ด้ายแดง บทที่ 1 : ด้ายมงคลในมือแม่

ด้ายแดง บทที่ 1 : ด้ายมงคลในมือแม่

โดย : พัทชุลี

Loading

ด้ายแดง เรื่องราวของความผูกพันของสมาชิกในครอบครัวที่มีวิถีชีวิตและความเชื่อตามขนบธรรมเนียมจีนโบราณที่แม้ว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน แต่เมื่อมีเรื่องของธุรกิจเข้ามา ความบาดหมางจึงเกิดขึ้น นวนิยายเนื้อหาเข้มข้นโดย พัทชุลี ในรูปแบบ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ 

***********************************

– 1 –

 

กลิ่นกำยานลอยอ้อยอิ่งหอมอบอวลไปทั่วห้องชั้นบนสุดของบ้านมหามงคลหรือที่คนทั่วไปในบริเวณนี้เรียกว่าบ้านสกุลหม่า ในขณะเดียวกันสายลมอ่อนๆ ก็พัดโชยเข้ามาในนี้ไม่ขาดสาย เสียงคนข้างนอกพูดเรื่องอากาศในเวลานี้ ซึ่งอาจจะร้อนอบอ้าวไปอีกหลายวัน แต่นั่นกลับไม่มีผลต่อคนที่อยู่ชั้นสองของบ้านมากนัก ทั้งนี้เพราะลมพัดเข้ามาในห้อง จนไม่ได้รู้สึกถึงความร้อนอบอ้าวของอากาศที่คนภายนอกพูดกันเลย

ข้าวของส่วนใหญ่ในห้องนี้มาจากจีนทั้งงานไม้แกะสลัก เครื่องกังไส โต๊ะตั่ง ตู้ไม้ลวดลายงดงามที่ท่านเจ้าบ้านสั่งตรงมาเป็นพิเศษ และเมื่อมองไปที่ผนังยังมีภาพวาดร่ายกลอนชมดอกไม้ยามเดือนสี่ของแผ่นดินจีน เครื่องประดับลายครามหลายชิ้นเป็นของเก่าแก่ ผ้าม่านสีแดงปักลายดอกโบตั๋น บ่งบอกว่าเจ้าของห้องชื่นชอบงานศิลปะเป็นยิ่งนัก

หญิงวัยกลางคนร่างบอบบางนั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม้ ในมือขาวเนียนสองข้างกำลังถักทอด้ายแดงให้เป็นลายมงคลตามแบบที่เธอชอบทำมาตั้งแต่เด็ก ดวงตายาวรีมีแววเด็ดเดี่ยวจ้องมองสิ่งที่กำลังทำอย่างใจจดใจจ่อ

“ใช้เชือกเส้นเดียวขึ้นต้นจนกระทั่งถึงจุดสิ้นสุด ปมใหญ่ก็ให้ใช้เรื่องสำคัญหากเรื่องเล็กก็ให้ใช้ปมเล็ก”

การถักเชือกเป็นหัวใจให้เครื่องประดับรัดร้อยนั้น งดงามสูงค่าขึ้น ตั้งแต่เริ่มโตเป็นสาวจนย่างเข้าวัยกลางคน เหม่ยอิงถักเชือกลายมงคลให้คนที่เธอรักหลายคนแล้ว ทุกลวดลายและปมที่ถักทอใส่ทั้งความรักและความหวังลงในนั้น

แต่แล้วเมื่อคิดถึงดวงตาของเด็กชายคนหนึ่งในวันที่จากลา มือที่ถักทอด้ายแดงมงคลก็หยุดชะงัก เพราะถ้านับเวลาที่ต้องจากลูก นี่ก็เป็นเวลายี่สิบปี ดวงตาคู่นั้นหากเมื่อเติบโตขึ้น จะเหมือนดวงตาเจ้าสัวหม่าบิดาของเขาหรือไม่

“หลงเหว่ย…”

