ชมรมคนอยากตาย บทที่ 5 : เหลื่อมรุ้ง

ชมรมคนอยากตาย บทที่ 5 : เหลื่อมรุ้ง

โดย : นทธี ศศิวิมล

Loading

ชมรมคนอยากตาย นวนิยายเนื้อหาฮีลใจที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ โดย นทธี ศศิวิมล เรื่องราวของชายหนุ่มที่สามารถมองเห็นสีออร่าของคนที่มีความคิดฆ่าตัวตาย เขาจึงตัดสินใจทำบ้านให้กลายเป็นสถานที่ปลอดภัยสุดท้ายของเหล่าผู้ที่อยากตาย ที่นี่คือพื้นที่ให้ทุกคนได้มาเยียวยากันและกันจนได้ค้นพบสิ่งมหัศจรรย์พร้อมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของชีวิต

เช้าวันที่อากาศร้อนจัดวันหนึ่งเสียงออดที่ประตูหน้าบ้านดังขึ้นอย่างที่ไม่ได้ดังมานานมากแล้ว

ปราณเดินออกไปดู และเห็นหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูคุ้นตายืนยิ้มอยู่ ในมือมีกล่องกระดาษกล่องใหญ่ ที่ฝากล่องเปิดอยู่ ข้าวของในนั้นเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้สำนักงาน แฟ้มและหนังสือ

หญิงสาวผมดำสนิทเหยียดตรงแสกข้าง ติดกิ๊บเหนือหูเรียบร้อย ใบหน้าเล็กๆ เครื่องหน้าสมส่วนสะสวยเหมือนตุ๊กตาญี่ปุ่น ขนตางอนยาวดำขลับเป็นธรรมชาติรับกับคิ้วเข้มได้รูป ริมฝีปากแดงเรื่อดูสดชื่นด้วยลิปกลอสสีธรรมชาติ เธอสวมเสื้อยืดเข้ารูปแขนสั้นสีครีม ทับด้วยเสื้อเบลเซอร์ลำลองสีฟ้าน้ำทะเล กางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อนรองเท้าผ้าใบขาว ที่ด้านหลังเธอยังแบกเป้เดินทางใบโตมาด้วย

“พี่ปราณ ดิวเองค่ะ” หญิงสาวพูดเสียงสดใส จนเมื่อปราณนึกได้แล้วก็แอบรู้สึกผิดอยู่เล็กๆ

ดิวคือเพื่อนสนิทของครีม ตั้งแต่อนุบาลมาแล้ว เมื่อตอนเด็กๆ ดิวมักมาคลุกคลีอยู่ที่บ้านของเขา จนบางครั้งปราณรู้สึกเหมือนในบ้านมีน้องสาวสองคน ในขณะที่ครีมเป็นเด็กยืดหยุ่น ไม่ติดกรอบ มีชีวิตชีวา มีอารมณ์ขัน ดิวกลับดูเงียบ สุภาพ และดูสนใจความสมบูรณ์แบบมากกว่า ดิวเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ช่างสังเกต ช่างสงสัย และเป็นฝ่ายต้องปลอบใจครีมที่ร้องไห้งอแงง่ายอยู่เสมอเธอมักเก็บงำอารมณ์ของตัวเอง แต่ปราณก็สัมผัสได้ว่าดิวเป็นคนอ่อนโยนและมีความละเอียดอ่อน ออร่าสีของดิวมักจะกลมกลืนเข้ากับสมาชิกในครอบครัวของปราณ คือเป็นสีชมพูอ่อนหวาน อ่อนโยน เปี่ยมด้วยความจริงใจ

ครั้งหนึ่งเธอเคยเล่นสเกตกับดิวที่หน้าบ้าน ล้มลงคางฟาดเข้ากับขอบถนน ทำให้ริมคางของเธอมีรอยแผลเป็นเล็กๆ เธอไม่เคยพยายามปกปิดมัน นั่นเป็นอีกสิ่งที่ทำให้ปราณจำเธอได้เสมอ

ทว่าหลังขึ้น ม.ปลาย ดิวก็ย้ายบ้านไปอยู่อีกเขต จึงไปมาหาสู่กันไม่ค่อยสะดวกนัก แต่ปราณก็ได้รับรู้ว่าน้องสาวของเขายังติดต่อคบหากับเพื่อนคนนี้อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังเข้าปีหนึ่ง เนื่องจากบ้านดิวอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย ครีมจึงไปพักบ้านดิวอยู่บ่อยๆ แต่ดิวเองกลับไม่ได้มาที่บ้านนี้อีก

