ชมรมคนอยากตาย บทที่ 4 : ราวกับคนหลายคน
โดย : นทธี ศศิวิมล
ชมรมคนอยากตาย นวนิยายเนื้อหาฮีลใจที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ โดย นทธี ศศิวิมล เรื่องราวของชายหนุ่มที่สามารถมองเห็นสีออร่าของคนที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เขาจึงตัดสินใจทำบ้านให้กลายเป็นสถานที่ปลอดภัยสุดท้ายของเหล่าผู้ที่อยากตาย ที่นี่คือพื้นที่ให้ทุกคนได้มาเยียวยากันและกันจนได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์พร้อมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต
เมื่อยึดบ้านปราณเป็นที่ลี้ภัยแล้ว วันรุ่งขึ้น พอร์ชผู้ใช้โซฟาเป็นที่นอนชั่วคราวก็ยังคงตื่นแต่เช้าตามนิสัย ซ้ำยังลุกขึ้นมาเข้าครัว หาขนมปังผัก ไข่ มาทอดแล้วทำแซนด์วิชเผื่อเจ้าของบ้าน
ชายหนุ่มเจ้าของบ้านตื่นลงมาก็ประหลาดใจ “นี่ผมนึกว่าพี่เป็นลูกคุณหนู มีแม่บ้าน มีคนทำงานบ้านแทนมาทั้งชีวิต จริงๆ แล้วพี่ออกมาจากละครคุณแม่บ้านยอดรักใช่ไหม”
ปราณยิ้มเย้า พอใจที่เห็นรัศมีของการฆ่าตัวตายที่มองเห็นจากพอร์ชจางลงอีก
พอร์ชจิ๊ปากไม่พอใจ ถอดแว่นตาออกเช็ดไอร้อนที่เกาะบนเลนส์แล้วใส่กลับเข้าไป ถอนหายใจฟึดฟัด ยิ่งทำท่าประดักประเดิดมากขึ้นเมื่อปราณยื่นเสื้อผ้าชุดใหม่ให้เปลี่ยน
“สัด! ถ้าไม่ใช่มึงกูโดดถีบยอดอกให้แล้ว เอาจริงกูอาจจะพอใจเป็นแม่บ้านให้ใครสักคน แต่ก็ไม่ใช่มึง! รีบกินแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าออกไปเรียนได้ละ เออ ก่อนไปช่วยเดินผ่านหน้าบ้านกูหน่อย เช้าๆ แบบนี้แม่กูต้องมารดน้ำต้นไม้ หรือไม่ก็นั่งกินน้ำเต้าหู้อยู่ม้านั่งหน้าบ้าน มึงไม่ต้องเข้าไปถามหรือชวนพูดคุยอะไร มือถือกูหักซิมทิ้งแล้วน่าจะตามยากขึ้น เพราะมึงกับกูก็ไม่ได้คบหาสนิทสนมกันเหมือนตอนเด็กๆ ห่างไปนานมากแล้ว คงไม่มีใครสงสัย”
“เอ้า” ปราณอุทาน “เฮ้ย แต่ผมไม่ได้อยากไปไหน พี่ก็รู้ว่าผม…”
“กูรู้…ว่ามึงไม่อยากออกบ้าน” พอร์ชเสียงอ่อนลงนิดหนึ่ง “เอาว่ากูขอละกัน กูเป็นห่วงแม่ แต่คงโทรไปไม่ได้ มึงช่วยเนียนสืบข่าวแม่ให้กูหน่อย แต่อย่าให้ใครสงสัยนะ ระหว่างที่อยู่บ้านมึง กูจะช่วยคิดวิธีฆ่าตัวตายดีๆ ให้มึงด้วย ว่าจะทำตารางเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียให้เลย แล้วก็หาข้อมูลปฏิกิริยาร่างกายต่อการถูกทำร้ายในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งยาระงับความรู้สึกหรือระงับความเจ็บปวด เทียบกับน้ำหนักตัวมึงมึงไม่ต้องห่วง กูติวหมอมาตั้งแต่เกิด รับรองแม่นเป๊ะ กี่นาทีสลบ กี่นาทีสมองตาย หรือตายแบบฉับพลัน กูไม่น่าพลาด”