ภาพเด็กชายตัวเล็กที่เธอได้โอบอุ้มโอบกอดตั้งแต่เยาว์วัย บอบบางเหมือนกับแก้วมณีล้ำค่าที่ต้องเฝ้าถนอม แม้จะมีลูกทั้งหมดสามคนแต่หลงเหว่ยก็เป็นลูกชายเพียงคนเดียวที่เธอมี การมีลูกชายในฐานะภรรยารองของเจ้าสัวหม่าแห่งบ้านมหามงคล ทำให้เธอได้รับความเกรงใจจากคนทั่วไปบ้าง เธอคิดมาตลอดเวลาว่า หลงเหว่ยเกิดมาพร้อมกับความโชคดี แม้เธอจะก้าวมาทีหลังเลี่ยงจิน ภรรยาคนแรกก็ตาม

“เพราะลูกชายคือคนสืบสกุล ต่อไปความยิ่งใหญ่ของสกุลหม่าต้องให้อาอี้และอาเหว่ยสืบทอด”

และลูกชายอย่างหลงเหว่ย นอกจากจะทำให้บริวารในบ้านเรียกเธอว่าคุณนายรองได้อย่างสนิทใจแล้ว เจ้าสัวหม่าผู้เป็นสามีก็ปฏิบัติกับเธอดี แม้ไม่เทียมเท่าเลี่ยงจินภรรยาผู้มาก่อน แต่ก็ได้รับความเกรงใจอยู่ระดับหนึ่ง

เลี่ยงจินเป็นภรรยาคนแรกของเจ้าสัวหม่า มีลูกหญิงชายสองคนคือเทียนอี้และเจียเฟิง มีลูกชายคนโตอย่าง เทียนอี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจของท่านเจ้าสัวและเลี่ยงจินมาก แต่สำหรับเธอก็มีหลงเหว่ยที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาเช่นกัน

เมื่อคิดถึงลูกชาย ใบหน้างดงามตามวัยระบายไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอทุกข์ใจเพราะคิดถึงเขา สิ่งที่ทำให้เหม่ยอิงยิ้มออกมาได้ก็เพราะคิดถึงรอยยิ้มและท่าทางออดอ้อนของลูกในวัยเด็ก แต่แล้วเมื่อคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกต้องไปอยู่ต่างประเทศ ดวงตายาวรีคู่งามก็หม่นเศร้าลงชั่วขณะ

‘ตัวซวย ลูกลื้อน่ะมันตัวซวย!’

‘อาเหว่ยไม่ได้ทำนะ คุณนายใหญ่’

‘ลูกลื้อนั่นแหละทำ มันทำเอง หรือไม่ลื้อก็บอกให้มันทำ อยากได้สมบัติมากใช่ไหม ถึงต้องฆ่าลูกชายคนโตทิ้ง… โธ่ อาอี้ ไม่น่าเลยลูกแม่’ คุณนายเลี่ยงจินร้องไห้กอดร่างเปียกปอนแต่ไร้ซึ่งลมหายใจแล้วแน่น หลงเหว่ยมองร่างของพี่ใหญ่ตัวสั่นเทา แต่สิ่งที่เด็กชายหวาดกลัวมากกว่าการอยู่หรือตายก็คือ แววตาเย็นชาของเจ้าสัวหม่าผู้เป็นบิดานั่นเอง

‘อาปา ผมไม่ได้ทำ อาปาเชื่อผมนะครับ’

หลงเหว่ยเอ่ยพลางกอดขาของบิดาแน่นเพื่อร้องขอความเห็นใจ เหม่ยอิงในตอนนั้นตกใจที่รู้ว่าหลงเหว่ยชวนเทียนอี้ไปพายเรือเล่น แต่เทียนอี้กลับจมน้ำตาย แต่อย่างไรเสียไม่ใช่ความผิดของลูกชายเธอเสียหน่อย หลงเหว่ยก็พยายามไปตามคนมาช่วยเทียนอี้แล้ว แต่นั่นก็ช้าไปเสียแล้ว

