ต้องแลกมากับอะไรบ้าง”
พอร์ชเล่าว่า ครอบครัวของเขา ทั้งพ่อ แม่ และญาติฝ่ายพ่อที่ทำงานในสายการแพทย์เกือบทั้งหมด วางแผนชีวิตเขามาตั้งแต่เกิด ‘น้องพอร์ช’ คือว่าที่นายแพทย์หนุ่มอนาคตไกล จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ เขาต้องเรียนหนักกว่าเด็กคนอื่นๆ ต้องถูกเคี่ยวเข็ญให้ทำแบบฝึกหัดและข้อสอบเตรียมสอบเข้าตั้งแต่อนุบาล ประถม ม.ต้น ม.ปลาย เวลาที่ใกล้ถึงวันเกิดหรือคริสต์มาส ต้องสอบได้คะแนนเต็มเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับของขวัญ ตัวแทนความรักจากพ่อแม่ที่เด็กทุกคนสมควรจะได้มันอย่างไม่มีเงื่อนไข
“มึงรู้ไหม กูโคตรเกลียดวันเกิดตัวเอง เกลียดคริสต์มาส เพราะคนรอบข้างมีแต่คนคอยถามว่าสอบได้เกรดอะไร โปรเจกต์วิทย์เป็นยังไงบ้าง จนกูเลิกอยากได้ของขวัญ มีอยู่ปีนึง กูต้องเอาโปรเจกต์วิทย์พรีเซนต์ต่อหน้าญาติทุกคนในวันเชงเม้ง โดยมีพ่อกับอาๆ กูคอยจับผิด”
พอร์ชพูดขณะใช้ปืนกลเล็งยิงซอมบี้ในจอที่ดาหน้ากันเข้ามาร่วงผล็อยเป็นใบไม้ร่วง
“กูชอบวาดการ์ตูน มึงรู้ปะ กูวาดเป็นสิบๆ เล่ม อยู่ในห้อง กูอยากเป็นนักวาดการ์ตูน กูคิดว่าถ้ากูทำให้เก่งๆ ให้ทุกคนยอมรับ มีผลงาน มีโล่ มีถ้วยมาอวด พ่อแม่กูจะยอมฟัง กูส่งการ์ตูนเข้าประกวดงานคอมมิกส์ประจำปี กูชนะเลิศ กูเก่งไง ได้โล่ด้วยมึง”
ตอนที่เล่าถึงเรื่องนี้ดูเหมือนสีรอบตัวพอร์ชเปลี่ยนไป สว่างไสว เป็นสีเขียวอมฟ้าสดชื่น และมีประกายสีทองแห่งความหวังความภูมิใจวิบวับเขากดพอสเกมแล้ววางจอยปืนลง
เพื่อนหนุ่มขยับแว่นตา หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเปิดอัลบั้มภาพ แล้วส่งให้ปราณดู กระจกหน้าจอมือถือแตกร้าวเป็นรอยคล้ายใยแมงมุม แวบหนึ่งดวงตาเขาดูแช่มชื่นมีชีวิตชีวาขึ้น เมื่อพูดถึงสิ่งที่อยู่ในภาพนั้น “นี่ไง โล่รางวัลกับใบเกียรติบัตรกู สำนักพิมพ์เขาบอกว่าสนใจงานกูด้วยนะมึง แต่ต้องปรับหน่อย ให้เข้าออฟฟิศมาคุยงานสัปดาห์ละสองวัน เสาร์อาทิตย์ก็ได้ กูดีใจมาก เลยไปบอกพ่อแม่ เอาโล่ไปอวด แล้วก็บอกไปตามตรง ว่ากูไม่อยากเรียนหมอแล้ว กูอยากเขียนการ์ตูน และกูทำได้จริงด้วย”
ความเงียบแทรกกลางระหว่างบทสนทนาครู่หนึ่ง ภาพในจอทีวียังเป็นซอมบี้ตัวหนึ่งอ้าปากค้าง กำลังวิ่งตรงเข้ามา เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผิวหนังซีดเขียว มีแต่รอยแผลเปื่อยยุ่ย ดวงตาไร้แววลึกโบ๋
เจ้าของบ้านหันไปมองหน้าเพื่อนรุ่นพี่ รอคอยคำตอบ
พอร์ชขยับริมฝีปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจ ถอนหายใจหนักๆ ทีหนึ่ง แล้วเสยผมด้านซ้าย เปิดให้เห็นรอยแผลเป็นเย็บเป็นทางยาวที่ยังแดงบวมและมีรอยห้อเลือดช้ำดำเป็นจุดๆ