“โห พี่…” ปราณยืนฟังคนตรงหน้าที่ยังอยู่ในชุดเมื่อวานพูดยาวรัวติดกันอย่างตกตะลึง “ผมยังไม่ได้คิด…”
“เออ ใช่ไง มึงมันพวกเอาอารมณ์นำ ไม่คิดวิเคราะห์ห่าเหวอะไรหรอก กูเลยจะคิดแทนให้ มึงรีบกินรีบไปเรียนได้แล้ว กูจะรีบไปอาบน้ำสักที เมื่อคืนนอนเหม็นกลิ่นอ้วกมึงติดชายเสื้อกูทั้งคืนแทบไม่ได้นอนเลย” ว่าแล้วก็คว้าเสื้อผ้าจากมือปราณเดินเข้าห้องน้ำไป
ทั้งที่ไม่อยากออกไปไหนสุดๆ แต่ปราณก็ยอมแต่งชุดนักศึกษาสะพายกระเป๋าเดินออกมาจากบ้านจนได้ เขาถอนหายใจยาวก่อนเลี้ยวขวาออกไปทางปากซอย ห่างออกไปราวหกหลังซึ่งเป็นบ้านพอร์ช
คุณแม่ของพอร์ชนั่งอยู่หน้าบ้านจริงตามคาดหมาย ปราณกวาดตาสำรวจไวๆ บนโต๊ะตรงหน้ามีแก้วกาแฟวางอยู่แก้วหนึ่งหญิงวัยกลางคนถือช้อนกาแฟค้างอยู่ นั่งนิ่งเหม่อลอยทอดสายตาออกไปข้างหน้า สีหน้าและสีออร่าจากใบหน้าของเธอเป็นไปในทางเดียวกัน คือสีเขียวอมเหลือง ที่บ่งบอกถึงความวิตกกังวล กระวนกระวายใจอย่างยิ่ง ที่จอดรถของบ้านพอร์ชว่างเปล่า แสดงว่าคุณพ่อของของเขาชออกไปทำงานที่โรงพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
ปราณกำลังจะเดินพ้นเขตรั้วบ้านของพอร์ชแต่ก็ถูกเรียกตัวไว้เสียก่อน “ปราณ นั่นปราณใช่ไหมลูก”
ชายหนุ่มชะงัก ก่อนหันกลับไป รีบยกมือไหว้ “สวัสดีครับคุณป้า”
ใช่เพียงแต่สีออร่า แม้ในแววตาและรอยยิ้มก็ยังเผยร่องรอยกังวล ที่ศีรษะของหญิงกลางคนมีรอยช้ำปูดสีแดงอมม่วงอยู่ตรงหน้าผาก “พักหลังไม่ได้เห็นหน้าเห็นตากันเลยนะปราณ เหมือนไม่กี่วันที่แล้วยังมานั่งเล่นกับพอร์ชที่บ้านป้าอยู่เลย ดูสิ แป๊บเดียวโตเป็นหนุ่มแล้ว”
ปราณพยักหน้า “ครับคุณป้า ผมก็ไม่ได้แวะมาเลยจริงๆ คุณป้าสบายดีนะครับ”
หญิงกลางคนพยักหน้า “ตามสภาพคนแก่ โรคนั่นนิดนี่หน่อย ว่าแต่ ปราณโอเคแล้วหรือยัง แล้วนี่อยู่บ้านคนเดียวไหวเหรอลูก มาพักบ้านป้าก่อนไหม บ้านหลังใหญ่โต ห้องมีตั้งเยอะแยะ”
ชายหนุ่มยกมือไหว้อย่างนุ่มนวล “ไม่เป็นไรครับคุณป้า ผมดีขึ้นแล้ว ตอนนี้ก็มีเพื่อนอยู่ด้วยครับ” ปราณไม่ได้โกหกสักคำเดียว เพียงแต่ไม่ได้บอกทั้งหมด อย่างไรก็ตามเขารู้ดีว่าคุณป้าจะไม่สงสัย เพราะเขากับพอร์ชก็ไม่ได้คลุกคลีกันมานาน ตั้งแต่ตอนที่พอร์ชสอบติดหมอ