เจ้าสั่วหม่ามองมาที่เธอและลูกอย่างเย็นชา เขาสะบัดขาออกจากร่างของบุตรชายคนรอง แต่แทนที่หลงเหว่ยจะร้องไห้คร่ำครวญเหมือนเด็กคนอื่น เขากลับกลืนเสียงสะอื้นลงไปในอก

เสียงดังฮึดๆในอกที่บอกความอึดอัดใจนั้น ทำให้เหม่ยอิงต้องรีบไปรั้งร่างลูกชายมากอดไว้ ดวงตาของเธอก็จ้องมองเจ้าสัวหม่าเหมือนกับจะร้องขอความเห็นใจ อย่างน้อยเธอก็อยากจะให้สามีเชื่อลูกบ้าง อาเหว่ยไม่ใช่คนเลวร้ายอย่างนั้น แต่สิ่งที่เธอได้รับก็คือสายตาเย็นชาของสามี และตั้งแต่นั้นมาเจ้าสัวหม่าก็ไม่เคยโอบกอดหลงเหว่ยอีกเลย

เมื่อไร้สองแขนของพ่อโอบกอด เธอจำเป็นต้องกอดลูกให้แน่นขึ้น เหม่ยอิงสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ยอมให้สายตาเย็นชาของใครมาทำร้ายหัวใจลูกของเธอได้อีก แม้แต่คำทำนายของซินแสที่สามีเชื่อเป็นนักหนาว่า สกุลหม่าจะสิ้นสุดที่หลงเหว่ยเท่านั้น

“คนจีนเรามีคำพูดว่า ด้ายในมือแม่ไม่มีวันหมด” เธอพูดกับตัวเอง คิดถึงรอยยิ้มและดวงตาของบุตรชาย เมื่อเงยหน้าเห็นชุดที่ตัวเองปักให้กับเขาก็ได้แต่เอ่ยต่อไปว่า

“เพราะคนเป็นแม่ ต้องปะชุนเสื้อผ้าให้ลูกไปจนตาย…แต่จริงๆ แล้วความหมายของคำคำนี้ มันลึกซึ้งกว่านั้น”

เธอก้มมองด้ายมงคลที่ถักทออยู่แล้วเอ่ยขึ้นมาเบาๆ อีกว่า

“ในเมื่อเกิดมาเป็นแม่ลูกกันแล้ว แม่ก็ต้องปกป้องดูแลลูก ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ความรักของแม่ก็เหมือนเส้นด้ายที่ยืดยาวไม่มีวันหมดสิ้นตลอดกาล”

เส้นด้ายสีแดงสดใส ได้ถักทอเอาหัวใจของแม่ลงไปด้วย เส้นด้ายในมือแม่อาจจะมีจุดสิ้นสุดแต่ความรักของแม่ที่มีต่อลูกย่อมไม่มีสิ้นสุด เหม่ยอิงได้แต่หวังว่า สักวันเธอจะได้เห็นหน้าหลงเหว่ยอีกครั้งหลังจากที่เขาจากบ้านไปนานเหลือเกิน

บ้านมหามงคล ปี 2485

ช่วงสายเกือบเที่ยงเหม่ยอิงบอกบ่าวในบ้านให้ขึ้นมาจัดห้องของบุตรชาย รูปของชายหนุ่มในชุดสูทวางคู่กับรูปครั้งที่เขายังเป็นเด็กเล็กๆ ดวงตาของเขาไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากนัก แต่สิ่งซ่อนอยู่กลับเป็นความโดดเดี่ยวที่ผู้เป็นแม่สัมผัสได้