เวลาราวสี่ปีที่ไม่ได้พบกัน เด็กหญิงที่เคยจำได้เติบโตขึ้นกลายเป็นหญิงสาวสวยน่ารัก ความเป็นหญิงสาวสวยของดิวทำให้ปราณประหม่านิดๆ ดิวดูสุภาพ ดวงตาฉายแววเฉลียวฉลาดแบบเดียวกับที่เธอเคยเป็น แม้แต่ออร่าจากสีหน้าของเธอก็ยังเป็นสีชมพูอ่อนละมุนเช่นเคยทว่าเจือสีฟ้าอมเทาแห่งความเศร้ามาด้วย ปราณเห็นหน้าเธอแล้วรู้สึกวูบในใจแปลกๆ

“อ้อ ดิวเหรอ เข้ามาสิ ไม่เจอกันนานเลย”

หญิงสาวดันประตูเข้ามาพร้อมกล่องกระดาษใบใหญ่นั้นด้วยท่าทางคุ้นเคย เธอกวาดตามองไปรอบบริเวณบ้านสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกมาด้วยสีหน้าสบายใจ ทว่าน้ำเสียงน้ำเจือเศร้าหมอง

“บ้านหลังนี้ดูเหมือนเดิมแบบที่ดิวจำได้เลยนะคะ คิดถึงครีมจัง”

ปราณสะดุดกึก เย็นวาบไปทั่วสันหลัง เมื่อเห็นว่าออร่าสีของดิวไม่ได้มีแค่สีชมพูอ่อนโยนเจือสีฟ้าอมเทาอย่างที่คิด ออร่าสีของคนอื่นๆ จะแผ่ออกมารอบๆ คล้ายกลุ่มพลังงานไร้รูปร่าง แต่ของดิวเป็นรัศมีวงกลมสมบูรณ์อย่างคนที่กระแสความคิดและอารมณ์สม่ำเสมอ ครั้งนี้ขอบรัศมีวงกลมของดิวปรากฏเส้นสีบางเฉียบ คมชัดราวกับจะจับได้ด้วยมือเปล่า เส้นสีแดงช้ำผสมเขียวแก่ชวนขนลุกนั่น!

หญิงสาวยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นสีหน้าของปราณ เธอรู้เรื่องที่ปราณเป็นคนเห็นสีออร่ามาตั้งแต่ยังเล็กๆ จึงไม่แปลกใจนัก “พี่ปราณ เห็นสีอะไรแปลกๆ งั้นเหรอคะ”

ปราณรีบยิ้มกลบเกลื่อนส่ายหน้า “ดิวเข้ามาก่อนเถอะ แล้วไปไหนมานี่ แบกกระเป๋าใบเบ้อเริ่มเลย”

 

เมื่อเข้ามาพักในบ้าน ดิวจึงเริ่มเล่าว่าตั้งแต่เธอขึ้น ม.ปลาย แม่ของเธอก็ป่วยด้วยโรคมะเร็ง และรักษาตัวอยู่หลายปี จนเสียชีวิตไปเมื่อปีที่แล้ว ข้อมูลตรงนี้ปราณรู้ดีอยู่แล้วเพราะครีมก็พูดถึงดิวให้ฟังอยู่บ่อยๆ

“ก่อนแม่ดิวตาย แม่ขอรับการรักษาแบบประคับประคองที่บ้านของเราเอง โดยไม่รับคีโมหรือผ่าตัดอะไรอีก ทั้งดิวและพ่อก็เห็นด้วย เราจึงช่วยกันดูแลช่วงเวลาสุดท้ายของแม่ได้อย่างดีที่สุด แม่เองก็จะได้มีเวลาเตรียมการอะไรที่อยากสะสางหลายอย่าง และเตรียมการไว้ว่าหลังจากที่แม่ตายแล้ว พ่อกับดิวจะต้องทำอะไรอยู่กันยังไงบ้าง”