“ว่าแต่ที่หน้าผากคุณป้า” ปราณยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองเพื่อบอกตำแหน่ง “โดนอะไรมาเหรอครับ เจ็บอยู่ไหมครับ”
คุณแม่ของพอร์ชยกมือขึ้นแตะหน้าผากตัวเองลูบรอยปูดนูนนั้นเบาๆ ถอนหายใจยาวด้วยสีหน้าหนักใจ “ไม่มีอะไรหรอก อุบัติเหตุน่ะ ป้าไม่เป็นไรแล้วจ้ะ ก็แค่หัวโนเท่านั้น เป็นห่วงก็แต่พอร์ชมันนั่นแหละ ทะเลาะกับพ่อแล้วก็เดินออกจากบ้านไปเลย ไม่ได้บอกใครว่าจะไปไหน ป้าโทรหาก็ไม่รับสายเลย ปราณได้คุยกับพอร์ชบ้างไหมลูก”
ปราณสุดแสนจะอึดอัดใจเพราะไม่อยากจะโกหกใคร “เมื่อก่อนคุยกันอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ได้คุยกันเลยครับ” เอาน่า เขาคิด สิบนาทีที่แล้วคือเมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ก็คือตอนนี้ไงล่ะ ยังไม่ได้โกหกสักหน่อย
คุณป้าพยักหน้าทำท่าว่าเข้าใจแล้วก็ถอนหายใจอีก “โอเค ป้าไม่กวนหนูละปราณ จะไปเรียนใช่ไหม ตามสบายเลยลูก”
ปราณไม่ได้ตอบต่อว่าตอนนี้เขาพักการเรียนชั่วคราว แต่เลือกที่จะยกมือไหว้ลาแล้วเดินหลบฉากออกไป
ดีเหมือนกันที่ได้ออกมา ปราณคิดพลางสูดหายใจ หลายวันมานี้เขาไม่ได้ก้าวออกจากบ้านเลย กินแต่ของเก่าเก็บจากในตู้เย็นเพียงเพื่อให้บรรเทาหิวไปวันๆ และสิ้นไร้แรงบันดาลใจจะไปไหนต่อ
ไหนๆ ก็ไหนๆ ปราณเลยถือโอกาสเดินไกลออกไปอีกนิด เช้าๆ แดดไม่แรง อากาศก็กำลังดี เขาเดินห่างจากบ้านตัวเองไปหลายซอย มองดูผู้คนที่เดินสวนไปมา บางคนเร่งรีบไปทำงาน บ้างไปส่งลูก นักเรียนนักศึกษาเดินมารอรถที่ป้ายรถเมล์
ปราณเหลือบไปเห็นป้ายร้านสะดวกซื้อเปิดใหม่ อยู่ที่แยกตรงข้าม เขาจึงลองเดินข้ามถนนไปดู
ร้านเปิดสาขาใหม่ กว้างขวางหลายคูหา สะอาดสะอ้านเรียบร้อย มีของให้เลือกหลากหลายกว่าสาขาอื่น และยังมีขนมอบใหม่วางเรียงรายชวนรับประทาน คนในร้านช่วงนี้ยังค่อนข้างจอแจ เพราะเป็นช่วงเช้าที่คนทำงานและหนุ่มสาวอาจจะออกมาตามหาเสบียงตุนไว้ระหว่างวัน
ชายหนุ่มเลือกเดินเข้าไปด้านในสุดที่เป็นตู้เครื่องดื่มเรียงอยู่ในตู้แช่เย็น ไล่สายตาดูความเป็นระเบียบเรียบร้อยเป๊ะเหล่านั้นอย่างทึ่งๆ เมื่อไม่ได้มีอะไรให้รีบร้อนไปไหน เขาก็มีเวลาอ้อยอิ่งทอดน่องได้ทั้งวันอยู่แล้ว
“เวย์เชครสใหม่อร่อยนะคะ รสคาราเมล” พนักงานหญิงที่จัดตู้นมอยู่ใกล้ๆ พูดขึ้น “เห็นยืนเลือกอยู่พักใหญ่แล้ว” เธอยื่นหน้าพ้นประตูกระจกแล้วยิ้มให้
ลักยิ้มที่แก้มของเธอทำให้หัวใจปราณเต้นโครมครามขึ้นมาทันที “พลอย!”