ตั้งแต่ช่วงเช้าหลังเวลากินข้าว เหม่ยอิงใช้ให้อาจูแม่บ้านคนสนิทกับอาตั๊ง พ่อครัวให้ขึ้นมาช่วยทำความสะอาดห้องของหลงเหว่ยที่ไม่มีเจ้าของมาหลายปีแล้ว ข้าวของบางชิ้นก็เป็นความทรงจำอันล้ำค่า แต่เมื่อผ่านเวลามาจากเด็กชายตัวน้อยของแม่ หลงเหว่ยก็เติบโตสูงใหญ่ ใบหน้าคมคายแถมยังได้ดวงตาของท่านเจ้าสัวมา จนคนทั่วไปพูดกันว่าคุณชายของบ้านเหมือนกับท่านเจ้าสัวนัก

เมื่ออาจูกับอาตั๊งช่วยกันแขวนผ้าปักลายมังกรงดงามที่ผนังด้านหนึ่งของห้อง เหม่ยอิงยืนมองผ้าผืนนั้นด้วยความพึงพอใจ เส้นด้ายสีทองทุกฝีเข็มเธอปักขึ้นด้วยความรักและความคิดถึง เมื่อมาเห็นมันขึงอยู่บนผนังห้องลูก เธอก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันที่ลูกจะกลับมาอยู่ที่ห้องนี้อย่างมีความสุข

“ดีแล้วๆ ดีแล้วนะอาจู” เหม่ยอิงหันมาทางบ่าวต้นห้องอย่างถามความเห็น อาจูมองตามผู้เป็นนายอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นลวดลายปักงดงามก็ได้แต่ยิ้ม

“ดีแล้วค่ะ สวยมากค่ะคุณนาย” แต่คำพูดนั้นกลับทำให้อาตั๊งส่ายหัวไปมา แถมส่งเสียงในคอราวกับไม่เห็นด้วย อาจูเห็นอย่างนั้นก็ถามออกไปอย่างไม่พอใจนัก

“อะไร อาตั๊ง”

“ก็รูปมังกรนี่สิ มันดูยังไงๆ อยู่น้า อาจู”

“ยังไงล่ะ มังกรก็คือผู้ชาย ฉันเอารูปมังกรไว้ในห้องลูกชาย แล้วมันยังไง ห๊ะ” เหม่ยอิงถามแล้วจึงมองหน้าบ่าวรับใช้ แต่อาตั๊งก็ได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วจึงหันไปบอกกับนายสาวว่า

“ก็มังกรมันอยู่ตัวเดียวไม่ได้น่ะสิ คุณนาย มีมังกรมันก็ต้องมีหงส์ มันถึงจะมีงานมงคล แล้วมีลูกมังกรหลานมังกรออกมาอีกหลายๆ ตัว” พออาตั๊งพูดเช่นนั้นอาจูที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะชอบใจกับคำพูดนั้น แล้วจึงพูดเสริมไปว่า

“จริงด้วยค่ะ คุณนาย คุณหนูหลงเหว่ยอายุก็ไม่น้อยแล้ว กลับมาบ้านคราวนี้ สมควรจะจัดงานมงคลได้แล้ว”   เหม่ยอิงยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไรต่อปล่อยให้คนรับใช้จัดข้าวของในห้องให้เข้าที่ ก่อนจะออกจากห้องนั้นไปด้วยความไม่พอใจนัก

อาจูที่อยู่ด้วยกันมานานรู้ใจผู้เป็นนายดี จึงเดินตามไปเงียบๆ อาจูเดินตามเหม่ยอิงไปจนถึงหน้าห้อง แล้วถามซ้ำว่าไม่พอใจเรื่องอะไร

“โอ๊ย ฉันไม่ได้เจอลูกมาตั้งยี่สิบปี หลงเหว่ยกลับมาบ้านทั้งที ทำไมต้องรีบเอาไปยกให้คนอื่นด้วย”