“กูแอบไปซื้อเกมมาเพียบ อยู่ในบ้าน เล่นเกมอยู่ในบ้าน พ่อกูทำงานไม่ค่อยเป็นเวลาอยู่แล้ว เลิกงานบางทีก็อยู่เวร แม่ก็เอาแต่วุ่นวายอยู่กับความเรียบร้อยในบ้าน ไม่ค่อยมีใครสนใจกูหรอก นอกจากช่วงใกล้สอบ”
ปราณพยักหน้า “อืม” และเข้าใจดีเมื่อกลิ่นกำมะถันโชยมาอีก “ถูกจับได้สินะ”
“ผลสอบกูไง ที่ออกวันนี้ มึงเดาได้ไหมล่ะ” พอร์ชหันหน้ามาถาม
“กูตั้งใจทำมากเลยนะมึง ตั้งใจทำให้ผิดหมด ตั้งใจขาดสอบปฏิบัติ คะแนนโคตรเพอร์เฟกต์ ศูนย์ทุกวิชา สัด! ยากนะมึง ต้องระวังไม่ให้มีข้อไหนถูกเลย” ชายหนุ่มร่างบอบบางพูดพลางหัวเราะสะใจ แต่แล้วน้ำตาก็รินลงหางตา
“อาจารย์เรียกคุยหลายคน แต่กูไม่ไป ทีแรกพ่อกะแม่กูคิดว่าอาจจะผิดพลาดที่การประเมินผล รีบโทรหาอาจารย์ที่ภาค แต่พอรู้ว่ากูจงใจทำเอง พ่อกูโมโหมาก จะเข้ามากระทืบกู แม่กูเลยห้ามไว้ โดนพ่อสะบัดกระเด็นหัวกระแทกพื้นแล้วซึมไป พ่อรีบพาแม่ไปโรงพยาบาล ส่วนกู โดนพวกญาติขี้เสือกกักตัวไว้ รุมด่าจนหนีเข้าห้องก็ยังตะโกนด่า กูเบื่อที่จะทนกับทุกอย่างพวกนี้แล้ว ถ้าชาตินี้กูไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตตัวเอง กูก็จะสละสิทธิ์ กูจะลาออกจากชีวิตที่กูไม่มีสิทธิ์คิด ฝัน รู้สึก หรือเลือกอะไรได้เอง”
ปราณมองโทรศัพท์มือถือที่รุ่นพี่ถือค้างไว้ บนหน้าจอยังแสดงภาพโล่รางวัล ในองศาของมุมเอียงที่ปราณเห็น ภาพของโล่รางวัลถูกกระจกแตกร้าวหักเหแสงจนดูเหมือนตัวโล่เองก็แตกหักบิดเบี้ยวผิดสัดส่วนไปด้วย
“เออ แต่แปลกดี ตอนที่มึงขอให้กูอยู่เป็นเพื่อน พอกูรู้ว่ามึงก็กำลังจะฆ่าตัวตาย มันทำให้กูรู้สึกว่า กูยังอยากอยู่อีกสักแป๊บ อย่างน้อยก็รอส่งมึงถ้ามึงไม่เปลี่ยนใจ เพราะมึงเป็นเพื่อนไม่กี่คนในชีวิตหรอก ที่คุยกับกูโดยไม่ต้องการให้กูช่วยอะไร ไม่ขออนุญาตนะ กูจะอยู่เล่นเกม แดกของในตู้เย็นมึงไปก่อน ถ้าไม่ว่าอะไร เพราะกูคงไม่กลับบ้านตอนนี้”
ชายหนุ่มที่ยังอยู่ในชุดนักศึกษาค่อยๆ เอนร่างเหยียดนอนบนโซฟาอีกตัว เอาขาพาดกับที่วางแขน หยิบจอยปืนเกมมากดเล่นต่อ เสียงอสุรกายในร่างคนคำรามดังลั่น พร้อมเสียงปืนดังต่อเนื่องกระหึ่มลำโพง
“พี่พอร์ช” ปราณพยายามตะเบ็งเสียงเรียกแข่งกับเสียงเกม
พอร์ชยังกระชับปืนจอยมั่น เล็งไปที่หน้าจอ คิ้วขมวดเข้าหากันขณะกราดยิง ชำเลืองตามองลอดแว่นแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า “ว่า?”
ชายหนุ่มดวงตาอบอุ่นเจ้าของบ้านหลังใหญ่ที่แสนโดดเดี่ยวตะเบ็งต่อ “ผมอยากอ่านการ์ตูนที่พี่เขียน การ์ตูนผลงานของพี่”
สองมือบอบบางขาวซีดอย่างคนไม่ค่อยออกแดดยังทำหน้าที่สังหารซอมบี้ไม่ลดละ ไม่ได้พูดตอบ แต่ปราณเห็นมุมปากของชายหนุ่มรุ่นพี่วาดรอยยิ้มขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วสีแดงก่ำอมเขียวคล้ำที่น่ากลัวนั่นก็จางลงเล็กน้อย