ปราณเข้าใจเรื่อง Palliative care พอสมควรจากที่แม่เคยอธิบายให้ฟัง และนึกชื่นชมที่ครอบครัวของดิวเข้มแข็งพอที่จะเลือกทำตามความปรารถนาของคนไข้ ชายหนุ่มมองริมฝีปากของดิวที่ขยับน้อยๆ อย่างสุภาพเป็นธรรมชาติ และรอยแผลเป็นที่ริมคางของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ

เขาอยากถามเหลือเกิน ถึงเส้นสีมรณะบางเฉียบที่วนรอบสีชมพูอ่อนโยนนั่น ที่แม้ขณะนี้ก็ยังปรากฏชัดเจนต่อหน้า คิดเหตุผลหน่วงเวลาให้เธออยู่ที่นี่ และคอยดูแลให้อยู่ในสายตาจนกว่าสีนั้นจะจางหายไป

หญิงสาวยกกล่องใบโตนั้นขึ้นมาวางบนโต๊ะด้วยท่าทางสงบ “หลังจากแม่ตาย ทั้งพ่อและดิวพังมาก แม้จะรู้ดีและทำใจกันมาก่อนแล้ว ดิวผ่านช่วงเวลาแย่ๆ พวกนั้นมาได้เพราะครีมค่ะ ครีมเข้ามาช่วยปลอบ ช่วยล้อเลียน ช่วยทำให้บ้านของดิวกลับมามีเสียงหัวเราะ ดิวเป็นหนี้บุญคุณครีมมาก ช่วงเทอมที่ผ่านมาเราเข้าชมรมถ่ายภาพ ดิวกับครีมถ่ายภาพมาเยอะมาก และเราก็หัดล้างรูป เลือกรูป ศึกษาการถ่ายรูปด้วยกัน ของในกล่องนี้คือของของครีมที่ขนมาไว้บ้านดิวค่ะ”

ปราณได้ยินแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบในใจอีกครั้ง เมื่อมองของเหล่านั้น

นั่นคือหลักฐานการเคยมีตัวตนอยู่จริงของน้องสาวที่เขารัก แต่เป็นในแง่มุมที่ปราณรู้ไม่มากนัก ครีมน้องสาวแสนสดใสของเขา แชร์ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตกับเพื่อนรักคนนี้นี่เอง

เขาเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพบกระแสสีฟ้าหมุนวนในรัศมีวงกลมนั้นมากขึ้น

“ช่วงที่ผ่านมา ดิวไม่ได้เล่าให้ครีมฟัง ว่าดิวกับพ่อไปทำอะไรกันที่สวิสที่จริง คุณพ่อของดิวพยายามรับมือกับความเศร้าได้เป็นอย่างดี แต่พ่อทบทวนอย่างดีแล้วว่า ต้องการหยุด ต้องการให้ชีวิตของคุณพ่อจบลง เราคุยกันหลายครั้งมาก และเห็นตรงกันว่า เราเคารพในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง จึงค้นหาข้อมูลการขอทำการุณยฆาตในประเทศต่างๆ และเห็นว่าที่สวิสตอบโจทย์ของพ่อมากที่สุด ดิวเลยไปเป็นเพื่อนพ่ออยู่จนจบกระบวนการและจัดการศพที่โน่นเลย พอจะกลับไทยอีกทีก็ติดต่อครีมไม่ได้ แล้วก็มาเห็นข่าว…”

สีฟ้าอมเทาหมองเข้าครอบคลุมจนเกือบกลบสีชมพูพื้นฐานของเธอ “ดิวขอโทษนะคะ ที่ไม่ได้มาร่วมงานศพของครีมและคุณพ่อคุณแม่”

“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ นี่ดิวจะไปไหน” ปราณถามด้วยความเป็นห่วงอย่างยิ่งยวด ยิ่งเห็นเส้นสีฆ่าตัวตายนั้นดูเข้มข้นขึ้นมาอีก

หญิงสาวยิ้มน้อยๆ แม้ในตายังเศร้า “ดิวก็ยังไม่รู้ค่ะ คิดแค่ว่าจะเอาของครีมมาคืนให้พี่ปราณแล้วก็อาจจะเดินทางไปไหนสักที่ ที่ที่สบายใจ การกลับเข้าไปอยู่ในบ้านว่างเปล่าที่มีแค่ดิว มันทรมานเกินไป”