“ยกให้ใคร? ลูกผู้ชายแต่งเข้าสกุลไม่ได้แต่งออกเสียหน่อย ถ้าคุณหนูหลงเหว่ยแต่งงาน คุณนายมีแต่ได้ลูกสะใภ้มาเพิ่ม ไม่ดีเหรอ”

อาจูพูดตามที่ตนคิด เหม่ยอิงไม่เถียงได้แต่เดินเข้ามาในห้องโดยที่บ่าวก็เดินตามมาไม่ห่างกันนัก เธอนั่งลงที่กระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง พลางทอดมองเงาตัวเองในนั้น แล้วจึงพูดออกมาเบาๆ ราวกับตั้งใจจะเปลี่ยนเรื่องคุย

“ไม่เจอกันยี่สิบปี ไม่รู้ว่าอาเหว่ยจะจำแม่ได้ไหม”

“ฮื้อ ลูกที่ไหนจำแม่ตัวเองไม่ได้ อาจูคนนี้ต่างหากจะจำเขาได้หรือเปล่า ยี่สิบปีมันนานไปจริงๆ”

คำพูดนั้นของบ่าวทำให้เหม่ยอิงหลับตาลงเบาๆ เวลายี่สิบยาวนานไปจริงๆ เธอได้แต่เฝ้าหวังว่าลูกจะกลับมาหาเธอได้เร็วกว่านี้ และพอเมื่อกลับมา จากอายุอานามของหลงเหว่ยก็ควรจะแต่งงานมีครอบครัวได้แล้ว สำหรับคนที่พลัดพรากจากลูกในเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ เธอก็แค่อยากอยู่กับเขาให้มากที่สุด

เหม่ยอิงถอนหายใจน้อยๆ เมื่อคิดถึงความจริงที่กำลังจะเกิดขึ้น เธอหยิบถุงผ้าแพรในลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมา ในนั้นมีด้ายมงคลสีแดงสำหรับใส่ที่ข้อมือที่เธอเพิ่งทำเสร็จ ดวงตายาวรีหรี่ลงน้อยๆ เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ก่อนจากกันเธอก็ได้สวมด้ายมงคลแบบเดียวกันให้กับลูก แต่ผ่านเวลามาจากนั้นก็ยี่สิบปีแล้ว สีด้ายจะซีดลงหรือตัวด้ายจะขาดไหม แต่สิ่งหนึ่งที่เธอได้สอดแทรกไปในด้ายมงคลนั้นก็คือความรักที่ไม่มีวันขาดออกจากกัน

“ด้ายมงคลอันเก่าที่ฉันให้ไป ป่านนี้คงขาดหมดแล้วมั้ง” เหม่ยอิงพูดกับอาจูเบาๆ ก่อนจะมองไปที่รูปของบุตรชายที่โต๊ะหัวเตียง จ้องมองเข้าไปในดวงตาคมคายคู่นั้น พลางตั้งคำถามกับคนซ้ำๆ ในภาพว่า

“ด้ายมงคลขาดรึยังลูก แล้วลูกคิดถึงแม่บ้างรึเปล่า หลงเหว่ย…”

เสียงตัดพ้อไปกับสายลม ความรักความคิดถึงล้วนล่องลอยไปไกลเท่าที่ความคิดถึงจะลอยไปได้ ในขณะที่บุตรชายที่อยู่ในดินแดนแสนไกลนั้นก็ได้แต่นั่งรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเยาว์วัย ด้ายแดงในมือแกร่งอาจจะเปื่อยขาดไปตามกาลเวลาที่ผันผ่าน ดวงตาคมหม่นเศร้าทอดมองสิ่งที่อยู่ในมือด้วยความรู้สึกเจ็บปวด และยิ่งเจ็บปวดกว่าที่เป็น เมื่อคิดถึงความหลังเมื่อตนยังเป็นเด็ก