ใบหน้าหวาน ดวงตากลมโตเป็นประกายยื่นขวดเครื่องดื่มให้ปราณ “อร่อย เชื่อเรา อย่างปราณเติมเวย์อัปกล้ามเนื้ออีกนิด เพอร์เฟ็กต์เลย”
ปราณไม่อาจซ่อนรอยยิ้มได้ไหว เมื่อเห็นสิ่งสวยงามน่ารักที่เขาหลงใหลจ้องมองเขาในระยะประชิดเช่นนี้ ออร่าสีจากใบหน้าของเธอเป็นสีส้มทองแสดงความตื่นเต้นและสดใสร่าเริง “ทำไม พลอยชอบคนมีกล้ามเหรอ”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ “ไม่มีก็ชอบได้ แต่ถ้ามีสักหน่อยก็ดูแข็งแรงดีนะ”
ปราณลงเอยด้วยการซื้อนมเวย์เชครสคาราเมลมาหมดทั้งชั้น หกขวด และหยิบรสช็อกโกแลตมาด้วยอีกสองขวด นั่งดื่มรอพลอยเลิกงาน จริงๆ วันนี้เธอต้องออกกะดึกตั้งแต่หกโมงเช้าแล้ว แต่เพื่อนกะเช้ายังไม่มาเลยต้องยืนแทนเพื่อนไปก่อน
“ซื้อไปทำไมเยอะแยะ” หญิงสาวพูดกลั้วหัวเราะเมื่อเห็นปราณอัดขวดนมเจ็ดขวดลงในกระเป๋าสะพายข้างจนแน่น “กินหมดนั่นทีเดียวกล้ามก็ยังไม่ขึ้นหรอกนะปราณ”
ชายหนุ่มยิ้ม “ซื้อไปเผื่อพี่ที่บ้านด้วยน่ะ”
“ว้า…” พลอยอมยิ้ม “นึกว่าซื้อเพราะอยากเอาใจเราซะอีก”
ปราณหัวเราะแก้เก้อ เพราะเขาก็ซื้อด้วยเหตุผลนั้นจริงๆ
“ปราณโอเคแล้วใช่ไหม ทีแรกเราเป็นห่วงปราณมากเลย แต่ไม่กล้าทักไป”
“เราโอเค” มั้ง ปราณต่อในใจ
“ว่าแต่ บ้านปราณอยู่แถวนี้เหรอ ทำไมเราไม่เคยเห็นเลย”
เมื่อรู้ว่าอยู่ซอยไหนพลอยก็หัวเราะ “ร้านปากซอยก็มีไม่ใช่เหรอ”
ปราณยิ้ม “ถ้าไม่เดินมาถึงนี่ วันนี้ก็คงไม่ได้เจอพลอยน่ะสิ”
หญิงสาวพยักหน้า แต่แล้วจู่ๆ สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป ดูเคร่งเครียดมากขึ้น สีออร่าบอกอารมณ์จากสีโทนสดใส กลายเป็นสีเขียวแก่ ที่อาจหมายถึงความรู้สึกรังเกียจ กลัว หรือขยะแขยง
“พลอยเป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วงและตื่นตระหนก ทบทวนในหัวอย่างลุกลนว่าได้พูดคำไหนผิดแปลกไปที่อาจทำให้เธอไม่พอใจหรือไม่
“พลอยต้องกลับบ้านแล้ว” ไม่ใช่แค่สีหน้า ทว่าท่าทางและน้ำเสียงของเธอก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“เราขอโทษที่รบกวนพลอย บ้านพลอยอยู่แถวนี้หรือเปล่า ให้เดินไปส่งไหม” ปราณปรับน้ำเสียงให้สุภาพที่สุดเผื่อว่าเธอจะสบายใจขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล
“ไม่ต้อง พลอยกลับเองได้” เธอพูดแล้วหันตัวเดินหนีออกไปอีกทาง
ปล่อยให้ปราณยืนหน้าชาอยู่ที่เดิมด้วยความไม่เข้าใจ