ประโยคท้ายเธอตั้งใจสบตาและพูดกับปราณโดยตรง และมันได้ผล มันทะลุผิวหนังเข้าไปในอก ตรงเข้าไปที่หัวใจจนบีบรัดเจ็บปวด นาทีนี้จะมีใครเข้าใจเรื่องนั้นได้ดีกว่าเขากับเธอ บ้านแสนรักที่ว่างเปล่า กลายเป็นสถานที่อันโหดร้ายและเยือกเย็นเกินกว่าจะทนรับไหว

“อยู่ที่นี่ก่อนสิ” ปราณเอ่ยขึ้นโดยไม่ต้องคิดมาก เขาปล่อยเธอไปไหนทั้งอย่างนี้ไม่ได้แน่ “ถ้าไม่รังเกียจ อยู่ที่นี่ ช่วยล้างรูปจากฟิล์มของครีมให้พี่ได้ดูด้วยหน่อยได้ไหม คงไม่มีใครเข้าใจงานของครีมเท่าดิวอีกแล้ว ห้องครีมยังว่างอยู่ ดิวพักห้องนั้นก็ได้ แล้วก็มีห้องเก็บของข้างบนมันโล่งๆ ไม่ค่อยมีของหรอกเพราะแม่พี่เพิ่งเคลียร์ไป ใช้เป็นห้องมืดล้างฟิล์มได้”

ดิวเลิกคิ้วสงสัยอยู่ชั่วแวบ ก่อนสีรอบตัวเธอจะค่อยๆ กลับมาโอบล้อมด้วยชมพูอ่อนหวานอีกครั้ง เธอยิ้มบางๆ แล้วว่า “ได้ค่ะ ดิวก็ไม่มีที่ไปอยู่พอดี”

หญิงสาวถอนหายใจโล่งอก พลางถอดกระเป๋าเป้วางข้างตัว เอนหลังพิงโซฟา คล้ายอยากปลดเปลื้องหลายสิ่งหนักอึ้งที่แบกอยู่ในใจออกไปพร้อมกันด้วย เธอมองไปทางเปียโนไฟฟ้าหลังเล็กที่ตั้งอยู่ที่มุมห้อง เมื่อตอนเล็กๆ เธอกับครีมเคยเรียนเปียโนพร้อมกัน แต่ครีมเรียนไปได้สักพักก็เบื่อ และไม่ค่อยได้จับอีก ต่างจากดิวที่ยังคงเรียนต่อมาอีกหลายปี จนเล่นได้คล่องแคล่ว

“ไม่ได้ยินเสียงเปียโนมานานมากแล้ว ครีมมันไม่เล่นเลยช่วงหลัง” ปราณเปรยขึ้น

ครีมผ่อนคลาย “งั้นถ้าดิวจะขออนุญาต…”

ปราณยิ้ม ผายมือและพยักหน้าแทนคำตอบ

หญิงสาวร่างเล็กลุกขึ้นเดินไปที่เปียโน เปิดฝาครอบขึ้น แล้วเริ่มวอร์มนิ้ว

ตอนนั้นเอง พอร์ชก็เดินลงมาจากชั้นสอง และได้ฟังท่อนเริ่มต้นของเพลง บ้านรักเรือนเรา ของ อ.ดนู ฮันตระกูล พอดี

เขารีบย่องลงมาหาปราณแล้วชี้นิ้วทำปากถาม “ใครวะ”

“เพื่อนครีมน่ะ ชื่อดิว” ปราณกำลังฟังเสียงเพลงไพเราะที่ดังออกมาจากเปียโนหลังนั้น มองนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาดของดิวเคลื่อนไหวรวดเร็ว ลื่นไหลแผ่วเบา แต่กลับควบคุมจังหวะได้อย่างแม่นยำหนักแน่น ชายหนุ่มเพริดมองสีเหลื่อมรุ้งแวววาวที่ปรากฏออกมาจากร่างกายเธอในยามที่เสียงดนตรีโอบล้อม

เสียงเพลงโอบอุ้มคนทั้งสามให้ล่องลอยอยู่ในภาวะสงบสุขและรื่นรมย์

ที่น่าอัศจรรย์กว่านั้น ปราณมองเห็นสีเหลื่อมรุ้งไหลลอยเลื่อนเหมือนธารน้ำมาครอบคลุมตัวเขาและพอร์ชเอาไว้จริงๆ