ด้ายแดงอันนี้แม่เป็นคนถักทอและสวมให้เขา เขายังจำดวงตาของแม่ได้ ที่บอกว่ารักสุดหัวใจแต่ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย แม่เป็นคนที่ทอดแววตาแห่งความรักและห่วงมาให้เขาเพียงผู้เดียว ในขณะที่สวมด้ายแดงให้เขานั้น เสียงสะอื้นของแม่ก็ดังบาดลึกอยู่ในหูตราบจนบัดนี้…

ห่างออกไปไม่ไกลนัก ทั้งอาปา แม่ใหญ่และเจียเฟิงน้องสาวต่างมารดาของเขา ต่างมองเขาด้วยความรู้สึกที่แตกต่างจากแม่อย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามีแต่ความเกลียดชังไม่มีสิ่งอื่นเจือปนแม้แต่น้อย ส่วนอาปาก็สบตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง มีแต่ความเย็นชาเท่านั้นที่เขาสัมผัสได้จากแววตาของท่าน

‘อาเหว่ย…ด้ายแดงมงคลอันนี้ แม่ทำเองกับมือ เอาติดตัวไว้นะ จะได้เหมือนกับว่าแม่อยู่ใกล้ๆ ลูก มันจะปกป้องคุ้มครองลูกตลอดเวลา’

แม่พูดกับเขาเสียงสั่นเครือ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลอาบแก้มจนเปียกชื้น เขาในตอนนั้นได้แต่มองไปที่อาปาราวกับจะขอร้อง ใช่…เขาไม่อยากไป เขาอยากอยู่กับแม่ ยังอยากอยู่ที่นี่…แต่อาปากลับมีแต่สายตาเย็นชาเท่านั้นที่ทอดกลับมา นั่นทำให้เขาไม่อาจสบตาบิดาได้นานนัก เมื่อเห็นว่าแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดร้องง่ายๆ อาปาจึงพูดออกไปว่า

‘ไปกันได้แล้ว นี่อาอิง ถ้าลื้อหยุดร้องไห้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปส่งลูก อายเขา’ อาปาเอ่ยพลางคว้าแขนหลงเหว่ยแล้วจูงให้เดินตามไป แม่ใหญ่และเจียเฟิงมองตามเขาอย่างเกลียดชัง เมื่อเดินมาในระยะที่ไม่ห่างกันนัก แม่ใหญ่ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยเสียงเยียบเย็นว่า

‘ไปให้พ้นๆนะ แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก ไอ้ตัวกาลกิณี!’

ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว กระบอกตาของเขาไม่ได้เจ็บปวดหรือร้อนผ่าวเพราะหยาดน้ำตา แต่หัวใจของเขากลับยังไม่ได้รับรู้ความสุขเลย นับแต่วันที่จากแม่มา ด้ายแดงในมือเขาอาจจะเปื่อยและขาดเพราะกาลเวลา แต่เขาเชื่อว่าแม่ยังคงรักและรอคอยอยู่ตลอดเวลา

แต่ว่าอีกไม่นาน เขาก็จะได้กลับไปหาแม่อีกครั้ง…

“รอผมนะครับ แม่”

ด้ายแดงที่เปื่อยขาดถูกผู้เป็นเจ้าของเก็บลงในกระเป๋าสูท เพื่อเป็นเครื่องรางดังเช่นทุกครั้ง อีกไม่นานเขาจะได้กลับบ้าน ตอนนี้ข่าวสงครามอีกซีกโลกหนึ่งทำเขานึกเป็นห่วงแม่และทุกคนในครอบครัวจับใจ อย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกชายคนเดียวของสกุล เขาก็ต้องกลับบ้าน…กลับไปเพื่อปกป้องคนทุกคนในครอบครัวให้ได้