ออร่าสีจากสีหน้าของผู้คนที่ปราณเคยเห็นมานั้น ส่วนใหญ่มักจะมีสีหลักๆ เพียงสีเดียวหรือสองสี ขึ้นอยู่กับความคิดและสภาพอารมณ์หลัก สีที่เหลืออาจจะเหลื่อมแทรกมาให้เห็นได้บ้าง แต่เป็นเพียงการแซมเข้ามาในสัดส่วนที่น้อยกว่า และสีนั้นๆ ก็มักจะคงอยู่สักพัก ก่อนเปลี่ยนเป็นสีอื่น ในบางคนที่อารมณ์มั่นคง ออร่าอาจมีเพียงหนึ่งถึงสองสีได้เกือบตลอดทั้งวัน
ปราณจึงอดประหลาดใจไม่ได้เมื่อพบกรณีแบบพลอย ที่สีออร่าที่เห็นเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงราวกับคนละคนในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ชายหนุ่มเอาแต่ครุ่นคิด อันที่จริงการรับรู้นี้ของปราณก็เหมือนกับการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสอื่นๆ มันก็อาจจะมีผิด มีเพี้ยน พลาดกันได้บ้างละมั้ง
พักหลังบางวัน สีที่เปลี่ยนไปมาอย่างสอดคล้องกับสีหน้าท่าทางของเธอก็เริ่มลดเวลาลงและพลอยมีช่วงเวลาที่พลังงานสีดูมีความสม่ำเสมอมากขึ้น
เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่เครื่องวัดทางวิทยาศาสตร์ที่มีการแปลผลเที่ยงตรงแม่นยำแต่อย่างใด เป็นเพียงการรับข้อมูลผ่านการตีความของสมองก่อนที่จะแปลผล โดยเจือไปด้วยความรู้ ประสบการณ์ ทัศนคติ และรสนิยมของเจ้าของร่างกาย มันจึงเปี่ยมไปด้วยอคติ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ทว่าสิ่งที่เขาไม่เคยแปลกใจคือความรู้สึกวาบวูบในอกที่เกิดขึ้นทุกครั้งที่เจอพลอย ปราณชอบพลอย ชอบมานานและไม่เคยเปลี่ยน
แม้ก่อนหน้านี้พลอยจะดูไม่ได้ใส่ใจอะไรเขา แต่หลังจากที่ได้เริ่มพูดคุยกันวันนั้น และความขยันของปราณที่รีบตื่นก่อนหกโมงทุกเช้าเพื่อไปซื้อเวย์เชครสคาราเมล และรอเธอออกกะดึกก็เริ่มเป็นผล
ได้พูดคุยกันอย่างถูกคอมากขึ้น สายตาของเธอที่แม้จะสบตาบ้าง หลบวูบบ้าง แต่แสงสีส้มอมชมพูที่บ่งบอกถึงความตื่นเต้นอันอ่อนหวานไม่อาจตีความเป็นอื่นได้นอกจากพลอยเองก็คงรู้สึกไม่ต่างไปจากเขา
เป็นความแช่มชื่นแรกๆ หลังจากความสูญเสียครั้งใหญ่ ที่ปราณอยากกอบประคองเอาไว้แนบใจ เขาไม่ทันสังเกตตัวเองด้วยซ้ำว่าเผลอยิ้มและหัวเราะคนเดียวบ่อยครั้ง จนพอร์ชสังเกตได้
แรกๆ ก็แปลกใจที่ปราณเสนอตัวรับฝากซื้อของในร้านสะดวกซื้อบ่อยๆ แถมยังเลือกไปร้านที่สาขาอยู่ไกลปากซอยไปอีกหลายป้าย แต่พอประกอบกับอาการเหม่อบ่อย ยิ้มคนเดียวก็พอเดาได้
พอร์ชชำเลืองมองแล้วยิ้มขำๆ เมื่อเห็นปราณเดินมาเปิดตู้เย็นแล้วไม่ได้หยิบอะไรติดมือออกไปเป็นครั้งที่สี่ภายในนาทีเดียว
‘หญิงชัวร์’ พอร์ชคิดในใจ