พอร์ชขยับนั่งพิงหลังกับโซฟาแหงนคอพิงพนัก หลับตา ใบหน้าระบายยิ้มอย่างเป็นสุข

บางที การที่ดิวมาที่นี่ในวันนี้ จุดหมายของโชคชะตาอาจไม่ใช่แค่เรื่องทั่วๆ ไปอย่างแค่เอาของมาคืนก็ได้ ปราณคิด

 

 

เช้าวันหนึ่ง เสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น ดิวรีบเดินไปชะโงกดู หญิงสาวผมลอนสีน้ำตาลอ่อนรวบหางม้าใบหน้าหวาน ดวงตากลมโตยืนอยู่หน้าประตูรั้ว ชุดกระโปรงเอี๊ยมสีฟ้าอ่อนลายดอกไม้เล็กๆ สีขาวยาวคลุมเข่า สวมเสื้อยืดตัวในแขนสั้นขาว รองเท้าสวมทรงเรียบสีน้ำตาลอ่อนเข้ากับสีผม

ดิวกำลังจะเดินออกไปถามใกล้ๆ ปราณก็รีบแซงออกไปก่อน “มาแล้วๆ”

ท่าทางกระตือรือร้นและประกายวิบวับในดวงตาของปราณตอนที่มองผู้หญิงคนนั้นทำให้ดิวใจหาย ในอกร้อนผ่าว หายใจไม่ทั่วท้องและเหมือนจะหายใจไม่เข้า ดิวมองตามหลังปราณที่รีบวิ่งออกไปที่ประตู กุลีกุจอเปิดประตูเชิญหญิงสาวคนนั้นเข้าบ้าน

เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้ ดิวได้เห็นลอนผมที่เหมือนเกลียวลมโอบล้อมดวงดาวเหมือนหลุดออกมาจากภาพ Starry Night และบุคลิกท่าทางสวยหวานแต่ดวงตาดูเศร้าเลื่อนลอย ดิวก็เข้าใจทันที ‘คนนี้นี่เอง’

การเป็นเพื่อนสนิทกับครีมที่มีพี่ชายวัยใกล้กัน ทำให้ดิวเองก็เหมือนรู้จักสนิทสนมกับครอบครัวนี้ไปด้วย แต่ดิวไม่อาจจะพูดหรือบอกใครได้หรอกว่า ดิวรู้สึกอย่างไรกับพี่ชายของเพื่อน

ความรู้สึกนี้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ดิวเองก็ไม่แน่ใจนัก บางทีอาจเป็นความรู้สึกดีๆ ที่สะสมมาตั้งแต่ประถมปลาย สมัยที่ครีมยังชอบท้าตีท้าต่อยกับเพื่อนผู้ชายจนถูกตามมาล้างแค้นที่บ้าน แล้วปราณก็มาช่วยกันวางแผนเอาคืนโดยทำกับดักประทัดเอาไว้ที่หน้าประตูจนคู่อริเผ่นแน่บ ทั้งสามพากันหัวเราะกลิ้งไปมาอยู่บนพื้น

หรืออาจเป็นตอน ม.สอง พี่พ่อแม่ปราณชวนดิวไปเที่ยวน้ำตกด้วยกัน ดิวเกือบจะกลิ้งตกเขา แต่ปราณก็คว้าตัวเอาไว้ได้ทัน ปราณรวบเอวเธอไว้ ดุเบาๆ ให้เดินระวังหน่อยเพราะหินลื่น แต่ตอนนั้นดิวหูอื้อไปหมด ได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงรัวเร็ว

หรืออาจจะเป็นตอนขึ้น ม.สาม ตอนที่เจอหมาถูกรถชนข้างทาง แล้วดิวโทร.เข้าเบอร์บ้านปราณ ร้องห่มร้องไห้ ปราณรีบออกมาหาและอุ้มหมาวิ่งไปหาหมอที่คลินิกสัตวแพทย์ด้วยกัน ทั้งสองช่วยกันเอาเงินเก็บออกมาจ่ายค่ารักษา แต่เจ้าหมานั่นก็อยู่ต่อได้อีกไม่นานนัก มีเพียงความรู้สึกบางอย่างที่ยังคงอยู่ต่อ เติบโต และงอกงามอยู่ในใจดิวมาถึงทุกวันนี้