ช่วงสายวันต่อมา

คนงานหลายคนช่วยกันเตรียมอาหารโดยมีอาตั๊งหัวหน้าพ่อครัวกำลังบอกว่าจะทำอะไรเป็นอาหารเย็นวันนี้บ้าง คนครัวที่นี่มีหลายคนเพราะต้องเตรียมอาหารเลี้ยงทั้งนายทั้งบ่าว ในขณะหญิงสาวร่างเล็กผิวขาวละเอียดกำลังเตรียมอาหารอย่างคล่องแคล่ว จากเสื้อผ้าที่สวมใส่ผิดกับชุดที่คนรับใช้ในครัวใส่กัน อาตั๊งบอกว่าจะทำเกี๊ยวปลาอีกสักอย่างเป็นอาหารมื้อค่ำนี้ ส่วนอาจูที่นั่งอยู่ด้วยก็บอกว่าเอาเกี๊ยวมานี่ก็ได้จะห่อเอง

“ให้ฉันช่วยด้วยอาจู”

“คุณเหม่ยซิง ห่อเกี๊ยวเดี๋ยวไส้ก็แตกอีก อยู่เฉยๆ ดีกว่า” อาจูพูดพลางมองไปที่เหม่ยซิงที่แย้มยิ้มให้เธอเพียงครู่เมื่อคนงานยกแผ่นเกี๊ยวมาเธอก็รีบไปล้างมือแล้วเริ่มจับจีบเกี๊ยวโดยที่มีอาตั๊งและอาจูนั่งมองอยู่ข้างๆ เหม่ยซิงเป็นลูกสาวคนรองของเหม่ยอิงและเจ้าสัวหม่า เธอมีผิวขาวละเอียด ดวงตางดงามคล้ายเหม่ยอิง ถ้ามีเวลาว่างเหม่ยซิงชอบมาคุยกับอาจูและอาตั๊งด้วยสนิทใจว่าเป็นคนเก่าแก่ของแม่ มือเรียวยาวปั้นเกี๊ยวไส้ปลาพลางเอ่ย

“จะว่าไปก็สงสารพี่หลงเหว่ยนะ โดนไล่ไปอยู่นอกบ้านตั้งแต่เล็ก” พอได้ยินอย่างนั้นอาตั๊งก็หันไปหาเจ้าของเสียงหวานทันที เขามองหน้าคุณหนูของบ้านอย่างแปลกใจ

“โดนไล่? ใครไล่?” อาตั๊งพูดออกไปด้วยความอยากรู้ ฝ่ายอาจูก็ได้แต่ลอบมองคุณหนู ความจริงไม่ได้อยากให้เหม่ยซิงพูดต่อหรอก เธอรู้ดีว่าเหม่ยซิงเป็นคนอย่างไรจึงพูดปรามออกไปว่า

“คุณเหม่ยซิงพูดเหลวไหล เจ้าสัวส่งคุณหลงเหว่ยไปเรียนหนังสือต่างหาก” อาจูเอ่ยเหมือนปราม แต่เหม่ยซิงไม่ได้สนใจยังพูดต่อไปเรื่อยๆ

“ไปเรียนหนังสือ จบแล้วทำไมไม่ให้กลับบ้าน ให้ไปทำงานที่ฮ่องกง…แล้วตอนที่พี่หลงเหว่ยจะเดินทาง ฉันจำได้ว่า…” เหม่ยซิงต้องหยุดพูดทันทีเมื่ออาจูส่งสายตาดุแถมเสียงพูดยังดุเสียด้วย

“ตอนคุณหลงเหว่ยไปเมืองนอก คุณเหม่ยซิงอายุแค่เจ็ดแปดขวบ จะไปจำอะไรได้” คนถูกดุทำท่าจะแย้งต่อแต่อาจูกลับพูดขึ้นมาอีกว่า

“ไม่รู้ก็อย่าพูดเหลวไหล ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณนาย” พอพูดถึงแม่ เหม่ยซิงจำต้องหยุดพูด อีกอย่างอาจูถือเป็นคนพูดจริงทำจริงถ้าเป็นเรื่องนีจึงเงียบๆไว้ดีกว่า ได้แต่นั่งห่อเกี๊ยวไปเงียบๆ ส่วนอาตั๊งตัวต้นเรื่องก็ได้แต่เงียบเมื่อได้สายตาดุๆ มายังตน ช่วงเย็นวันนั้น อาจูเข้ามารับใช้เหม่ยอิงในห้องเหมือนดังเช่นทุกวัน แล้วจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้นายสาวฟัง พอได้ฟังเช่นนั้นเหม่ยอิงก็ไม่ค่อยสบายใจนัก อาจูเอาหวีสางผมให้นายไปเรื่อยๆ

“เห็นทีฉันคงต้องกำชับเหม่ยซิงอีกที ไม่ให้พูดเรื่องนี้”

“คุณเหม่ยซิงไม่รู้ใช่ไหม ว่าทำไมคุณหนูหลงเหว่ยถึงต้องไปอยู่ที่อื่น” ถามอย่างกังวลเพราะไม่แน่ใจว่าเหม่ยซิงจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่า เหม่ยอิงถอนหายใจน้อยๆ ก่อนจะพูดต่อไปว่า

“ไม่รู้ คนที่รู้มีแค่เจ้าสัว แล้วก็เราสองคน”

“คุณหนูหลงเหว่ยก็ไม่รู้?”

“ไม่ ให้รู้ไม่ได้เด็ดขาด…เขารู้ว่าอาปาโกรธเขา ไม่อยากเห็นหน้าเขา…ก็ให้เขารู้เท่านั้นแหละ พอแล้ว ฉันไม่อยากให้หลงเหว่ยไม่สบายใจอีก” น้ำเสียงของเหม่ยอิงมีแต่ความกังวล ในใจของเธอราวกับมีเสียงแย้งและคิดไปว่าหลงเหว่ยอายุมากกว่าเหม่ยซิงหลายปี ขนาดเหม่ยซิงที่ตอนนั้นอายุเจ็ดแปดขวบยังพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ แล้วมีหรือที่หลงเหว่ยที่โตจนรู้ความแล้วจะไม่รู้อะไรเลย ดวงตายาวรีมีแววกังวล  ฝ่ายอาจูไม่กล้าถามต่อได้แต่พยักหน้ารับผู้เป็นนายจริงจัง

ความในใจที่ไม่สามารถบอกใครได้ แต่อาจูรู้ดีทีเดียวว่าคุณนายของเธอเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหลือเกิน ตั้งแต่เกิดเรื่องที่คุณชายใหญ่จมน้ำตาย ใครๆ ก็คิดว่านี่เป็นฝีมือของคุณหลงเหว่ย ท่านเจ้าสัวส่งหลงเหว่ยให้ไปไกลๆ จากบ้านมหามงคลเสีย และตั้งแต่นั้นมาหลงเหว่ยก็ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย

ไม่มีแม่คนไหนจะทนได้ เหม่ยอิงเก็บซ่อนความเจ็บปวดนี้ไว้ภายใต้รอยยิ้ม และได้แต่รอเวลาให้ลูกชายของเธอกลับบ้าน เรื่องที่หลงเหว่ยกลับบ้านไม่ได้ตลอดหลายปีเป็นบาดแผลในหัวใจของเหม่ยอิงตลอดมา

เมื่อลูกกลับบ้าน เรื่องราวที่เป็นฝันร้ายในวันเก่า แม่จะทำให้มันหายไปเอง เหม่ยอิงได้แต่บอกกับตัวเองเช่นนั้น ดวงตายาวรีของเธอเห็นโทรเลขที่บุตรชายได้ส่งมาว่า อีกไม่นานเขาจะกลับมาที่นี่ ฉะนั้นไม่ว่าความเจ็บปวดใดๆ ที่เกิดขึ้น เธอไม่มีวันจะให้หลงเหว่ยเจ็บปวดอีกแล้ว…



Don`t copy text!