ดิวรู้เรื่องพลอยจากครีม ว่าปราณไปหลงรักหญิงสาวน่ารักคนหนึ่งที่เจอในโรงเรียนติว เป็นคนสวยหวานน่ารัก ปราณพูดถึงแต่เรื่องของเธอไม่หยุดปากจนถูกครีมล้อเลียน ปราณบอกว่าเธอเหมือนหลุดออกมาจากความฝัน เหมือนหลุดออกมาจากภาพวาดยุคอิมเพรสชันนิสม์ อ่อนหวาน ละเมียดละไม

หลังขึ้น ม.ปลายแยกกันไปเรียนคนละโรงเรียน แม่ของดิวเริ่มป่วยและต้องเข้ารับการรักษา ทำให้ดิวไม่ได้มีเวลามาขลุกอยู่บ้านครีมเหมือนเคย แต่ก็ยังติดต่อแชตคุยกันเรื่อยๆ ดิวเกรงใจเพื่อนพยายามห้ามใจไม่ถามหา แต่ก็ได้รู้ว่าปราณก็ยังไม่มีใคร แต่ยังคงแอบชอบคนชื่อพลอยอยู่เหมือนเดิม

ครีมกับดิวกลับมาสนิทกันอีกครั้งเมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ดิวยังแอบวางแผนลับๆ ว่าถ้าหาจังหวะเวลาดีๆได้ จะมาเที่ยวบ้านครีมอีก และอาจได้ใช้เวลาร่วมกันได้เหมือนตอนเด็กๆ เพื่อนรักรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแผนการของบ้านเธอ ทั้งเรื่องการดูแลแม่แบบประคับประคองในช่วงสุดท้าย และการตัดสินใจการุณยฆาตของพ่อ ดิวจิตใจเข้มแข็งอยู่ได้เพราะมีเพื่อนรักที่จิตใจมั่นคงและอบอุ่นอย่างครีม

หลังจากแม่ตายจาก และพ่อเลือกจะตามไป ทิ้งเธอไว้ข้างหลัง พร้อมๆ กับที่ดิวได้รับรู้เรื่องราวโหดร้ายของครอบครัวปราณ หญิงสาวสูญเสียพร้อมกันทั้งครอบครัวและเพื่อนรัก แม้มีเป้าหมายเป็นหลักให้ยันหลังได้คือการวางแผนฆ่าตัวตายเหมือนพ่อ แต่ระหว่างนี้เธอก็ไม่ได้เข้มแข็งถึงขนาดจะอยู่ต่อไปตามลำพังในช่วงเวลาแบบนี้ได้

ดิววางแผนสิ่งที่จะทำเอาไว้หลายอย่าง อย่างหนึ่งคือการเอาของของครีมที่ยังอยู่ที่เธอมาคืนให้ปราณ แผนของเธอคืออยากมาพบหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนออกเดินทางไกล

เมื่อปราณเอ่ยปากชวนเธอเข้ามาในบ้าน หัวใจที่ขาดวิ่นแทบไม่มีชิ้นดีของดิวก็รีบโอบรับคำเชื้อเชิญนั้นกอดไว้กับอกอย่างแนบแน่น เธอบอกตัวเองว่าไม่ได้คาดหวังอะไรมากกว่าได้อยู่ใกล้ๆ ได้เห็นเขามีความสุข แต่ก็ไม่แปลกใจกับความรู้สึกเจ็บปลาบเมื่อเห็นพลอยปรากฏตัวขึ้นในบ้าน

ดิวยังเล่นเปียโนเพลง StarryNight ร่วมกับกีตาร์ของพลอยได้อย่างไร้ที่ติ เธอดีใจที่น้ำเสียงในเพลงของเธอไม่บ่งบอกอะไรมากนัก นอกจากความยินดีที่เห็นปราณมีความสุข

พลอยเหมือนเจ้าหญิงในนิทานที่ต้องรีบกลับบ้านเสมอเมื่อใกล้พลบค่ำ ปล่อยให้เจ้าชายนั่งตาลอยอมยิ้มอยู่คนเดียว และคิดถึง

ดิวอยากให้เขามีความสุข และอยากเป็นคนนั้น คนที่อยู่ปลายทางความคิดถึงของปราณ

 



Don`t copy text!